รายงานภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่น ประจำสัปดาห์วันที่ 14 กรกฎาคม — 6 สิงหาคม 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 10, 2010 12:26 —กระทรวงการคลัง

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ดังนี้

1. ดัชนีเศรษฐกิจที่สาคัญในเดือนมิถุนายน 2553

2. ยอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 8.1

3. IMF แสดงความเห็นว่าญี่ปุ่นควรขึ้นอัตราภาษีบริโภคเพื่อฟื้นฟูสถานะทางการคลังเป็นครั้งแรก

4. รัฐบาลจีนหันมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมากขึ้น

5. รัฐบาลญี่ปุ่นจัดตั้งองค์กรใหม่เพื่อรับผิดชอบในการจัดทานโยบายเศรษฐกิจการคลังในภาพรวม

6. อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีลดลงต่ากว่าร้อยละ 1 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

-----------------------------------

1. ดัชนีเศรษฐกิจที่สาคัญในเดือนมิถุนายน 2553

1.1 ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output) เดือนมิถุนายน 2553 ลดลงร้อยละ 1.5

กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economic Trade and Industry: METI)ได้เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output) ของเดือนมิถุนายน 2553 ลดลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 94.7 (ปี 2548=100) ซึ่งการลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เนื่องจากการส่งออกลดลง METI คาดว่าผลผลิตจะปรับตัวดีขึ้นต่อไป แต่ยังอยู่ในภาวะที่ไม่มีเสถีรยภาพทางเศรษฐกิจ

1.2 ดัชนีราคาผู้บริโภค (Core Consumer Price Index)

กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารได้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคประจาเดือนยกเว้นอาหารสด (CPI, ปี 2548=100) ประจาเดือนมิถุนายน 2553 ลดลงร้อยละ 1.0 อยู่ที่ 99.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้าดัชนีราคาผู้บริโภคได้ลดลงต่อเนื่องติดต่อกัน 16 เดือนแล้ว เนื่องจากราคาอาหารและเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างมาก ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอยู่ในภาวะเงินฝืดต่อไป

1.3 อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate)

อัตราการว่างงานเดือนมิถุนายน 2553 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.3 เทียบกับร้อยละ 5.2 ในเดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น 4 เดือนแล้ว

1.4 การใช้จ่ายบริโภคเดือนมิถุนายน 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5

กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารได้เปิดเผยว่าการใช้จ่ายบริโภคประจำเดือนมิถุนายน 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า การเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เป็นผลจากการที่ผู้บริโภคซื้อเครื่องปรับอากาศและโทรทัศน์มากขึ้น

2. ยอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 8.1

กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพฤษภาคม 2553 มีจำนวน 1.2053 ล้านล้านเยน ลดลงร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือนการเกินดุลการค้ามีจานวน 391 พันล้านเยน โดยยอดการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.8 คิดเป็นจานวน 5.276 ล้านล้านเยน เนื่องจากความต้องการยานยนต์และเหล็กกล้ามากขึ้น ในขณะเดียวกันยอดการนาเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.8 คิดเป็นจานวน 4.6366 ล้านล้านเยน เนื่องจากราคาน้ามันเพิ่มขึ้นร้อยละ 54.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น

ส่วนการเกินดุลการค้าและบริการมีจานวน 347.2 พันล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 ส่วนการเกินดุลรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลจากการลงทุนต่างประเทศลดลงเนื่องจากดอกเบี้ยและเงินปันผลจากการลงทุนในต่างประเทศลดลง ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็น 11 เดือนแล้ว รายละเอียดปรากฎตามตารางที่แนบ

