Executive Summary
- GDP ไทยไตรมาส 2 ปี 53 ขยายตัวที่ร้อยละ 9.1 ต่อปี
- ผลการเบิกจ่ายงบประมาณในเดือน ก.ค. 53 เบิกจ่ายได้จำนวน 142.6 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ -13.1 ต่อปี ทำให้ดุลงบประมาณขาดดุลจำนวน -37.3 พันล้านบาท
- ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือน ก.ค.53 หดตัวที่ร้อยละ -2.4 ต่อปี และดัชนีราคาสินค้าเกษตรในเดือน ก.ค. 53 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 32.9 ต่อปี
- ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือน ก.ค. 53 ขยายตัวที่ร้อยละ 64.1 และ 44.0 ต่อปี ตามลำดับ
- ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ค.53 ขยายตัวร้อยละ 13.1 ต่อปี
- ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น จากเดิมที่ร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.75
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซนเดือน มิ.ย. 53 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ -11.7
- การส่งออกญี่ปุ่นขยายตัวชะลอลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ที่ร้อยละ 23.5 ต่อปี
- GDP ฟิลิปปินส์ไตรมาสที่ 2 ปี 53 ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี
Indicators Forecast Previous June: Iron sales (%yoy) -3.0 -4.7
- เนื่องจากปัจจัยฐานสูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
July: Headline Inflation (%yoy) 3.3 3.4
- เนื่องจากฐานการคำนวณในปีก่อนหน้าที่เริ่มสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีราคาในหมวดยานพาหนะและน้ำ มันเชื้อเพลิงจะปรับตัวสูงขึ้น ตามราคา
น้ำมันดิบโลก
GDP ไทยในไตรมาส 2 ปี 53 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.1 ต่อปีหรือร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (ขจัดผลทางฤดูกาลแล้ว) ผลจากการขยายตัวของภาคการส่งออกสินค้าและบริการ และการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 22.3 และ 6.5 ต่อปีตามลำดับ ขณะที่เมื่อพิจารณาด้านอุปทานพบว่าสาเหตุที่ทำให้ GDP ขยายตัวได้สูงมาจากสาขาอุตสาหกรรมที่ขยายตัวที่ร้อยละ 18.0 ต่อปี
ผลการเบิกจ่ายงบประมาณในเดือน ก.ค. 53 เบิกจ่ายได้จำนวน 142.6 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ -13.1 ต่อปี โดยเป็นการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำจำนวน 124.8 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ -2.9 ต่อปี และรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายได้จำนวน 10.3 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ -65.9 ต่อปี ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณที่สำคัญในเดือน ก.ค. 53 ได้แก่ รายจ่ายจากงบอื่นๆ เบิกจ่ายได้จำนวน 40.8 พันล้านบาท ซึ่งมาจากกองทุนหลักประกันสุขภาพจำ นวน 15.8 พันล้านบาท รายจ่ายเงินอุดหนุนของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 4.0 พันล้านบาท ทั้งนี้ การเบิกจ่ายในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 53 เบิกจ่ายได้จำนวน 1,481.6 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ -6.1 ต่อปีโดยเป็นงบประมาณประจำปีงบประมาณ 53 คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณที่ร้อยละ 78.9 ของกรอบวงเงินงบประมาณ (1.70 ล้านล้านบาท) ทั้งนี้ คาดว่าผลการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 53 จะเป็นไปตามเป้าหมายอย่างน้อยที่ร้อยละ 94.0 ของกรอบวงเงินงบประมาณนอกจากนี้ ผลการเบิกจ่ายแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ณ วันที่ 20 ส.ค. 53 สามารถเบิกจ่ายสะสมได้ทั้งสิ้น 211.2 พันล้านบาทคิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายที่ร้อยละ 60.3 ของกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจำนวน 350.0 พันล้านบาท
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน ก.ค. 53 ดุลงบประมาณขาดดุลจำนวน -37.3 พันล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุลจำนวน 25.3 พันล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสด(ก่อนกู้) ของรัฐบาลขาดดุลจำนวน -12.0 พันล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะการคลังในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 53 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณจำนวน -122.2 พันล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน -53.2 พันล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด (ก่อนกู้) จำนวน -175.4 พันล้านบาท ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสูงกว่าเป้าหมายและส่งผลให้ปริมาณเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ก.ค. 53 อยู่ในระดับสูงถึง 351.0 พันล้านบาท
ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือน ก.ค.53 หดตัวที่ร้อยละ -2.4 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 1.0 ต่อปี (หรือหดตัวที่ร้อยละ -1.3 ต่อเดือน เมื่อหักปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) ตามการลดลงของผลผลิตสำคัญ ได้แก่ ข้าวนาปรัง และมันสำปะหลัง เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากปัญหาโรคระบาดและศัตรูพืช ในขณะที่ผลผลิตยางพาราปรับขยายตัวในอัตราชะลอลงเช่นกันเนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการกรีดยาง ส่วนผลผลิตหมวดปศุสัตว์ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากผลผลิตสุกร ไก่เนื้อเป็นสำคัญ เนื่องจากราคาอยู่ในเกณฑ์ดีจูงใจให้เกษตรกรทำปศุสัตว์มากขึ้น
ดัชนีราคาสินค้าเกษตรในเดือน ก.ค. 53 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 32.9 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 29.3 ต่อปี (เป็นการขยายตัวเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน) จากการขยายตัวในเกือบทุกหมวดสินค้า ได้แก่ ยางพารา และมันสำปะหลัง (ยกเว้นข้าว) เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น จากอุปสงค์ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคายางพาราที่ราคายังคงทรงตัวในระดับสูง จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศจีน
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน ก.ค. 53 ขยายตัวที่ร้อยละ 64.1 ต่อปี ชะลอจากเดือนก่อนที่ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 75.7 ต่อปี (หรือหดตัวที่ร้อยละ -3.0 ต่อเดือน เมื่อหักปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) แต่ถือได้ว่ายังขยายตัวในระดับสูง โดยได้รับปัจจัยบวกจาก 1) กำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยรายได้เกษตรกรที่แท้จริงเดือน ก.ค. 53 ขยายตัวที่ร้อยละ21.2 ต่อปี และ 2) ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงความนิยมจากรถที่มีขนาดใหญ่ มาเป็นรถที่มีขนาดกลางและเล็กมากขึ้น
ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือน ก.ค. 53 ขยายตัวที่ร้อยละ 44.0 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 52.6 ต่อปี(หรือขยายตัวที่ร้อยละ 0.5 ต่อเดือน เมื่อหักปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) แต่ถือได้ว่ายังขยายตัวในระดับสูง จากการขยายตัวของปริมาณการจำหน่ายรถปิคอัพ และรถบรรทุกขนาด 2 ตัน ที่ขยายตัวร้อยละ 42.1และ 43.2 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวที่ร้อยละ 50.5 และ 48.8 ต่อปี ตามลำดับตามสัญญาณการฟื้นตัวของอุปสงค์และอุปทานในประเทศที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความต่อเนื่องของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ประกอบกับปัจจัยฐานต่ำเมื่อปีที่แล้วที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวลงอย่างมาก
ปริมาณจำหน่ายปูนซิเมนต์ภายในประเทศในเดือน ก.ค. 53 ขยายตัวร้อยละ 1.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.3 ต่อปี เนื่องมาจากฐานคำนวณที่สูงของช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ค.53 ขยายตัวร้อยละ 13.1 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 14.2 ต่อปี และเมื่อพิจารณาโดยปรับผล ของฤดูกาลแล้วพบว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือน ก.ค.53 หดตัวร้อยละ -1.7 ต่อเดือน ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 ต่อเดือนโดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งผลบวกต่อดัชนีฯ ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ขณะที่อุตสาหกรรมที่ส่งผลลบต่อดัชนีฯ ได้แก่เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ สำหรับ อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือน ก.ค. 53 อยู่ที่ร้อยละ 62.4 ของกำลังการผลิตรวม ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 65.4 โดยหากปรับผลทางฤดูกาลแล้ว พบว่าอยู่ที่ร้อยละ 61.5 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 64.3 ของกำลังการผลิตรวม
คณะกรรมการนโยบายการเงินประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 โดยได้ประกาศปรับขึ้นจากร้อยละ1.50 เป็นร้อยละ 1.75 สาเหตุจากเศรษฐกิจไทยที่ดีเกินคาดในช่วงไตรมาสที่ 2 ผนวกกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ถึงแม้จะยังไม่ชัดเจนในปัจจุบัน แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและต้นทุนการผลิตที่อาจปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเกินกรอบเป้าหมายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งไว้ที่ร้อยละ 0.5 -3.0 จากการที่ภาครัฐอาจยุติมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพในช่วงปี 54
ปริมาณจำหน่ายเหล็กภายในประเทศในเดือน ก.ค. 53 คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ -3.0 ต่อปี เนื่องจากปัจจัยฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ส.ค. 53 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ3.3 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี จากฐานการคำนวณในปีก่อนหน้าที่เริ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีราคาในหมวดยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิงจะปรับตัวสูงขึ้น ตามราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้นในช่วงต้นเดือน ส.ค.
