- การเปิดเสรีการค้าอาเซียนในด้านสินค้าเกษตรมีนัยสำคัญ ต่อเศรษฐกิจมหภาคของไทย เนื่องจากภาคเกษตรเกี่ยวข้องกับแรงงานกว่าร้อยละ 38.8 ของการจ้างงานรวม และกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นผู้นำเข้าหลักของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมสินค้าเกษตรของไทย
- สศค. วิเคราะห์ว่า เนื่องจากการลดภาษีศุลกากรในกรอบ AFTA ได้ดำเนินมาในระยะหนึ่งแล้ว การลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ในต้นปี 2553 จึงไม่มีผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจของไทยมากนัก อย่างไรก็ดี ไทยจะได้ประโยชน์ในบางกลุ่มสินค้าที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูง และประเทศคู่ค้ามีการปรับลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ การส่งออกข้าวและมันสำปะหลังไปยังมาเลเซีย และการส่งออกน้ำตาลไปยังอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีการลดภาษีศุลกากรในปี 2558
- ในส่วนของการนำเข้า เนื่องจากภาษีศุลกากรของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว ดังนั้น การลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ในปี 2553 จึงไม่น่ามีผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม การลดภาษีนำเข้าไขมันและน้ำมันพืช เป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากมาเลเซียมีต้นทุนการผลิตไขมันและน้ำมันพืชที่ต่ำกว่า
การเปิดการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟต้า (ASEAN Free Trade Area — AFTA) เป็นหนึ่งในภารกิจหลักที่จะนำไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยอาฟต้าได้กำหนดให้ประเทศสมาชิก 6 ประเทศ อันได้แก่ บรูไน ดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ลดภาษีศุลกากรขาเข้าของตนให้เหลือศูนย์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา ในขณะที่ ประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 4 ประเทศ อันได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และ เวียดนาม จะลดภาษีศุลกากรขาเข้าของตนให้เหลือศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2558
ในการลดภาษีศุลกากร อาฟต้าแบ่งสินค้าออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มสินค้าที่จะต้องลดภาษีศุลกากรอย่างรวดเร็ว (Fast Track) ประกอบด้วยสินค้า 15 ประเภท ได้แก่ น้ำมันพืช เคมีภัณฑ์ ปูนซิเมนต์ เยื่อกระดาษ ปุ๋ย สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์หนัง ผลิตภัณฑ์เซรามิกและแก้ว เครื่องใช้ไฟฟ้าทำจากทองแดง อิเล็กทรอนิกส์ และเฟอร์นิเจอร์ไม้และหวาย โดยประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีศุลกากรขาเข้าที่สูงกว่าร้อยละ 20 ให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายในปี พ.ศ. 2543 2) กลุ่มสินค้าที่จะลดภาษีศุลกากรตามปกติ (Normal Track) โดยประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีศุลกากรขาเข้าที่สูงกว่าร้อยละ 20 ให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายในปี พ.ศ. 2546 และจะต้องลดภาษีศุลกากรขาเข้าที่ร้อยละ 20 หรือต่ำกว่าให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายในปี พ.ศ. 2543 3) กลุ่มสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจากการลดภาษีศุลกากรชั่วคราว (Temporary Exclusion List) โดยประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีศุลกากรขาเข้าของสินค้าในกลุ่มนี้ร้อยละ 20 ต่อปีและต้องลดภาษีให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายในปี พ.ศ. 2546 4) กลุ่มสินค้าที่อ่อนไหว (Sensitive and Highly Sensitive Lists) โดยประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีศุลกากรในสินค้ากลุ่มนี้ให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายในปี 2553 และ 5) กลุ่มสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจากการลดภาษีศุลาการ (Exclusion List) อันได้แก่สินค้าที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับความมั่นคงของชาติศีลธรรม และจริยธรรมของสังคม รายละเอียดปรากฎตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1: สรุปการลดอัตราภาษีนำเข้าภายใต้กรอบ AFTA
