เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2546 นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงข่าวแก่สื่อมวลชนเรื่อง "ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 3/2546 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2546/2547" ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวเป็นร้อยละ 6.5 สูงกว่าร้อยละ 5.8 ในไตรมาสที่แล้ว และเมื่อปรับค่าฤดูกาลแล้ว จีดีพีขยายตัวเป็นร้อยละ 2.0 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งทำให้จีดีพีโดยรวมของช่วง 9 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.3 สูงกว่าร้อยละ 5.3 ของปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ด้านการผลิต มีการขยายตัวสูงขึ้นทั้งการผลิตภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรร้อยละ 5.8 และ 6.5 ตามลำดับ โดยที่อุตสาหกรรมขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 9.0 ซึ่งเป็นสาขาหลักที่ผลักดันให้การผลิตรวมขยายตัวสูงตามภาวการณ์ส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ ด้านเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ 5.8 เนื่องจากราคาผลผลิตจูงใจ โดยที่หมวดพืชผลและหมวดปศุสัตว์ขยายตัวร้อยละ 7.2 และ 7.1 ตามลำดับ ส่วนหมวดประมงขยายตัวร้อยละ 2.5 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้วเล็กน้อย
ด้านการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 6.1 โดยการก่อสร้างภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 21.2 เนื่องจากการก่อสร้างอาคารประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นส่วนการก่อสร้างภาครัฐลดลงร้อยละ 2.3 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้วที่ลดลงร้อยละ 12.0 ด้านการขนส่งคมนาคมขยายตัวร้อยละ 4.8 เป็นผลจากการขยายตัวเพิ่มขึ้นของการบริการโทรคมนาคม ส่วนบริการขนส่งลดลงร้อยละ 1.8 สำหรับโรงแรมและภัตตาคาร ลดลงเพียงร้อยละ 1.3 จากที่ลดลงถึงร้อยละ 13.0 ในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากวิกฤตโรคซาร์สคลี่คลายลง ส่วนภาคการเงินขยายตัวร้อยละ 10.2 เนื่องจากผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ยังคงดีขึ้น
ส่วน ด้านใช้จ่าย พบว่าการลงทุนขยายตัวสูงขึ้นและเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กล่าวคือ การใช้จ่ายในประเทศ มีการลงทุนเพิ่มขึ้นขณะที่การบริโภคในประเทศชะลอลงทั้งภาคครัวเรือนและภาครัฐบาล โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 5.0 ต่ำกว่าร้อยละ 5.7 ในไตรมาสและการลงทุน ขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 10.8 โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 16.5 ทั้งการก่อสร้างและเครื่องมือเครื่องจัก ส่วนการลงทุนของภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 หลังจากลดติดต่อกัน 4 ไตรมาส เนื่องจากการก่อสร้างอาคารสถานที่และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค
ด้านการส่งออกสุทธิ มูลค่าการส่งออกสุทธิสินค้าและบริการ ณ ราคาคงที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากปริมาณการส่งออกสินค้าชะลอลงมากกว่าการนำเข้า ส่วนบริการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวโดยส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 3.6 ชะลอลงจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสที่แล้ว ในขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 3.4 จากร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อน สินค้านำเข้าที่มีอัตราการขยายตัวสูง ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคหมวดอาหารและเครื่องดื่ม น้ำมันเชื้อเพลิง ยานพาหนะและชิ้นส่วน และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนรายจ่ายด้านบริการขยายตัวติดลบร้อยละ 0.5 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 4.9 ในไตรมาสที่แล้ว
เลขาธิการฯ กล่าวว่า เศรษฐกิจปี 2546 จะขยายตัวร้อยละ 6.3 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 5.5-6.2 ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การปรับประมาณการได้สะท้อนถึงการลงทุนภาคเอกชน ปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าที่คาดไว้เดิม อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะเท่ากับร้อยละ 1.9 อัตราการว่างงานเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2.0 ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล คิดเป็นส่วนร้อยละ 5.6 ของ จีดีพี และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ระดับประมาณ 40.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2547 คาดว่าจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 7.0-8.0 โดยที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้เร็วกว่าการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มปรับตัวเข้าสู่ระดับที่มีเสถียรภาพมากขึ้น การส่งออกยังเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แต่การนำเข้ามีแนวโน้มขยายตัวเร็วกว่าการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการใช้จ่ายจากงบกลาง 130,000 ล้านบาทที่รัฐบาลได้ตั้งไว้