3. IMF แสดงความเห็นว่าญี่ปุ่นควรขึ้นอัตราภาษีบริโภคเพื่อฟื้นฟูสถานะทางการคลังเป็นครั้งแรก

International Monetary Fund (IMF) ได้รายงานผลการสารวจประจาปีของประเทศญี่ปุ่นว่าเป็นประเทศที่มีสถานะทางการคลังน่าเป็นห่วงที่สุดในหมู่บรรดาประเทศผู้นาทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน และได้ให้ความเห็นว่าญี่ปุ่นควรจะต้องเริ่มปรับขึ้นอัตราภาษีบริโภค (Consumption Tax) ภายในปี 2554 เพื่อเริ่มการฟื้นฟูสถานะทางการคลังอย่างเร็วที่สุด โดยในรายงานดังกล่าวได้มีการกล่าวถึงวิกฤติทางการคลังของประเทศกรีซ ที่ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจต่อประเทศในแถบยุโรปเป็นอย่างมาก จนทาให้ประเด็นการฟื้นฟูสถานะทางการคลังกลายเป็นวาระสาคัญของบรรดาประเทศผู้นาทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งหากญี่ปุ่นที่เป็นประเทศที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกปัจจุบันอย่างมากเกิดวิกฤติทางการคลังขึ้น ก็จะทาให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบร้ายแรงอย่างแน่นอน ดังนั้น IMF จึงได้แสดงความเห็นว่าหากญี่ปุ่นต้องการที่จะลดอัตราการขยายตัวของจานวนหนี้สาธารณะประเทศภายในปี 2558 ญี่ปุ่นจะต้องปรับอัตราภาษีบริโภคขึ้นเป็นประมาณอัตราร้อยละ 14 - 22 จากปัจจุบันที่มีอัตราเท่ากับร้อยละ 5 ซึ่งหากจะทาให้รัฐบาลมีรายได้เพียงพอที่จะไม่ต้องตัดค่าใช้จ่ายลงอย่างมากก็จะต้องมีการปรับอัตราภาษีขึ้นเท่ากับร้อยละ 22 ก็ แต่หากปรับอัตราขึ้นเท่ากับร้อยละ 14 รัฐบาลก็ยังคงมีความจาเป็นที่จะต้องควบคุมและลดค่าใช้จ่ายทางด้านบริการสังคมลงอีกเป็นจานวนมาก ในขณะเดียวกันเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศในยุทธศาสตร์การบริหารการคลังว่าญี่ปุ่นมีความจาเป็นจะต้องปรับอัตราภาษีบริโภคขึ้นเป็นประมาณอัตราร้อยละ 11 — 14 ภายในปี 2563 จึงจะสามารถฟื้นฟูสถานะการคลังได้ ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเลขที่ IMF เสนอมาแล้วมีจานวนน้อยกว่ามาก ดังนั้นความแตกต่างของตัวเลขที่ปรากฎนี้จะเป็นประเด็นสาคัญที่จะต้องพิจารณา ในการวางแผนฟื้นฟูสถานะทางการคลังของญี่ปุ่นต่อจากนี้ไปอย่างแน่นอน รวมทั้งการที่พรรครัฐบาลคือ The Democratic Party of Japan (DPJ) ได้แพ้ในการเลือกตั้งสภาสูงเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมาทาให้หลายฝ่ายเกรงว่ารัฐบาลอาจจะยืดระยะเวลาในการเริ่มขึ้นภาษีบริโภคออกไป เนื่องจากกลัวว่าจะทาให้ความนิยมของพรรคลดลงมากกว่าปัจจุบันโดยการที่ IMF แสดงความเห็นเรื่องการขึ้นอัตราภาษีบริโภคและช่วงที่ควรจะเริ่มขึ้นภาษีต่อประเทศญี่ปุ่นนั้นนับได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าบรรดาประเทศผู้นาทางเศรษฐกิจเริ่มกังวลต่อสถานะการคลังญี่ปุ่นอย่างจริงจังมากขึ้น

4. รัฐบาลจีนหันมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมากขึ้น

รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่าตั้งแต่ช่วงต้นปี 2553 ประเทศจีนได้เริ่มลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา จากสถิติรายได้ระหว่างประเทศของกระทรวงการคลัง พบว่าจานวนการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม 2553 ของรัฐบาลจีนมีจานวนเท่ากับ 1.2762 ล้านล้านเยน ซึ่งมีจานวนมากกว่ายอดรวมประจาปี 2548 ถึง 5 เท่า และเป็นจานวนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ได้เริ่มมีการเก็บสถิติมา โดยคาดว่ามีสาเหตุมาจากความวุ่นวายในตลาดการเงินยุโรป และค่าเงินยูโรที่อ่อนตัวลงอย่างมาก ทาให้รัฐบาลจีนหันมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น จากสถิติระหว่างปี 2548 — 2552 ยอดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นของจีนที่มากที่สุดมีจานวนเท่ากับคือ 2 แสนล้านเยน แต่ภายหลังจากเกิดความวุ่นวายในตลาดการเงินยุโรปในปีนี้จะเห็นได้ว่าจีนเริ่มเข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างจริงจังมากขึ้น โดยยอดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นของจีนเฉพาะในเดือนพฤษภาคม 2553 มีจานวนมากถึง 7.352 แสนล้านเยน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลชนิดระยะสั้น รวมทั้งจีนยังมียอดการซื้อพันธบัตรโดยรวมประจาเดือนพฤษภาคม 2553 เท่ากับ 3.2102 ล้านล้านเยนเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศอังกฤษที่มียอดรวมเท่ากับ 4.9807 ล้านล้านเยนด้วย เนื่องจากเดิมจีนมีกฎระเบียบที่เข้มงวดในการควบคุมการลงทุนในต่างประเทศจึงแสดงให้เห็นว่าเป็นการซื้อส่วนใหญ่มาจากหน่วยงานรัฐบาลเพื่อบริหารเงินทุนสารองระหว่างประเทศ รวมทั้งจากการเปิดเผยของธนาคารกลางจีนเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2553 ถึงยอดเงินทุนสารองระหว่างประเทศของจีนเมื่อช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน 2553 มีจานวนเท่ากับ 2.4543 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นอันดับ 1 ของโลกมากกว่าญี่ปุ่นที่เป็นอันดับ 2 ถึง 2.3 เท่า แต่เมื่อดูจากยอดเงินทุนสารองระหว่างประเทศในเดือนพฤษภาคม พบว่ามีจานวนลดลงน้อยกว่าเดือนก่อนหน้าเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 3 เดือนเนื่องจากสถานะการคลังของยุโรปที่ปรับตัวแย่ลงจนส่งผลให้เกิดความกังวลในตลาดการส่งออกจีนจนทาให้เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในจีนในช่วงเดือนเมษายน จากการคาดการณ์ว่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นถูกถอนกลับออกไปจนยอดเงินทุนสารองระหว่างประเทศลดลงอย่างฉับพลัน

5. รัฐบาลญี่ปุ่นจัดตั้งองค์กรใหม่เพื่อรับผิดชอบในการจัดทานโยบายเศรษฐกิจการคลังในภาพรวม

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2553 รัฐบาลได้เปิดเผยเกี่ยวกับแนวความคิดที่จะจัดตั้งองค์การใหม่ เพื่อรองรับการจัดทำนโยบายเศรษฐกิจการคลังโดยรวมของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เช่น จัดทาร่างงบประมาณประจาปี 2554 และการปฎิรูประบบภาษีเป็นต้น โดยคาดว่าองค์การดังกล่าวน่าจะเริ่มดาเนินการได้ภายในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคม การจัดตั้งองค์การดังกล่าวนั้นมีสาเหตุหลักมาจากที่การพรรค The Democratic Party of Japan (DPJ) ซึ่งเป็นพรรคแกนนารัฐบาลได้พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสภาสูงเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมาจนส่งผลให้เสียงในสภานั้นแยกออกเป็นหลายฝ่ายจนไม่สามารถผ่านกฎหมายยกระดับ National Policy Unit ซึ่งปัจจุบันอยู่ใต้ Cabinet Office ให้เป็นระดับสานักงาน(Government Bureau) ได้ตามที่วางแผนไว้แต่แรก ซึ่งการจัดตั้งสานักงานดังกล่าวนี้มีจุดมุ่งหมายเพิ่อให้ฝ่ายการเมืองสามารถเป็นผู้ตัดสินใจและกาหนดนโยบายเศรษฐกิจการคลังโดยรวมได้อย่างเด็ดขาดตามแนวความคิดของพรรค DPJ จากเดิมที่ฝ่ายราชการจะเป็นตัวหลักในการกาหนดนโยบายต่างๆ โดยใช้วิธีหารือกันภายในหรือระหว่างกระทรวง ซึ่งโครงสร้างขององค์การใหม่ดังกล่าวนั้นจะมีสมาชิกคณะรัฐมนตรีเป็นศูนย์กลางบริหาร และใช้เจ้าหน้าที่จาก Cabinet Office หรือเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการวิจัยนโยบายของพรรค DPJ เป็นผู้ปฎิบัติ โดย National Policy Unit นั้นยังจะคงมีอยู่แต่จะเปลี่ยนสถานะเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาและให้คาแนะนา (think tank) ของนายกรัฐมนตรีแทน โดยจะยกเลิกการหารือกันระหว่างกระทรวงต่างๆ และเปลี่ยนเป็นการให้คาแนะนาโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับนโยบายทุกๆด้านรวมทั้งนโยบายด้านต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ตามองค์การดังกล่าว ยังไม่มีกฎหมายจัดตั้งอย่างเป็นทางการมารองรับอานาจหน้าที่ และขอบเขตความรับผิดชอบการดาเนินการ ซึ่งอาจจะทาให้เกิดความไม่ชัดเจนในการดาเนินการขึ้นได้ในอนาคต

6. อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีลดลงต่ากว่าร้อยละ 1 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2553 ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในตลาดการเงินโตเกียวเป็นอย่างมาก เช่น อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีซึ่งได้ใช้เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะยาวได้ลดลงต่ากว่าร้อยละ 1 เท่ากับร้อยละ 0.995 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2546 ในขณะเดียวกันค่าเงินเยนได้แข็งตัวขึ้นอย่างมากจนอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 85 เยน รวมทั้งดัชนีราคาหุ้นนิเคอิปรับตัวลงต่ากว่า 9,500 เยน เนื่องจากความกังวลในสภาวะเศรษฐกิจของ สหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงมากกว่าที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่มีผลต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวหลัก คือ อัตราผลตอบแทนระหว่างเงินลงทุนกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีซึ่งปกติในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจดีนั้นอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจาก นักลงทุนได้ไปลงทุนในด้านอื่นส่งผลให้ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลน้อยลง แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินในสหภาพยุโรป และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวในเร็ววันนี้ทาให้บรรดานักลงทุนหันมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้นเนื่องจากมีความเสี่ยงต่ากว่าสินค้าทางการเงินประเภทอื่นๆ จนทาให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวทั่วโลกลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย รวมทั้งดอกเบี้ยเงินกู้สาหรับผู้ประกอบการทั่วไปด้วย และผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ กับสหภาพยุโรปได้ส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะมียอดหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงมากก็ตาม โดยหลายฝ่ายมองว่า Federal Reserve Board ของสหรัฐฯ อาจจะมีการใช้นโยบายผ่อนความตึงเครียดทางการเงินภายในอาทิตย์หน้านี้ สาหรับประเทศญี่ปุ่นจากการที่พรรครัฐบาลคือพรรค The Democratic Party of Japan (DPJ) ได้พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทาให้แนวทางการฟื้นฟูสถานะการคลังของรัฐบาลปัจจุบันนั้นเป็นไปได้ยากขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลมีแนวโน้มว่าจะต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลงปประมาณต่อไป แต่จากสถานะการณ์ปัจจุบันความต้องการพันธบัตรรัฐบาลยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นในกรณีของสถาบันการเงิน อัตราการกู้ยืมเงินลงทุนปัจจุบันนั้นยังไม่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น ทาให้สถาบันการเงินมียอดเงินฝากคงเหลือจานวนมาก และต้องนามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทน ดังนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นจึงไม่น่าจะต้องห่วงเกี่ยวเรื่องปริมาณความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในขณะนี้เท่าไรนัก

ดุลการชาระเงินระหว่างประเทศประจาเดือนพฤษภาคม 2553

(Balance of Payments)

                                                                           หน่วย: พันล้านเยน
                    รายการ                                พฤษภาคม 2553       พฤษภาคม 2552
1. ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance)                   1,205.3             1,311.4
(เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า)                                     (-8.1)             (-33.8)
 1.1 ดุลการค้าและบริการ (Goods & Services Balance)               347.2               249.5
 (เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า)                                    (39.2)             (-48.8)
  1.1.1 ดุลการค้า (Trade Balance)                               391.0               393.5
 (เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า)                                    (-0.6)             (-20.9)
        การส่งออก (Exports)                                  5,027.6             3,757.4
 (เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า)                                    (33.8)             (-42.2)
        การนำเข้า (Imports)                                  4,636.6             3,364.0
 (เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า)                                    (37.8)             (-44.0)
  1.1.2 ดุลบริการ (Services Balance)                            -43.8              -143.9
 1.2 รายได้จากดอกเบี้ย/เงินปันผล (Income)                          928.7             1,176.4
 1.3 การโอนรายได้ (Current Transfers)                          -70.7              -114.6
2. ดุลบัญชีทุนและการเงิน (Capital & Financial Account Balance)  -1,283.4              -839.6
 2.1 ดุลบัญชีการเงิน (Financial Account Balance)               -1,236.0              -804.4
      การลงทุนโดยตรง (Direct Investment)                      -469.0              -137.8
      การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (Portfolio Investment)          -1,758.0            -2,922.9
      การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ด้านการเงิน (Financial Derivatives)   -34.1              -132.7
      การลงทุนอื่นๆ (Other investments)                       -2,491.0             2,389.1
 2.2 ดุลบัญชีทุน (Capital Account Balance)                        -47.3               -35.2
3. ยอดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิ (Changes in Reserve Assets)   -91.0              -332.7
ที่มา: กระทรวงการคลังญี่ปุ่น


          สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ณ กรุงโตเกียว

          ที่มา:  Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
          Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