คำกล่าวเปิดการประชุม และปาฐกถาพิเศษ ของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เรื่อง การบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 1, 2004 11:33 —สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

        คำกล่าวเปิดการประชุม และปาฐกถาพิเศษ  ของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร เรื่อง การบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล กับความอยู่ดีมีสุขของประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2547 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี 
ท่านรัฐมนตรี ท่านประธานและท่านคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ท่านเลขาธิการฯ และท่านผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน
วันนี้ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติ ที่ได้มาเป็นประธานเปิดการประชุมประจำปี เรื่อง "เศรษฐกิจนอกระบบกับการบริหารจัดการที่ดีของภาครัฐ" ที่จัดขึ้นโดย สศช. ผมจำได้ว่า ปีที่แล้วก็ได้มา ซึ่ง สศช. ได้จัดขึ้นทุกปี ปีนี้ก็มีหัวข้อเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบ ผมจะพยายามทบทวนเรื่องที่ผมเคยพูดในหลายโอกาส เพื่อจะให้ท่านเข้าใจว่า สิ่งที่ผมพูดแต่ละครั้ง แต่ละเรื่อง เป็นการต่อจิ๊กซอว์การแก้ปัญหาของชาติ แต่บางครั้งถ้าไม่จับมาต่อกัน ท่านอาจจะไม่รู้ว่า ตกลงรูปนั้นคืออะไร
ผมขอเรียนอย่างนี้ว่า ท่านจำได้ไหมว่า วันที่ผมพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบ ตอนเรื่องเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ผมพูดเกี่ยวพันถึงเรื่องการเมือง การเมืองนี้คือการได้มาซึ่งผู้บริหารประเทศ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ แต่ถ้าการเมืองนั้น มีวิธีการที่ได้มาไม่ค่อยชอบแล้ว บุคคลที่เข้ามาทำงานก็ไม่ค่อยจะชอบ เปรียบเทียบกับหลักของกฎหมาย ที่ว่า Fruit of the Poisonous Tree Doctrine ซึ่งเป็นทฤษฎีที่บอกว่า ผลไม้ของต้นไม้ที่เป็นพิษ หมายความว่า ถ้าต้นไม้นั้นเป็นพิษ ผลไม้ก็ต้องเป็นพิษ เปรียบเทียบกับการเมือง หากวิธีการที่ได้มาซึ่งนักการเมืองไม่ค่อยดี แนวโน้มจะได้นักการเมืองก็ไม่ค่อยดีเช่นกัน แล้วเราเอาคนที่ไม่ค่อยดีมาบริหารประเทศ จะดีได้อย่างไร อันนั้นคือปัญหาที่ผมไม่อยากเห็น และจะต้องไปแก้ โดยเราต้องเริ่มกล้าที่จะแก้บริหารจัดการการเมืองให้ถูกต้องนำมาซึ่งการบริหารจัดการประเทศที่ดี
ถ้าสมมุติว่าต้องมีผู้มีอิทธิพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบ เป็นคนจัดการ จัดส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นลูกน้องของผู้มีอิทธิพล และในที่สุดลูกน้องของผู้มีอิทธิพลนั้นก็เข้ามามีอำนาจทางการเมือง แล้วก็ไปกดดันข้าราชการ และให้ข้าราชการต้อง Blow to demand คือว่าไปตามผู้มีอิทธิพลนั้นตลอด เพราะถูกนักการเมืองนั้นกดดัน ถ้าขืนมีอย่างนี้ขึ้น ประชาธิปไตยก็ไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วในที่สุดท่านก็ได้คนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวมาบริหารประเทศ
การบริหารประเทศนี้เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราจะทำตามข้าราชการประจำเสนอขึ้นมา ยังไงก็เซ็นต์ไป แล้วก็คอยสั่งข้าราชการประจำว่า ผมจะย้ายคนนั้น ผมจะย้ายคนนี้ ผมจะเอาเงินเท่านั้น ผมจะเอาโครงการนี้ อย่างนั้นง่าย แต่ถ้าเราคิดจะบริหารการจัดการกันด้วยการบริหารองค์กรที่ซับซ้อน แล้ว ก็ต้องใช้การบริหารที่ถูกต้อง ต้องอาศัยการบริหารที่รู้จริง และความกล้า เราต้องเข้าใจว่า โครงสร้างของระบบราชการเป็นโครงสร้างที่อุ้ยอ้ายและเปลี่ยนยาก ในช่วงที่เราเรียกกันว่า Paradigm Shift หรือกระบวนทัศน์ในวิธีคิดนั้น มันเปลี่ยนไป ถ้าเราไม่กล้าเปลี่ยน เท่ากับว่า เราจะหมุนสวนทางกับโลก ผลสุดท้าย ผลลัพธ์ที่ได้คือความยากจนที่มีอยู่แล้ว จะถูกซ้ำเติม และการแก้ปัญหาของชาติก็จะลำบาก
เพราะฉะนั้นเรื่องของการจัดการกับผู้มีอิทธิพลหรือว่าผู้ที่อยู่กับการค้าขายนอกกฎหมาย เพื่อให้นำมาซึ่งการเมืองที่ถูกต้อง การเมืองที่ไม่มีกระบวนการนายหน้า เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่ง ณ วันนี้ กระบวนการนายหน้าเริ่มหายไป ท่านจะเห็นการเลือกตั้งครั้งนี้จะเปลี่ยนไปมาก สื่อมวลชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อทีวี ผิดเพี้ยนยาก เพราะสื่อทีวีนั้น จะเป็นสื่อที่สะท้อนภาพตรงและมีเสียงตรง ทำให้สื่อทีวีเป็นสื่อที่ประชาชนบริโภคมากที่สุด ผมทำโพลล์ล่าสุด ปรากฏว่า สื่อทีวีมีคนติดตามข่าวถึงร้อยละ 83 ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ร้อยละ 8 และผ่านสื่อวิทยุร้อยละ 7 ในกรุงเทพฯ รับรู้ข่าวสารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์จะมีอัตราสูงกว่ามากกว่าสื่อต่างจังหวัด เมื่อระบบของสื่อสารมวลชนเป็นแบบนี้ ประชาชนจะรับรู้เรื่องราวที่แท้จริงและมากขึ้นๆ ต่อไปนี้การเมืองก็จะเปลี่ยนไป ระบบนายหน้าทางการเมืองก็จะลดลง แล้วการเมืองก็จะก้าวไปสู่ในสิ่งที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าหวังว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ทุกอย่างแย่มานาน ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น
ใช้หลักเมตตาธรรมกับจริยธรรมสร้างความอยู่ดีมีสุข
หากเราใช้หลัก 2 เรื่อง คือ เมตตาธรรมกับจริยธรรม ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นหลักของศาสนาพุทธ ถ้าคำว่า เมตตาธรรมและจริยธรรมมีมาก สิ่งที่เราจะพูดกันในวันนี้ก็น้อยลง หลายเรื่องที่รัฐบาลพยายามจะทำในการแก้ปัญหาความยากจน หรือให้ช่วยเหลือคนจน หรือให้สิทธิคนจน เป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก เพราะต้องเปลี่ยนวิธีคิด เมื่อเปลี่ยนวิธีคิด ทั้งๆ ที่เจตนาดี ปรารถนาดี แต่ก็ขั้นตอนลำบากมาก ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นคนที่คิดจะแก้ปัญหายากจนจริงๆ ต้องใช้หลักเมตตาธรรมสูง และต้องใช้ความกล้า ความอดทนสูง