นอกจากนี้ เลขาธิการฯ ยังได้กล่าวถึงประเด็นการบริหารเศรษฐกิจส่วนรวมว่า ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวเร็วขึ้นนี้ รัฐบาลจะต้องระมัดระวังในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ โดยต้องติดตามความเคลื่อนไหวของราคาตลาดอย่างใกล้ชิด และสร้างระบบเตือนภัยในด้านต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ เช่น อสังหาริมทรัพย์ โดยต้องดูองค์ประกอบทั้งด้านอุปสงค์ อุปทาน และราคาในแต่ละส่วนของตลาด (market segment) และตัวชี้ที่สะท้อนถึงการเก็งกำไร รวมทั้งการสร้างระบบการติดตามภาวะตลาดหลักทรัพย์เพื่อป้องกันการปั่นราคาและการเก็งกำไร เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ของความเคลื่อนไหวตลาดหลักทรัพย์กับสถานการณ์ด้านการผลิตและการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของแต่ละอุตสาหกรรมที่จะสะท้อนในดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์การติดตามพฤติกรรมการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนประเภทต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเก็งกำไร เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ของความเคลื่อนไหวตลาดหลักทรัพย์กับสถานการณ์ด้านการผลิตและการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของแต่ละอุตสาหกรรมที่จะสะท้อนในดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์การติดตามพฤติกรรมการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนประเภทต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรและการเกิดภาวะฟองสบู่ที่จะมีผลให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนต้องชะงักในที่สุด รวมถึงจะต้องลำดับความสำคัญในเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน การกระจายรายได้ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้สามารถสร้างพื้นฐานการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งได้อย่างแท้จริงในระยะยาว
เลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า สศช.ได้พยายามลดเวลาในการจัดทำจีดีพีรายไตรมาสให้น้อยลงซึ่งในปี 2547 กำหนดการประกาศให้เร็วขึ้น 1 สัปดาห์จากที่เคยประกาศในวันจันทร์สัปดาห์ที่ 3 เป็นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-วม/พห-
ทั้งนี้ ด้านการผลิต มีการขยายตัวสูงขึ้นทั้งการผลิตภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรร้อยละ 5.8 และ 6.5 ตามลำดับ โดยที่อุตสาหกรรมขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 9.0 ซึ่งเป็นสาขาหลักที่ผลักดันให้การผลิตรวมขยายตัวสูงตามภาวการณ์ส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ ด้านเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ 5.8 เนื่องจากราคาผลผลิตจูงใจ โดยที่หมวดพืชผลและหมวดปศุสัตว์ขยายตัวร้อยละ 7.2 และ 7.1 ตามลำดับ ส่วนหมวดประมงขยายตัวร้อยละ 2.5 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้วเล็กน้อย
ด้านการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 6.1 โดยการก่อสร้างภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 21.2 เนื่องจากการก่อสร้างอาคารประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นส่วนการก่อสร้างภาครัฐลดลงร้อยละ 2.3 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้วที่ลดลงร้อยละ 12.0 ด้านการขนส่งคมนาคมขยายตัวร้อยละ 4.8 เป็นผลจากการขยายตัวเพิ่มขึ้นของการบริการโทรคมนาคม ส่วนบริการขนส่งลดลงร้อยละ 1.8 สำหรับโรงแรมและภัตตาคาร ลดลงเพียงร้อยละ 1.3 จากที่ลดลงถึงร้อยละ 13.0 ในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากวิกฤตโรคซาร์สคลี่คลายลง ส่วนภาคการเงินขยายตัวร้อยละ 10.2 เนื่องจากผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ยังคงดีขึ้น
ส่วน ด้านใช้จ่าย พบว่าการลงทุนขยายตัวสูงขึ้นและเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กล่าวคือ การใช้จ่ายในประเทศ มีการลงทุนเพิ่มขึ้นขณะที่การบริโภคในประเทศชะลอลงทั้งภาคครัวเรือนและภาครัฐบาล โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 5.0 ต่ำกว่าร้อยละ 5.7 ในไตรมาสและการลงทุน ขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 10.8 โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 16.5 ทั้งการก่อสร้างและเครื่องมือเครื่องจัก ส่วนการลงทุนของภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 หลังจากลดติดต่อกัน 4 ไตรมาส เนื่องจากการก่อสร้างอาคารสถานที่และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค
ด้านการส่งออกสุทธิ มูลค่าการส่งออกสุทธิสินค้าและบริการ ณ ราคาคงที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากปริมาณการส่งออกสินค้าชะลอลงมากกว่าการนำเข้า ส่วนบริการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวโดยส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 3.6 ชะลอลงจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสที่แล้ว ในขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 3.4 จากร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อน สินค้านำเข้าที่มีอัตราการขยายตัวสูง ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคหมวดอาหารและเครื่องดื่ม น้ำมันเชื้อเพลิง ยานพาหนะและชิ้นส่วน และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนรายจ่ายด้านบริการขยายตัวติดลบร้อยละ 0.5 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 4.9 ในไตรมาสที่แล้ว
เลขาธิการฯ กล่าวว่า เศรษฐกิจปี 2546 จะขยายตัวร้อยละ 6.3 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 5.5-6.2 ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การปรับประมาณการได้สะท้อนถึงการลงทุนภาคเอกชน ปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าที่คาดไว้เดิม อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะเท่ากับร้อยละ 1.9 อัตราการว่างงานเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2.0 ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล คิดเป็นส่วนร้อยละ 5.6 ของ จีดีพี และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ระดับประมาณ 40.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2547 คาดว่าจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 7.0-8.0 โดยที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้เร็วกว่าการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มปรับตัวเข้าสู่ระดับที่มีเสถียรภาพมากขึ้น การส่งออกยังเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แต่การนำเข้ามีแนวโน้มขยายตัวเร็วกว่าการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการใช้จ่ายจากงบกลาง 130,000 ล้านบาทที่รัฐบาลได้ตั้งไว้
นอกจากนี้ เลขาธิการฯ ยังได้กล่าวถึงประเด็นการบริหารเศรษฐกิจส่วนรวมว่า ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวเร็วขึ้นนี้ รัฐบาลจะต้องระมัดระวังในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ โดยต้องติดตามความเคลื่อนไหวของราคาตลาดอย่างใกล้ชิด และสร้างระบบเตือนภัยในด้านต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ เช่น อสังหาริมทรัพย์ โดยต้องดูองค์ประกอบทั้งด้านอุปสงค์ อุปทาน และราคาในแต่ละส่วนของตลาด (market segment) และตัวชี้ที่สะท้อนถึงการเก็งกำไร รวมทั้งการสร้างระบบการติดตามภาวะตลาดหลักทรัพย์เพื่อป้องกันการปั่นราคาและการเก็งกำไร เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ของความเคลื่อนไหวตลาดหลักทรัพย์กับสถานการณ์ด้านการผลิตและการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของแต่ละอุตสาหกรรมที่จะสะท้อนในดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์การติดตามพฤติกรรมการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนประเภทต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเก็งกำไร เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ของความเคลื่อนไหวตลาดหลักทรัพย์กับสถานการณ์ด้านการผลิตและการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของแต่ละอุตสาหกรรมที่จะสะท้อนในดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์การติดตามพฤติกรรมการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนประเภทต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรและการเกิดภาวะฟองสบู่ที่จะมีผลให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนต้องชะงักในที่สุด รวมถึงจะต้องลำดับความสำคัญในเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน การกระจายรายได้ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้สามารถสร้างพื้นฐานการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งได้อย่างแท้จริงในระยะยาว
เลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า สศช.ได้พยายามลดเวลาในการจัดทำจีดีพีรายไตรมาสให้น้อยลงซึ่งในปี 2547 กำหนดการประกาศให้เร็วขึ้น 1 สัปดาห์จากที่เคยประกาศในวันจันทร์สัปดาห์ที่ 3 เป็นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-วม/พห-