กลุ่มสินค้า อัตราภาษีเดิม อัตราภาษีเป้าหมาย ปีที่จะต้องลดภาษีให้ได้ตามเป้า Fast Track มากกว่าร้อยละ 20 ร้อยละ 0 - 5 2543 Normal Track มากกว่าร้อยละ 20 ร้อยละ 0 - 5 2546 มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 20 ร้อยละ 0 - 5 2543 Temporary Exclusion ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ลดลงร้อยละ 20 ทุกปี 2538 — 2543 List ร้อยละ 0 - 5 2546 Sensitive and Highly Sensitive Lists ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ร้อยละ 0 - 5 2553 ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ เรียบเรียงโดย สศค. นอกจากมิติด้านการลดภาษีแล้ว อาฟต้ายังครอบคลุมมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier) ด้วย อาทิ มาตรการจำกัดปริมาณการนำเข้าสินค้า (โควต้า) โดย อาฟต้าได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกยกเลิกมาตรการที่มิใช่ภาษีภายใน 5 ปี หลังจากที่ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีของประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน นอกจากนี้ อาฟต้ายังครอบคลุมถึงการอำนวยความสะดวก (Trade Facilitation) เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถใช้ประโยชน์จากอาฟต้าได้อย่างเต็มที่ อาทิ การนำระบบประเมินราคาศุลกากรของแกตต์มาใช้ในปี 2540 การปรับพิกัดอัตราศุลกากรให้อยู่ในระบบฮาโมไนซ์ 8 หลัก และการใช้ระบบช่องทางศุลกากรพิเศษสำหรับสินค้าอาฟต้า เป็นต้น อาฟต้ามีนัยสำคัญต่อภาคการเกษตรของไทย เนื่องจากอาเซียนเป็นตลาดสำคัญของสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไทย โดยในปี พ.ศ. 2552 การส่งออกของสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรของไทยไปยังอาเซียน-5 อันได้แก่ บรูไน ดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 13 ของการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทยทั้งหมด หรือเป็นมูลค่ากว่า 3.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น การเปิดเสรีการค้าอาเซียนที่เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2553 จึงมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะส่งผ่านไปยังรายได้เกษตรกรซึ่งเป็นแรงงานกว่าร้อยละ 38 ของแรงงานทั้งหมด การบริโภคภาคเอกชน และเศรษฐกิจไทยโดยรวมได้ในที่สุด รายงานฉบับนี้จะวิเคราะห์ผลกระทบของการลดภาษีศุลกากรในกรอบอาฟต้าในปี พ.ศ. 2553 ต่อภาคการส่งออกนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยในส่วนที่ 2 จากวิเคราะห์สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีศุลกากรในกรอบอาฟต้า และในส่วนที่ 3 จะวิเคราะห์สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่อาจได้รับผลกระทบจากการลดภาษีศุลกากรในกรอบอาฟต้าดังกล่าว 2. สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีศุลกากรในกรอบอาฟต้า สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีศุลกากรในกรอบอาฟต้าจะต้องเป็นสินค้าที่ไทยมีมูลค่าการส่งออกสูง และประเทศคู่ค้ามีการปรับลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญดังนั้นในส่วนนี้จะแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 มิติ ได้แก่ มิติมูลค่าและสัดส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร และมิติการลดภาษีศุลกากรของประเทศคู่ค้า 2.1 มิติมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทยไปยังอาเซียน-5 หากพิจารณาจากสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยส่งออกไปยังอาเซียน-5 จะพบว่าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรส่งออกหลักของไทย ได้แก่ ข้าว ยางพารา น้ำตาลทราย และมันสำปะหลัง ซึ่งสินค้าทั้ง 4 รายการนี้คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 45.7 ของการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด และคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 83.1 ของการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไปยังอาเซียน-5 ดังนั้นในส่วนต่อไป จะพิจารณาถึงระดับการลดภาษีศุลกากรของอาเซียน-5 ใน 4 รายการนี้เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์โอกาสการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทยจากการลดภาษีศุลกากรในกรอบอาฟต้าต่อไป 