โลกกำลังอยู่ภายใต้ภาวะกดดัน คาดว่าในปี 2593 ประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 9,300 ล้านคน และผลิตภัณฑ์ประชาชาติจะเพิ่มเป็นประมาณ 140 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดังกล่าวมีการกระจายอย่างเท่าเทียม ความยากจนแบบสัมบูรณ์ก็จะหมดไป แต่การขยายตัวดังกล่าว จะก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมหาศาลต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การตัดสินใจลงทุนในอนาคตจำต้องคำนึงถึงความเสี่ยง และป้องกันผลทางลบที่อาจเกิดขึ้นด้วย ทั้งนี้ อาจต้องเลือกระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กับความจำเป็นในการพัฒนา ซึ่งประเด็นสำคัญในระดับโลกเช่นนี้ความร่วมมือระหว่างกันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
ความท้าทายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญ ประเทศที่รายได้น้อย จำเป็นต้องมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างน้อยร้อยละ 3.6 ต่อปี เพื่อให้ประชากรโลกร้อยละ 29 ที่ดำรงชีวิตด้วยเงินน้อยกว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน ลดลงเหลือกว่าครึ่งภายในปี 2558 ตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goal-MDGs) การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะทำให้ ความยากจนดักดานลดลง เด็กขาดสารอาหารลดลงแต่ถ้าจะทำให้การขยายตัวนี้ยั่งยืนและมีจังหวะสืบเนื่องไปจนถึงปี 2593 จะต้องมีการกระจายผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างกว้างขวางทั่วถึง รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ถ้ารายได้ต่อหัวของประชากรในประเทศที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ต่อปี จะทำให้ประชากรกลุ่มนี้มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ย 6,300 เหรียญสหรัฐภายในปี 2593 ซึ่งหมายความว่า ความจำเป็นพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย อาหารและเสื้อผ้า จะได้รับการสนองตอบอย่างเหมาะสม คาดว่าในช่วงเวลานั้น อายุขัยเฉลี่ยของประชากรในประเทศที่มีฐานะยากจนและปานกลางจะอยู่ที่ 72 ปี (เปรียบเทียบกับ 64 ปีในปัจจุบัน) การเสียชีวิตของเด็กต่ำกว่า 5 ปี จะลดลงเหลือ 17 รายต่อการเกิดชีพ 1,000 ราย (เปรียบเทียบกับ 85 รายในปัจจุบัน) เด็กทั้งหญิงและชายจะได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา (เป็นเวลา 5-6 ปี) ความเหลื่อมล้ำระหว่างหญิง-ชายในแง่โอกาสทางการศึกษาจะหมดไป อัตราการไม่รู้หนังสือของผู้ใหญ่จะลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 5 ของกลุ่มอายุ
แต่ในความเป็นจริง การขยายตัวของประชากรในประเทศยากจนระหว่างปี 2524-2543 มีค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี ดังนั้น การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) จะต้องอาศัยการทำงานอย่างหนักทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษาพลังงาน สุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อม
ยิ่งกว่านั้น ปัญหานี้มิใช่เพียงทางเลือกระหว่างการขยายตัวทางเศรษฐกิจเงินทุน และความยั่ง่ยืนของนโนบายเท่านั้น หากแต่กฎระเบียบองค์กร และทุนทางสังคมยังเป็นเงื่อนไขอันดับแรก ในการบรรลุผลลัพธ์ที่พึงประสงค์
โลกในปี 2593 จะมีประชากรเพิ่มขึ้นและเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ประชากรกว่าร้อยละ 65 อาศัยในพื้นที่เมือง ถ้าจะให้ประชาชนในเมืองดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและมีผลิตภาพอย่างเหมาะสม จะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก สถานการณ์นี้เป็นโอกาสเพราะการลงทุนดังกล่าวสามารถจะสร้างสิ่งแวดล้อมเมืองที่มีความยั่งยืนได้
