- วันที่ 19 มิถุนายน 2553 ธนาคารกลางของจีนเปิดเผยว่าจะปรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมที่จีนบริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้เคลื่อนไหวอยู่ในระดับคงที่ที่ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ มานานกว่า 2 ปี
- สศค. วิเคราะห์ว่า การประกาศว่าจะดำเนินนโยบายค่าเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้นของจีน จะส่งผลต่อความผันผวนผ่านตลาดเงินในระยะสั้น และจะเป็นประโยชน์ต่อไทยในแง่การค้าและการท่องเที่ยวในระยะปานกลางโดย ในด้านการเงิน ค่าเงินบาทอาจปรับแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นจากการเก็งกำไรในสินทรัพย์สกุลเงินบาทในฐานะสกุลเงิน Proxy Trading ของสกุลหยวน ในด้านการค้า เงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลให้ไทยส่งออกสินค้าไปยังจีนและคู่ค้าของจีนได้มากขึ้น ในด้านการลงทุน ผลกระทบอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนโดยตรงสุทธิจากจีนในไทยมีสัดส่วนที่น้อยคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.5 ของ การลงทุนโดยตรงสุทธิทั้งหมด ในด้านการท่องเที่ยว จะได้รับอานิสงส์จากค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้สัดส่วนนักท่องเที่ยวจากจีนคิดเป็นร้อยละ 5 ของจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมของไทยในปี 2552
- บทบาทของภาครัฐ ในระยะสั้น (1) ภาครัฐควรติดตามและดูแลความผันผวนของค่าเงินและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด (2) ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งดูแลสภาพคล่องในระบบธนาคารให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ และในระยะปานกลางถึงยาว (1) ภาครัฐควรเร่งพัฒนาอุปสงค์ภาคในประเทศ โดยเร่งเบิกจ่ายงบประมาณไทยเข้มแข็ง เพื่อลดการพึ่งพาภาคการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (2) การกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ที่มีศักยภาพ รวมทั้งขยายตลาดไปยังประเทศที่เป็นคู่ค้าของจีนในรายสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ และ (3) ไทยควรประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาคในการสอดส่องดูแลความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2553 ธนาคารกลางของจีนเปิดเผยว่าจะเตรียมปรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการให้จีนปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่จีนบริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้เคลื่อนไหวอยู่ในระดับคงที่ที่ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มานานกว่า 2 ปีบทความนี้จะได้วิเคราะห์ นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ผลกระทบของการปรับค่าเงินดังกล่าวต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เมื่อเดือน ก.ค. 2548 จีนได้ปฏิรูปอัตราแลกปลี่ยนของเงินหยวน จากอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (fixed exchange rate) ที่ให้ค่าเงินหยวนอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงสกุลเดียว เป็นการกำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนลอยตัวแบบจัดการ (managed float) ด้วยการกำหนดให้ค่าเงินหยวนอ้างอิงกับเงินสกุลต่างๆ ในตะกร้า (currencies basket) เพื่อนำมาประเมินอัตรากลางของค่าเงินหยวน (mid-value) โดยธนาคารกลางจีนจะควบคุมให้ค่าเงินหยวนในตลาด สามารถจะแตกต่างจากค่ากลางที่กำหนดได้ ภายในกรอบการเคลื่อนไหว (trading band) ที่ธนาคารกลางจีนกำหนด ทั้งนี้ ในเดือน ก.ค. 2548 ธนาคารกลางจีนได้ประกาศช่วงเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนไว้ที่ร้อยละ 0.3 กล่าวคือ ค่าเงินหยวนต้องไม่แข็งหรืออ่อนกว่าร้อยละ 0.3 จากค่ากลางที่ธนาคารกำหนดในแต่ละวัน และ หากในช่วงระหว่างวัน ค่าเงินหยวนที่ซื้อขายจริงมีการเคลื่อนไหวเกินกว่ากรอบดังกล่าว ธนาคารกลางจีนจะเข้ามาควบคุมดูแล พร้อมประกาศอัตรากลางใหม่สำหรับวันถัดไป ต่อมาในเดือน พ.ค. 2550 ธนาคารกลางจีนได้ขยาย trading band เป็นร้อยละ 0.5 และคงระดับดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน
นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งล่าสุด ทางการจีนได้เลือกที่จะบริหารค่าเงินหยวน ให้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันให้แก่สินค้าส่งออกของจีน ส่งผลให้จีนมีดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2551- 2552 ธนาคารกลางจีนประกาศปรับอัตรากลางของค่าเงินหยวนน้อยมาก โดยค่ากลางของเงินหยวนแข็งขึ้นเพียงร้อยละ 1.8 จากระดับเฉลี่ยที่ 6.9583 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2551 เป็น 6.8312 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2552 ทำให้แม้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของโลกยังคงไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่จีนกลับเกินดุลการค้ากว่า 298.13 และ 195.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2551 และ 2552 ตามลำดับ