2.2 มิติการลดภาษีศุลกากรของประเทศคู่ค้า ในส่วนนี้จะวิเคราะห์การลดภาษีศุลกากรของแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียน-5 ในสินค้า 4 รายการอันได้แก่ ข้าว ยางพารา น้ำตาลทราย และมันสำปะหลัง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 83.1 ของการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทยไปยังอาเซียน-5 ทั้งนี้ การลดภาษีศุลกากรได้ดำเนินมาในระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นอัตราภาษีศุลกากรในสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรหลายรายการจึงอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 และ2558 จะมีการลดภาษีศุลกากรเพิ่มเติมในบางหมวดสินค้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่เกี่ยวกับ 5 รายการสินค้าดังนี้ 1. ข้าว เป็นสินค้าเกษตรที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังอาเซียน-5 สูงสุด กว่าร้อยละ 32.7 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไปยังอาเซียน-5 โดย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน-5 ที่นำเข้าข้าวจากไทยเป็นอันดับต้น ๆ (ตารางที่ 2) อย่างไรก็ตาม จากการที่ข้าวเป็นสินค้าอ่อนไหวสำหรับมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ทำให้อัตราภาษีศุลกากรของข้าวในประเทศเหล่านั้นอยุ่ในระดับที่สูงถึงร้อยละ 30-40 ดังนั้นการลดภาษีศุลกากรขาเข้าข้าวของมาเลเซียตามกรอบอาฟต้ากว่าร้อยละ 35-40 จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะส่งออกไปยังมาเลเซีย สำหรับภาษีศุลกากรนำเข้าข้าวของประเทศฟิลิปปินส์ จะมีการเจรจาอีกครั้ง ในขณะที่ไทยจะไม่ได้รับประโยชน์จากอาฟต้าในการส่งออกข้าวไปยังบรูไนและสิงคโปร์ เนื่องจากอัตราภาษีอยู่ที่ร้อยละ 0 อยู่ก่อนแล้ว ตารางที่ 2: มูลค่าการส่งออกข้าวไทยและอัตราภาษีศุลกากรของอาเซียน-5 ประเทศคู่ค้า มูลค่าการส่งออก อัตราภาษีศุลกากรขาเข้า ส่วนต่างอัตราภาษี ไทย (ล้าน ดรอ.) 2551 2553 2558 ศุลกากร (2558-2553) บรูไน 131.5 0% 0% 0% 0% อินโดนีเซีย 343.8* 30% 30% 25% 5% มาเลเซีย 926.5* 40% 20% 0-5% 35-40% ฟิลิปปินส์ 631.3* 40% N/A N/A N/A สิงคโปร์ 596.4 0% 0% 0% 0% ที่มา: ASEAN Secretariat โดยความอนุเคราะห์จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หมายเหตุ: มูลค่าส่งออกสินค้าแต่ละหมวดในรูปล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมูลค่ารวมตั้งแต่ปี 2548 — 2551 * คือสินค้าที่อยู่ในกลุ่มสินค้าอ่อนไหว (Sensitive List or Highly Sensitive List) 2. ยางพารา เป็นสินค้าเกษตรที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังอาเซียน-5 อันดับที่ 2 โดยมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 26.0 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไปยังอาเซียน-5 โดยมาเลเซียเป็นผู้นำเข้ายางพาราจากไทยเป็นอันดับแรกในกลุ่มอาเซียน-5 (ตารางที่ 3) ทั้งนี้ เนื่องจากยางพาราเป็นสินค้าอ่อนไหวของอาเซียน-5 เลย ทำให้อัตราภาษีศุลกากรนำเข้ายางพาราอยู่ในระดับที่ต่ำเพียงร้อยละ 0-5 ส่งผลให้ไทยไม่น่าจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีศุลกากรนำเข้ายางในกรอบอาฟต้ามากนัก ตารางที่ 3: มูลค่าการส่งออกยางพาราไทยและอัตราภาษีศุลกากรของอาเซียน-5 ประเทศคู่ค้า มูลค่าการส่งออก อัตราภาษีศุลกากรขาเข้า ส่วนต่างอัตราภาษี ไทย (ล้าน ดรอ.) 2551 2553 2558 ศุลกากร (2558-2553) บรูไน - 0% 0% 0% 0% อินโดนีเซีย 22.6 5% 0% 0% 5% มาเลเซีย 4,075.5 0% 0% 0% 0% ฟิลิปปินส์ 37.6 3% 0% 0% 3% สิงคโปร์ 347.4 0% 0% 0% 0% ที่มา: ASEAN Secretariat โดยความอนุเคราะห์จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หมายเหตุ: มูลค่าส่งออกสินค้าแต่ละหมวดในรูปล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมูลค่ารวมตั้งแต่ปี 2548 — 2551 3. น้ำตาลทราย เป็นสินค้าเกษตรที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังอาเซียน-5 อันดับที่ 3 โดยมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 17.8 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไปยังอาเซียน-5 โดยอินโดนีเซียเป็นผู้นำเข้าน้ำตาลทรายจากไทยเป็นอันดับแรกในกลุ่มอาเซียน-5 (ตารางที่ 4) ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำตาลทรายเป็นสินค้าอ่อนไหวของอินโดนีเซียและเป็นสินค้าในกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นจากการลดภาษีของฟิลิปปินส์ ทำให้อัตราภาษีศุลกากรนำเข้าน้ำตาลทรายของอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 30-40 ดังนั้น การลดภาษีศุลกากรขาเข้าน้ำตาลทรายของอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ตามกรอบอาฟต้า จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะส่งออกน้ำตาลทรายไปยังสองประเทศนี้ โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียซึ่งมีการนำเข้าน้ำตาลทรายจากไทยในระดับสูงอยู่แล้ว ในขณะที่ไทยจะไม่ได้รับประโยชน์จากอาฟต้าในการส่งออกน้ำตาลทรายไปยังบรูไน มาเลเซียและสิงคโปร์ เนื่องจากอัตราภาษีอยู่ที่ร้อยละ 0 อยู่ก่อนแล้ว ตารางที่ 4: มูลค่าการส่งออกน้ำตาลทรายไทยและอัตราภาษีศุลกากรของอาเซียน-5 ประเทศคู่ค้า มูลค่าการส่งออก อัตราภาษีศุลกากรขาเข้า ส่วนต่างอัตราภาษี ไทย (ล้าน ดรอ.) 2551 2553 2558 ศุลกากร (2558-2553) บรูไน 10.3 0% 0% 0% 0% อินโดนีเซีย 1,504.7* 30-40% 30-40% 5%-10% 25%-30% มาเลเซีย 144.8 0% 0% 0% 0% ฟิลิปปินส์ 156.0** 38% 38% 0-5% 33%-38% สิงคโปร์ 181.2 0% 0% 0% ที่มา: ASEAN Secretariat โดยความอนุเคราะห์จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หมายเหตุ: มูลค่าส่งออกสินค้าแต่ละหมวดในรูปล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมูลค่ารวมตั้งแต่ปี 2548 — 2551 * คือสินค้าที่อยู่ในกลุ่มสินค้าอ่อนไหว (Sensitive List or Highly Sensitive List)
4. มันสำปะหลัง เป็นสินค้าเกษตรที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังอาเซียน-5 อันดับที่ 4 โดยมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 6.6 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไปยังอาเซียน-5 โดย อินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นประเทศที่นำเข้ามันสำปะหลังจากไทยเป็นอันดับต้น ๆ (ตารางที่ 5) ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราภาษีศุลกากรนำเข้ามันสำปะหลังของอาเซียน-5 อยู่ในระดับที่ต่ำเพียงร้อยละ 0-5 ส่งผลให้ไทยไม่น่าจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีศุลกากรนำเข้ายางในกรอบอาฟต้ามากนัก
ตารางที่ 5: มูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังไทยและอัตราภาษีศุลกากรของอาเซียน-5
ประเทศคู่ค้า มูลค่าการส่งออก อัตราภาษีศุลกากรขาเข้า ส่วนต่างอัตราภาษี ไทย (ล้าน ดรอ.) 2551 2553 2558 ศุลกากร (2558-2553) บรูไน 0.2 0% 0% 0% 0% อินโดนีเซีย 443.9 0% 0% 0% 0% มาเลเซีย 244.6 5% 0% 0% 5% ฟิลิปปินส์ 117.5* 5% 5% 0% 5% สิงคโปร์ 121.8 0% 0% 0% 0% ที่มา: ASEAN Secretariat โดยความอนุเคราะห์จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หมายเหตุ: มูลค่าส่งออกสินค้าแต่ละหมวดในรูปล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมูลค่ารวมตั้งแต่ปี 2548 — 2551 * คือสินค้าที่อยู่ในกลุ่มสินค้าอ่อนไหว (Sensitive List or Highly Sensitive List) โดยสรุป เมื่อพิจารณาจากมิติมูลค่าและสัดส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร กอปรกับมิติการลดภาษีศุลกากรขาเข้าของประเทศคู่ค้า สศค. วิเคราะห์ว่า เนื่องจากการลดภาษีศุลกากรในกรอบ AFTA ได้ดำเนินมาในระยะหนึ่งแล้ว การลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ในต้นปี 2553 จึงไม่มีผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจของไทยมากนัก อย่างไรก็ดี ไทยจะได้ประโยชน์ในบางกลุ่มสินค้าที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูงและประเทศคู่ค้ามีการปรับลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ การส่งออกข้าวและมันสำปะหลังไปยังมาเลเซีย และการส่งออกน้ำตาลไปยังอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีการลดภาษีศุลกากรในปี 2558 สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยอาจได้รับผลกระทบจากการลดภาษีศุลกากรในกรอบอาฟต้าจะต้องเป็นสินค้าที่ไทยมีมูลค่าการนำเข้าสูง และไทยมีการปรับลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นในส่วนนี้จะแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 มิติ ได้แก่ มิติมูลค่าและสัดส่วนการนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร และมิติการลดภาษีศุลกากรของประเทศคู่ค้า เมื่อพิจารณาจากมิติมูลค่านำเข้า พบว่าประเทศไทยนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรจากอาเซียน-5 เป็นมูลค่าน้อย โดยในปี พ.