ในขณะเดียวกัน โลกในปี 2593 จะมีความหลากหลายทางชีวภาพลดลงการลดอัตราการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจะเป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุด หากเราต้องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป ส่วนหนึ่งของความท้าทายคือ การเอื้ออำนวยให้ชุมชนยากจนได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบนิเวศที่บอบบาง นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องหาทุนมาอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งในการคุ้มครองอนุรักษ์ และชดเชยให้ชุมชนที่ต้องลดการใช้ประโยชน์พื้นที่ธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมนุษย์โลกโดยรวมด้วย
การขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศที่ร่ำรวยก็เป็นประเด็นสำคัญ ปัจจุบันร้อยละ 80 ของ GDP ของโลกมาจากประชากรโลกร้อยละ 20 ซึ่งอาศัยในประเทศที่ร่ำรวย รูปแบบการบริโภคในประเทศเหล่านี้ ทั้งด้านพลังงาน น้ำ อาหาร สินค้าอุตสาหกรรม และบริการ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศอื่นมีความเหลื่อมล้ำอย่างมาก และจะเป็นเช่นนั้นต่อไปในอนาคตแต่รูปแบบดังกล่าวจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เมื่อรายได้ของประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มสูงขึน และทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย
ฉะนั้น รูปแบบการผลิตและการบริโภคของโลกในอนาคตจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเริ่มในประเทศร่ำรวยก่อน เพื่อลดผลกระทบของการขยายตัวที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนแบบแผนการผลิตของโลกเพื่อนำไปสู่การใช้ปัจจัยนำเข้าอย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งนี้ รูปแบบการบริโภคและการผลิตในอนาคตจะเป็นส่วนหนึ่งของการหารือเชิงนโยบายสาธารณะในระดับโลกต่อไป
เชื่อมโยงความร่วมมือ
MDGs กำหนดกรอบการทำงานที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อบรรลุมาตรฐานการพัฒนาขั้นต่ำ การบรรลุเป้าหมาย MDGs จะเป็นพื้นฐานสำหรับความก้าวหน้าการดำเนินงาน
ในปี 2593 การมุ่งสู่โลกที่รุ่งเรืองยั่งยืนและปราศจากความยากจนจะเป็นจริงได้ภายในกึ่งศตวรรษนี้ โดยกุญแจที่สำคัญคือการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่อะไรจะเป็นพลังของการขยายตัวและอะไรจะเป็นปัจจัยสนับสนุนจุดเริ่มของประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ คือ การพัฒนาชนบทและการขยายตัวของการผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน คนจน 3 ใน 4 คนในประเทศกำลังพัฒนารวมแล้วประมาณ 900 ล้านคน อาศัยอยู่ในชนบท ซึ่งมีอาชีพหลังทางการเกษตร และมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 25-50 ของ GDP รายได้ทุกเหรียญสหรัฐที่ชาวนาได้รับ จะช่วยเพิ่มรายได้ในเศรษฐกิจสาขาอื่นถึง 2.6 เหรียญสหรัฐ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการเกษตรเพื่อเพิ่มผลิตภาพพืชไร่ ผลิตพืชผลที่ทนโรค/แมลงและมีคุณค่าทางอาหาร มีการจัดการทรัพยากรดินและน้ำ และแก้ปัญหาความแปรปรวนของสภาพอากาศ โดยอาศัยการวิจัยเป็นพื้นฐานทางนวัตกรรมในการสร้างเทคโนโลยีดังกล่าว
การลงทุนของทุกประเทศในการพัฒนาทุนมนุษย์เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การขยายตัวและการทำงานก็ต้องพึ่งพาปัจจัยนำเข้าอื่นที่จำเป็นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก และสร้างความมั่นใจว่าการขยายตัวดังกล่าวมีความยั่งยืน
หนทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
การประชุมสุดยอดที่มอนเตอร์เรย์เรื่องการเงินเพื่อการพัฒนา ได้วางพื้นฐานสำหรับความร่วมมือภายใต้ความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา โดยประเทศกำลังพัฒนาตระหนักดีว่าต้องเน้นนโยบายที่มีธรรมภิบาลในขณะที่ ประเทศพัฒนาต้องเน้นการทำลายกำแพงภาษีที่ทำร้ายกลุ่มคนจนสุด ช่วยลดหนี้และสร้างขีดความสามารถของประเทศยากจน โดยอาศัยเศรษฐกิจฐานความรู้และการให้เงินอุดหนุนการดำเนินกิจกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายตาม MDGs จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี นอกจากนั้น การเจรจาการค้าที่ Doha ขององค์การการค้าโลกจะเป็นรอบการเจรจาด้านการพัฒนา ซึ่งประเทศพัฒนาจะต้องพิจารณาเปิดตลาดเพื่อให้ทุกประเทศและกลุ่มคนจนสุดได้รับประโยชน์จากการค้าโลก
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะทวีความสำคัญมากขึ้น เงินทุนของภาคธุรกิจเอกชนจะเป็นหัวใจของสินค้าและบริการรวมทั้งน้ำและไฟฟ้าซึ่งเดิมเป็นบริการของภาครัฐ แต่ภาคเอกชนโดยลำพังก็ไม่สามารถจัดบริการสาธารณะดังกล่าวได้ภาครัฐและภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายจึงต้องช่วยกันทำงานในกระบวนการพัฒนา และส่งเสริมให้เกิดความร่วมมืออย่างยาวนานต่อเนื่องระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
บทสรุป
นโยบายที่เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ โปร่งใส กฏระเบียบและสถาบันที่มีธรรมาภิบาล รวมทั้งภาคธุรกิจเอกชนที่เข้มแข็ง ต่างมีบทบาทหลักในการปรับเปลี่ยนไปสู่เทคโนโลยีที่รับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งนโยบายสาธารณะที่ดี ซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและเป็นระบบ ในส่วนของภาคเอกชน บรรษัทภิบาลและการทำกำไรจะเป็นหัวใจของการทำงาน ในการนี้ การติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการนำกลยุทธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนสู่การปฏิบัติ ซึ่งต้องอาศัยวัตถุประสงค์จากทั้งประเทศร่ำรวยและประเทศยากจนมาปรับเป็นตัวชี้วัดที่เห็นชอบร่วมกัน เพื่อใช้ติดตามความก้าวหน้าในการพัฒนา
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-
ความท้าทายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญ ประเทศที่รายได้น้อย จำเป็นต้องมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างน้อยร้อยละ 3.6 ต่อปี เพื่อให้ประชากรโลกร้อยละ 29 ที่ดำรงชีวิตด้วยเงินน้อยกว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน ลดลงเหลือกว่าครึ่งภายในปี 2558 ตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goal-MDGs) การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะทำให้ ความยากจนดักดานลดลง เด็กขาดสารอาหารลดลงแต่ถ้าจะทำให้การขยายตัวนี้ยั่งยืนและมีจังหวะสืบเนื่องไปจนถึงปี 2593 จะต้องมีการกระจายผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างกว้างขวางทั่วถึง รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ถ้ารายได้ต่อหัวของประชากรในประเทศที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ต่อปี จะทำให้ประชากรกลุ่มนี้มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ย 6,300 เหรียญสหรัฐภายในปี 2593 ซึ่งหมายความว่า ความจำเป็นพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย อาหารและเสื้อผ้า จะได้รับการสนองตอบอย่างเหมาะสม คาดว่าในช่วงเวลานั้น อายุขัยเฉลี่ยของประชากรในประเทศที่มีฐานะยากจนและปานกลางจะอยู่ที่ 72 ปี (เปรียบเทียบกับ 64 ปีในปัจจุบัน) การเสียชีวิตของเด็กต่ำกว่า 5 ปี จะลดลงเหลือ 17 รายต่อการเกิดชีพ 1,000 ราย (เปรียบเทียบกับ 85 รายในปัจจุบัน) เด็กทั้งหญิงและชายจะได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา (เป็นเวลา 5-6 ปี) ความเหลื่อมล้ำระหว่างหญิง-ชายในแง่โอกาสทางการศึกษาจะหมดไป อัตราการไม่รู้หนังสือของผู้ใหญ่จะลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 5 ของกลุ่มอายุ