การเกินดุลการค้าของจีนส่งผลให้หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งกำลังประสพปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ได้กดดันให้จีนทบทวนปฏิรูปค่าเงินหยวน จนทำให้จีนเริ่มส่งสัญญาณปฏิรูปค่าเงินหยวนอีกครั้ง โดยในวันที่ 19 มิ.ย. 53 ธนาคารกลางจีนประกาศส่งเสริมการปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน โดยกล่าวว่า เป็นการปรับอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ2 ซึ่งในปัจจุบันเศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวในเกณฑ์ดีดังนั้น การปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนที่อยู่บนพื้นฐานของอุปสงค์และอุปทานในตลาดจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจีนได้ย้ำว่าการปรับอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อลดผลกระทบในเชิงลบที่อาจมีต่อผู้ประกอบการ ทั้งนี้ พบว่านับตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. 53 เป็นต้นมา ธนาคารกลางจีนได้ประกาศลดค่ากลางของอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนที่ร้อยละ 0.5
ในส่วนนี้ สศค. จะวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเมื่อค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านช่องทางความเชื่อมโยงต่าง ๆ ได้แก่ 1) ผลกระทบผ่านช่องทางภาคการเงิน (Financial Impact) และ 2) ผลกระทบผ่านช่องทางเศรษฐกิจจริง (Real Sector Impact) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการเงินเมื่อค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถเห็นได้จากผลกระทบจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงิน โดย สศค. วิเคราะห์ว่า การประกาศว่าจะดำเนินนโยบายค่าเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้นของจีน ได้ส่งผลให้เกิดความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน ในภูมิภาคในทันที กล่าวคือ จากการที่ธนาคารกลางจีนได้มีการกำกับดูแลการซื้อขายเงินหยวนอย่างเคร่งครัด ทำให้นักลงทุนในตลาดเงินที่ต้องการลงทุนในค่าเงินหยวน หันมาซื้อขายเงินตราสกุลอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง (Proxy Trading) ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาค รวมทั้งค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นตามการคาดการณ์ของนักลงทุนว่าธนาคารจีนจะปรับค่าเงินหยวนแข็งขึ้น
ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางเศรษฐกิจจริงนั้นสามารถจำแนกได้เป็น 1) ผลกระทบด้านการค้า 2) ผลกระทบด้านการลงทุน และ 3) ผลกระทบด้านการท่องเที่ยว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
3.2.1 ผลกระทบด้านการค้า
สศค. วิเคราะห์ว่า ผลกระทบผ่านช่องทางการค้าระหว่างไทยและจีนจะส่งผลให้ไทยส่งออกสินค้าไปยังจีนได้มากขึ้น เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาของบาทต่อหยวนก็จะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2552 การส่งออกของไทยไปยังจีนคิดเป็นสัดส่วนที่ร้อยละ 10.0 ของการส่งออกของไทยโดยรวม(ภาพที่ 2) ดังนั้น หากค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเทียบกับค่าเงินหยวน ความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาของบาทต่อหยวนก็จะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย อันจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยในระยะปานกลาง จากความได้เปรียบทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งจะส่งผลให้ประเทศจีนมีกำลังการนำเข้าจากประเทศไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ ความได้เปรียบด้านราคาที่เพิ่มมากขึ้น อาจจะส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่เป็นคู่ค้าของจีนได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย เช่นสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าสองอันดับแรกของจีนและเมื่อพิจารณาจากประเภทของสินค้า 10 อันดับแรกของไทยและจีนที่ส่งออกไปสู่ตลาดโลกในปี 2552 พบว่าไทยและจีนเป็นคู่แข่งทางการค้าของสินค้าประเภท เหล็ก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก
ตารางที่ 1: สินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของจีนและไทยในปี 2552
อันดับที่ จีน ไทย ประเภทสินค้า ประเภทสินค้า 1 เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2 เครื่องจักรไฟฟ้าและอุปกรณ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 3 เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ 4 สิ่งทอ แผงวงจรไฟฟ้า 5 เหล็ก เหล็กกล้า น้ำมันสำเร็จรูป 6 รถยนต์ เครื่องบินและเรือ ข้าว 7 เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 8 อุปกรณ์ดิจิตอล ถ่ายภาพ ภาพยนตร์ ผลิตภัณฑ์ยาง 9 เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ 10 รองเท้า หมวก ร่ม และอื่นๆ เม็ดพลาสติก ที่มา: กระทรวงพาณิชย์และ CEIC อย่างไรก็ตาม เมื่อค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นก็จะส่งผลทำให้มูลค่าสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนมีมูลค่าสูงขึ้นด้วย เนื่องจากไทยนำเข้าสินค้าจากจีนคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 10.7 ของการนำเข้าสินเข้าทั้งหมดของไทยในปี 2552 นอกจากนี้ หากค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นก็จะทำให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยจากภูมิภาคเอเชียสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ผลกระทบสุทธิเมื่อค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นต่อดุลการค้าของไทย จึงจำเป็นต้องพิจาณาทั้งผลกระทบด้านราคาของสินค้านำเข้าและปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากตารางที่ 2 พบว่าในช่วงเดือน ม.