Global Economic Indicators: This Week
ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ เดือน ก.ค. 53 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.3 ต่อเดือน ด้านตัวเลขยอดขายบ้านเดือน ก.ค. 53 ลดต่ำลงมามากที่สุดในรอบ 10 ปีที่ร้อยละ-27.2 ต่อเดือน จากมาตรการสนับสนุนการบริโภคโดยเฉพาะมาตรการสนับสนุนการซื้อบ้านและรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มหมดลงบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลง
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มิ.ย. 53 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ -11.7 บ่งชี้ว่าผู้บริโภคเริ่มคลายกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการบริโภคยังคงไม่ฟื้นตัว หลังจากที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ออกมาประกาศปรับลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อไม่ให้ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในกลุ่มยูโรโซน
การส่งออกขยายตัวชะลอลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ที่ร้อยละ 23.5 ต่อปี โดยการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลัก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐฯ และจีน ยังคงขยายตัวอยู่ แต่ในอัตราที่ชะลอลง ในขณะที่การนำเข้าขยายตัวที่ร้อยละ 15.7 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลอยู่ที่ 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อัตราว่างงานเดือน ก.ค. 53 ลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ร้อยละ 5.2 ของกำลังแรงงานรวม โดยจำนวนคนว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่องที่ 1,000 คนเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หรือลดลง 72,000 คนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บ่งชี้ว่าอุปสงค์ในประเทศยังคงแข็งแกร่ง
อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค. 53 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี เร่งขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.7 ต่อปี จากราคารถยนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่รัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดในการขายรถยนต์ใหม่
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ส.ค. 53 ลดลงสูงสุดในรอบ 4 เดือน อยู่ที่ระดับ 110 บ่งชี้แนวโน้มการบริโภคที่อาจชะลอตัวลงอย่างไรก็ตามระดับดังกล่าวยังคงสูงกว่า 100 บ่งชี้ว่าผู้บริโภคยังคงเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการบริโภคภาคเอกชน
GDP ไตรมาสที่ 2 ปี 53 ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี ขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 7.8 ต่อปี(ตัวเลขปรับปรุง) หรือหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าจะขยายตัวร้อยละ 2.0 (% qoq) อันเป็นผลมาจากการส่งออกที่ยังขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็ขยายตัวได้ดีเช่นกัน
นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจที่จะลงทุนในตลาดพันธบัตรของไทยโดยยังคงมีแรงซื้อพันธบัตรระยะกลางและยาวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จาก Yield ระยะยาวอาทิ 10 ปีที่ปรับตัวลดลงไปกว่า 24 bps ตามความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยหลังจากที่ตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2 ของไทยออกมาดีกว่าที่คาดไว้และความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางด้านราคาในช่วงต่อไปหลังจากที่ ธปท. ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นซึ่งได้ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวขึ้นไปเล็กน้อย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลดลงไปในช่วงกลางสัปดาห์จากความกังวลต่อข่าวความกังวลเรื่องมาบตาพุดและโครงการมอนทาราก่อนที่จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์
ค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 0.60 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นในอัตราที่มากกว่าค่าเงินภูมิภาค ตามแรงซื้อของต่างชาติที่มีเข้ามาในตลาดพันธบัตรและหลักทรัพย์ตามความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยและทิศทางดอกเบี้ยและค่าเงินบาทขาขึ้น
ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ในสัปดาห์นี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.41 เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลคู่ค้าอันดับใหญ่แทบทุกสกุลยกเว้นค่าเงินเยน
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th