แต่ในความเป็นจริง การขยายตัวของประชากรในประเทศยากจนระหว่างปี 2524-2543 มีค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี ดังนั้น การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) จะต้องอาศัยการทำงานอย่างหนักทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษาพลังงาน สุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อม
ยิ่งกว่านั้น ปัญหานี้มิใช่เพียงทางเลือกระหว่างการขยายตัวทางเศรษฐกิจเงินทุน และความยั่ง่ยืนของนโนบายเท่านั้น หากแต่กฎระเบียบองค์กร และทุนทางสังคมยังเป็นเงื่อนไขอันดับแรก ในการบรรลุผลลัพธ์ที่พึงประสงค์
โลกในปี 2593 จะมีประชากรเพิ่มขึ้นและเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ประชากรกว่าร้อยละ 65 อาศัยในพื้นที่เมือง ถ้าจะให้ประชาชนในเมืองดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและมีผลิตภาพอย่างเหมาะสม จะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก สถานการณ์นี้เป็นโอกาสเพราะการลงทุนดังกล่าวสามารถจะสร้างสิ่งแวดล้อมเมืองที่มีความยั่งยืนได้
ในขณะเดียวกัน โลกในปี 2593 จะมีความหลากหลายทางชีวภาพลดลงการลดอัตราการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจะเป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุด หากเราต้องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป ส่วนหนึ่งของความท้าทายคือ การเอื้ออำนวยให้ชุมชนยากจนได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบนิเวศที่บอบบาง นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องหาทุนมาอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งในการคุ้มครองอนุรักษ์ และชดเชยให้ชุมชนที่ต้องลดการใช้ประโยชน์พื้นที่ธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมนุษย์โลกโดยรวมด้วย
การขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศที่ร่ำรวยก็เป็นประเด็นสำคัญ ปัจจุบันร้อยละ 80 ของ GDP ของโลกมาจากประชากรโลกร้อยละ 20 ซึ่งอาศัยในประเทศที่ร่ำรวย รูปแบบการบริโภคในประเทศเหล่านี้ ทั้งด้านพลังงาน น้ำ อาหาร สินค้าอุตสาหกรรม และบริการ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศอื่นมีความเหลื่อมล้ำอย่างมาก และจะเป็นเช่นนั้นต่อไปในอนาคตแต่รูปแบบดังกล่าวจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เมื่อรายได้ของประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มสูงขึน และทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย
ฉะนั้น รูปแบบการผลิตและการบริโภคของโลกในอนาคตจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเริ่มในประเทศร่ำรวยก่อน เพื่อลดผลกระทบของการขยายตัวที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนแบบแผนการผลิตของโลกเพื่อนำไปสู่การใช้ปัจจัยนำเข้าอย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งนี้ รูปแบบการบริโภคและการผลิตในอนาคตจะเป็นส่วนหนึ่งของการหารือเชิงนโยบายสาธารณะในระดับโลกต่อไป
เชื่อมโยงความร่วมมือ
MDGs กำหนดกรอบการทำงานที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อบรรลุมาตรฐานการพัฒนาขั้นต่ำ การบรรลุเป้าหมาย MDGs จะเป็นพื้นฐานสำหรับความก้าวหน้าการดำเนินงาน