ศ. 2552 ไทยนำเข้าสินค้าเหล่านี้เพียง 941.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพียง 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไทยไปยังอาเซียน-5 โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรรวมทั้งสินค้าต้นน้ำภาคการเกษตรสำคัญที่ไทยนำเข้าจะอาเซียน-5 ได้แก่ ปุ๋ย ปลาทูน่า ไขมันและน้ำมันพืช ยางและเศษยางยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ และแป้ง อัตราภาษีศุลกากรนำ เข้าสินค้าดังกล่าวของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำ เพียงร้อยละ 0-5 (ตารางที่ 6) นอกจากนี้ ไทยมีสินค้าเกษตรบางหมวดที่อยู่ในหมวดสินค้าอ่อนไหว ได้แก่ ดอกไม้สด มันฝรั่ง กาแฟ และมะพร้าวแห้ง ยังคงมีภาษีศุลกากรขาเข้าอยู่ที่ร้อยละ 5 ซึ่งทำให้ผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้ในไทยยังคงได้รับความคุ้มครองทางด้านภาษีจนถึงปี 2558 โดยสรุป ในส่วนของการนำเข้า เนื่องจากภาษีศุลกากรของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว ดังนั้นการลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2553 จึงไม่น่ามีผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม การลดภาษีนำเข้าไขมันและน้ำมันพืชก็เป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากมาเลเซียมีต้นทุนการผลิตไขมันและน้ำมันพืชที่ต่ำกว่า ตารางที่ 6: มูลค่าการนำเข้าและอัตราภาษีศุลกากรของอาเซียน-5 สินค้าเกษตรและ มูลค่าการนำเข้าของ อัตราภาษีศุลกากรขาเข้าของไทย ส่วนต่างอัตราภาษี อุตสาหกรรมเกษตร ไทยจากอาเซียน-5 2551 2553 2558 ศุลกากร (2558-2553) ปุ๋ย 690.6 0% 0% 0% 0% ปลาทูน่า 378.1 0% 0% 0% 0% ไขมันและน้ำมันพืช 353.3 0-5% 0% 0% 0-5% ยางและเศษยาง 198.5 0% 0% 0% 0% ยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ 155.5 0% 0% 0% 0% แป้ง 72.5 0-5% 0% 0% 0-5% ที่มา: ASEAN Secretariat โดยความอนุเคราะห์จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หมายเหตุ: มูลค่าการนำเข้าแต่ละหมวดในรูปล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมูลค่ารวมตั้งแต่ปี 2548 — 2551 4 .แนวนโยบาย ในแง่การส่งออก ไทยจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีศุลกากรนำเข้าในกรอบอาฟต้า โดยเฉพาะการลดภาษีศุลกากรนำเข้าข้าวของมาเลเซีย และการลดภาษีศุลกากรนำเข้าน้ำตาลของอินโดนีเซีย ดังนั้น ไทยควรเร่งปรับศักยภาพการผลิตข้าวและน้ำตาลของไทยเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงอาฟต้าได้อย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ โดยในปัจจุบันการผลิตข้าวของไทยยังมีปัจจัยเหนี่ยวรั้งในแง่ปริมาณที่สามารถผลิตได้ต่อปี ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำเพียงประมาณ 400 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของอาเซียนอยู่ที่ 638 กิโลกรัมต่อไร่2 อีกทั้งผลผลิตข้าวยังประสบปัญหาศัตรูพืชและสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยอยู่เนืองๆ ดังนั้น รัฐจึงควรเร่งผลิตผล (Productivity) ในการผลิตข้าว เพื่อให้ไทยสามารถใช้โอกาสจากการเปิดเสรีการค้าอาเซียนได้เต็มที่ ในแง่ของการนำเข้า แม้ว่าการนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรจะคิดเป็นสัดส่วนที่น้อย อีกทั้งภาษีศุลกากรของไทยในสินค้าเหล่านี้อยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้คาดว่าผลกระทบจากการลดภาษีศุลกากรตามกรอบอาฟต้าในปีพ.ศ. 2553 จะมีไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมาเลเซียมีต้นทุนการผลิตไขมันและน้ำมันพืชที่ต่ำกว่า การลดภาษีศุลกากรนำเข้าในหมวดสินค้านี้ จึงอาจทำให้หมวดไขมันและน้ำมันพืชมีการแข่งขันสูงขึ้น ดังนั้น รัฐควรสอดส่องดูแลเกษตรกรและผู้ผลิตให้สามารถรองรับการแข่งขันจากอาเซียนที่สูงขึ้น ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th