ค. - พ.ค. 53 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ตารางที่ 2: ดุลการค้าของไทย (เป็นเงินบาท) หน่วย: ล้านบาท ปี/อัตราการขยายตัว สหรัฐฯ จีน ยุโรป ญี่ปุ่น อาเซียน อื่นๆ 2551 287,071 -138,024 292,808 -454,894 320,254 -1,450,538 %yoy -14.7 156.3 -10.9 24.7 24.9 75.7 2552 279,146 -37,215 199,915 -323,955 258,228 -365,661 %yoy -2.8 -73.0 -31.7 -28.8 -19.4 -74.8 ม.ค.- พ.ค.2553 99,474 -30,359 91,565 -229,647 170,969 -286,842 %yoy -0.7 95.6 16.7 174.8 140.2 47841.3 ที่มา: กรมศุลกากร และ CEIC 3.2.2 ผลกระทบด้านการลงทุน สศค. วิเคราะห์ว่า การลงทุนจากจีนเพิ่มมากขึ้นเมื่อค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนโดยตรงสุทธิจากจีนในไทยมีสัดส่วนที่น้อยคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.5 ของการลงทุนโดยตรงสุทธิทั้งหมดโดยในปี 2552 การลงทุนโดยตรงสุทธิจากจีนมายังไทยมีมูลค่า 69.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ตารางที่ 3) ตารางที่ 3: การลงทุนโดยตรงสุทธิในไทยจากจีน หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปี จีน อัตราการขยายตัว (%yoy) สัดส่วน (%) 2551 17.2 -76.7 0.2% 2552 29.2 69.6 0.5% Q1/2553 10.8 206.5 0.7% ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย 3.2.3 ผลกระทบด้านการท่องเที่ยว สศค. วิเคราะห์ว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยจะได้รับอานิสงค์จากค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นเนื่องจากสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากจีนคิดเป็นร้อยละ 5 ของจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมของไทยในปี 2552 (ภาพที่ 3) โดยในปี พ.ศ. 2552 ได้มีนักท่องเที่ยวจากจีนกว่า 7.8 แสนคนเข้ามาในไทย (ตารางที่ 4) ตารางที่ 4: จำนวนนักท่องเที่ยว เอเชีย (ไม่รวมจีน) จีน ยุโรป สหรัฐฯ โอเชียนเนีย อื่นๆ 2551 7,439,586 826,660 3,984,614 906,894 796,454 1,379,784 %yoy 1.0 -8.9 2.1 -1.7 4.2 4.5 2552 7,069,641 777,467 4,057,392 853,276 737,282 1,336,102 %yoy -4.97 -6.0 1.8 -5.9 -7.4 -3.2 ม.ค.-พ.ค. 2553 3,085,061 422,359 2,085,231 379,912 306,093 575,374 %yoy 12.85 42.6 18.3 6.7 13.4 17.8 ที่มา: สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ CEIC 4. นัยเชิงนโยบายของประเทศไทย แม้ว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีน อาจทำให้ไทยได้รับประโยชน์ผ่านช่องทางด้านการค้า การท่องเที่ยง และการลงทุน อย่างไรก็ตาม นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีนดังกล่าว อาจทำให้เกิดความผันผวนในภาคการเงินในระยะสั้น ซึ่งภาครัฐควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกล่าวคือ ในระยะสั้น (1) ภาครัฐควรติดตามและดูแลความผันผวนของค่าเงินและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิดโดยอาจใช้กลไกการติดตามและรายงานผล ของคณะทำงาน Emergency Economic Resolution Committee ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย โดยมี สศค. เป็นเลขานุการคณะทำงานฯ (2) ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมพร้อมทั้งดูแลสภาพคล่องในระบบธนาคารให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ และ ในระยะปานกลางถึงยาว (1) เพื่อลดการพึ่งพาภาคการส่งออก ภาครัฐควรเร่งพัฒนาอุปสงค์ภาคในประเทศ โดยเร่งเบิกจ่ายงบประมาณไทยเข้มแข็ง (2) สนับสนุนการใช้โอกาสในการได้ปรับด้านราคาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ในการกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ที่มีศักยภาพ อาทิ เอเชียตะวันออก อินเดีย ตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย เป็นต้น รวมทั้งขยายตลาดไปยังประเทศที่เป็นคู่ค้าของจีนในรายสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ (3) ไทยควรประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาคในการสอดส่องดูแลความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายผ่านศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์เศรษฐกิจของอาเซียน+3 (Regional Economic Surveillance Unit) และการจัดตั้งทุนสำรองระหว่างประเทศร่วมกันภายใต้ Chiang Mai Initiative Multilateralisation เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 สามารถกู้ยืมทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อจำเป็นได้ ทั้งนี้ นอกเหนือจากมาตรการในการติดตามและเฝ้าระวังของภาครัฐดังกล่าว ภาคเอกชนสามารถเตรียมความพร้อมด้วยตนเองได้ อาทิ การใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการกระจายตลาดการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ นอกเหนือจากภูมิภาคยุโรป ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th