ในปี 2593 การมุ่งสู่โลกที่รุ่งเรืองยั่งยืนและปราศจากความยากจนจะเป็นจริงได้ภายในกึ่งศตวรรษนี้ โดยกุญแจที่สำคัญคือการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่อะไรจะเป็นพลังของการขยายตัวและอะไรจะเป็นปัจจัยสนับสนุนจุดเริ่มของประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ คือ การพัฒนาชนบทและการขยายตัวของการผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน คนจน 3 ใน 4 คนในประเทศกำลังพัฒนารวมแล้วประมาณ 900 ล้านคน อาศัยอยู่ในชนบท ซึ่งมีอาชีพหลังทางการเกษตร และมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 25-50 ของ GDP รายได้ทุกเหรียญสหรัฐที่ชาวนาได้รับ จะช่วยเพิ่มรายได้ในเศรษฐกิจสาขาอื่นถึง 2.6 เหรียญสหรัฐ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการเกษตรเพื่อเพิ่มผลิตภาพพืชไร่ ผลิตพืชผลที่ทนโรค/แมลงและมีคุณค่าทางอาหาร มีการจัดการทรัพยากรดินและน้ำ และแก้ปัญหาความแปรปรวนของสภาพอากาศ โดยอาศัยการวิจัยเป็นพื้นฐานทางนวัตกรรมในการสร้างเทคโนโลยีดังกล่าว
การลงทุนของทุกประเทศในการพัฒนาทุนมนุษย์เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การขยายตัวและการทำงานก็ต้องพึ่งพาปัจจัยนำเข้าอื่นที่จำเป็นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก และสร้างความมั่นใจว่าการขยายตัวดังกล่าวมีความยั่งยืน
หนทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
การประชุมสุดยอดที่มอนเตอร์เรย์เรื่องการเงินเพื่อการพัฒนา ได้วางพื้นฐานสำหรับความร่วมมือภายใต้ความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา โดยประเทศกำลังพัฒนาตระหนักดีว่าต้องเน้นนโยบายที่มีธรรมภิบาลในขณะที่ ประเทศพัฒนาต้องเน้นการทำลายกำแพงภาษีที่ทำร้ายกลุ่มคนจนสุด ช่วยลดหนี้และสร้างขีดความสามารถของประเทศยากจน โดยอาศัยเศรษฐกิจฐานความรู้และการให้เงินอุดหนุนการดำเนินกิจกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายตาม MDGs จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี นอกจากนั้น การเจรจาการค้าที่ Doha ขององค์การการค้าโลกจะเป็นรอบการเจรจาด้านการพัฒนา ซึ่งประเทศพัฒนาจะต้องพิจารณาเปิดตลาดเพื่อให้ทุกประเทศและกลุ่มคนจนสุดได้รับประโยชน์จากการค้าโลก
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะทวีความสำคัญมากขึ้น เงินทุนของภาคธุรกิจเอกชนจะเป็นหัวใจของสินค้าและบริการรวมทั้งน้ำและไฟฟ้าซึ่งเดิมเป็นบริการของภาครัฐ แต่ภาคเอกชนโดยลำพังก็ไม่สามารถจัดบริการสาธารณะดังกล่าวได้ภาครัฐและภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายจึงต้องช่วยกันทำงานในกระบวนการพัฒนา และส่งเสริมให้เกิดความร่วมมืออย่างยาวนานต่อเนื่องระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
บทสรุป
นโยบายที่เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ โปร่งใส กฏระเบียบและสถาบันที่มีธรรมาภิบาล รวมทั้งภาคธุรกิจเอกชนที่เข้มแข็ง ต่างมีบทบาทหลักในการปรับเปลี่ยนไปสู่เทคโนโลยีที่รับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งนโยบายสาธารณะที่ดี ซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและเป็นระบบ ในส่วนของภาคเอกชน บรรษัทภิบาลและการทำกำไรจะเป็นหัวใจของการทำงาน ในการนี้ การติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการนำกลยุทธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนสู่การปฏิบัติ ซึ่งต้องอาศัยวัตถุประสงค์จากทั้งประเทศร่ำรวยและประเทศยากจนมาปรับเป็นตัวชี้วัดที่เห็นชอบร่วมกัน เพื่อใช้ติดตามความก้าวหน้าในการพัฒนา
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-