Macro Morning Focus ประจำวันที่ 28 กันยายน 2553
1. กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนที่จะผลักดันผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในญี่ปุ่น
2. ทองทุบสถิติสูงสุดรอบใหม่จับตาทะลุ 1,300 USD ต่อออนซ์
3. รัฐบาลญี่ปุ่นพิจารณาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังตัวเลขทางเศรษฐกิจย่ำแย่
- ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนที่จะผลักดันผู้ประกอบการไทยให้ไปลงทุนในญี่ปุ่น โดยกระทรวงอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการไทยจะไปลงทุนในญี่ปุ่นมากขึ้น ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว จะประสานงานเพื่อพิจารณาธุรกิจที่มีโอกาสและคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพไปลงทุนที่ญี่ปุ่นซึ่งมีหลายธุรกิจที่ผู้ประกอบการไทยมีความพร้อมไปลงทุนในญี่ปุ่น เช่น การพิมพ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
- สศค. วิเคราะห์ว่า ช่วงที่ผ่านมาภาคการผลิตของไทยมีการขยายตัวในระดับสูง สะท้อนจากช่วง 8 เดือนแรกของปี 53 ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.5 ต่อปี ซึ่งการผลักดันผู้ปะรกอบการไทยให้ไปลงทุนในญี่ปุ่นจะเป็นการขยายตลาดส่งออกและเป็นการลดต้นทุนการขนส่งของสินค้าที่ไทยผลิตเพื่อส่งออกไปญี่ปุ่น โดยช่วงที่สถานการณ์ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นถือว่าเป็นช่วงทีเหมาะสมในการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากทำให้ต้นทุนการลงทุนในต่างประเทศในรูปของเงินบาทลดลง ทั้งนี้ สศค. คาดว่าค่าเงินบาทเฉลี่ยปี 53 และ 54 จะอยู่ที่ 31.7 และ 30.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ (คาดการณ์ ณ ก.ย. 53)
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.วายแอลจีฯ เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น โดยล่าสุดดัชนีดอลลาร์ลงมาอยู่ที่ระดับ 79.374 จุด ปรับตัวลงมา 3.81% จากต้นเดือน ผลักดันให้ราคาทองคำปิดที่ระดับ 1,295.95 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ วายแอลจีฯ ประเมินว่าราคาทองคำยังมีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง และมีโอกาสผ่านระดับแนวต้านด้านจิตวิทยาที่ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปได้
- สศค. วิเคราะห์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงเปราะบาง ซึ่งสะท้อนได้จากอัตราการว่างงานนอกภาคเกษตรที่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 9.6 ต่อปี ประกอบกับกระแสข่าวที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Quantitative Easing ซึ่งอาจมีการพิมพ์เงินดอลลาร์สหรัฐออกมามากขึ้นในอนาคต อาจทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลดลง และทำให้แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง และจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง กำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยอาจมีวงเงินสูงถึง 4.6 ล้านล้านเยน (หรือกว่า 1.7 ล้านล้านบาท) เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นกว่าร้อยละ 10 นับตั้งแต่ต้นปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกญี่ปุ่น โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจะใช้เงินจากรายได้จัดเก็บ มิได้ออกพันธบัตรเพิ่มแต่อย่างใด
- สศค. วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงมีความเปราะบาง โดยจะเห็นได้จากอัตราการขยายตัวของGDPในไตรมาส 2 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ที่ระดับ 50.1 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน นอกจากนี้หนี้สาธารณะต่อGDPยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบที่สุดในโลกที่เกือบ 2 เท่าของจีดีพี จึงเป็นที่น่าจับตามองว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมาย เพื่อนำมาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวได้หรือไม่ ในภาวะที่การออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติมจะทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นไม่สามารถดำรงกรอบความยั่งยืนทางการคลังไว้ได้ และอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อไป ทั้งนี้ สศค. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 53 และปี 54 จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 และ 1.3 ต่อปี ตามลำดับ (ประมาณการ ณ ก.ย. 53)
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group:
Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665: www.fpo.go.th