การบริหารเศรษฐกิจก็เช่นกัน ใช้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เราบอกว่าอยู่ดีมีสุขก็คือหลักมัชฌิมาปฏิปทา คือความพอดีนั่นเอง ผมเพิ่งพบกับนายกรัฐมนตรีเหวียนเจอเป่า ท่านเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องการบริหารความพอดีของเศรษฐกิจจีน ท่านบอกว่าไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจจีนจะลดการเจริญเติบโต แต่อันไหนที่พุ่งขึ้นสูงเกินไป ร้อนเกินไป ก็จะลดลงมา อันไหนที่ยังอ่อนอยู่ก็จะดันขึ้นไป เบ็ดเสร็จโดยเฉลี่ยแล้ว ก็คงโตใกล้เคียงที่เดิม เพียงแต่ว่าปรับสมดุลใหม่ แต่คำว่าอยู่ดีมีสุขนั้น มีความหมายมากว่าเศรษฐกิจ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของปัญหาสังคม และก็เรื่องสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ถ้าท่านสังเกตดูจะเห็นว่า หลังจากที่รัฐบาลนี้บริหารเศรษฐกิจได้มาถึงระดับหนึ่ง มองเห็นว่าเศรษฐกิจไปได้แล้วนี้ ก็กลับมาเน้นเรื่องสังคม และเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน"ยากจน-ยาเสพติด-คอร์รัปชัน"... 3 สงครามที่รัฐบาลต้องประกาศชัยชนะ
ที่ผมประกาศสงคราม 3 สงครามนั้น สงครามแรกก็คือ เรื่องของความยากจน นั่นคือปัญหาเศรษฐกิจทั้งหมด บางคนคิดว่าปัญหาความยากจนไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจนนั้นคือตัวสำคัญของเรื่องเศรษฐกิจทั้งหมด เพราะเรื่องที่ 1 เรากำลังให้ Basic need หรือปัจจัยสี่ กับประชาชนทุกคนที่อยู่ในผืนแผ่นดินไทย นั่นก็คือเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ยารักษาโรคก็คือ 30 บาทรักษาทุกโรค ความจริงแล้วก็เอาหลักประกันสุขภาพ โดยที่รัฐบาลเอาเงินงบประมาณที่จะจ่ายโดยตรง มาเป็น Premium แล้วก็ประกันสุขภาพให้กับประชาชนทั้งระบบนั่นเอง
ส่วนที่อยู่อาศัย ขณะนี้ก็เริ่มไปแล้ว มีโครงการบ้านเอื้ออาทรแสนยูนิต โครงการบ้านมั่นคงอีก 10 โครงการ เพราะเราต้องการให้คนอย่างน้อยๆ ก็มีที่ซุกหัวนอน เพื่อให้เขามีศักดิ์ศรี แน่นอนครับบ้าน 2 แสนกับบ้าน 200 ล้าน ระหว่างนอนไม่รู้หรอกว่านอนที่ไหน เพราะผมก็ไปนอนมาแล้ว นอนวัด นอนอะไรต่ออะไร ตอนหลับไม่รู้หรอกว่านอนอยู่ที่ไหน จ่ายค่าโรงแรมคืนละ 2 แสน กับไปนอนกับหลวงตา มีค่าเท่ากัน แต่ตอนจะหลับและตอนตื่นที่จะรู้ต่างกัน เพราะฉะนั้นในวันนี้ต้องหาที่อยู่อาศัยให้ประชาชน ผมถึงตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องพยายามสร้างที่อยู่อาศัยให้กับคนจนประมาณ 1 ล้านยูนิต แต่ไม่ได้หมายความว่าแจกเขา เพียงแต่ว่า Subsidize มาก เพื่อให้เขาสามารถผ่อนได้ อยู่ได้ เขาจะได้ภูมิใจ คนที่มีบ้านอยู่กับคนที่ไม่มีบ้านอยู่ คนละเรื่องกันเลย ความอบอุ่นในครอบครัว สิ่งเหล่านี้ สำคัญกว่าอย่างอื่นหมด
พลังใจนี้สำคัญที่สุด ผมเคยเล่าให้ฟังว่า มีอยู่คนหนึ่งคิดจะฆ่าตัวตาย แต่เขานึกถึงพระเจ้าขึ้นมา แล้วเขาก็บอกกับทุกคนว่า สิ่งที่พระเจ้าจะให้ครั้งสุดท้ายได้ก็คือ hope หรือความหวัง ถ้ามนุษย์ไม่มีความหวัง มนุษย์ไม่มีทางขับเคลื่อนได้ แล้วเขาก็เลิกฆ่าตัวตาย ตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็มีแรงขับเคลื่อน จากคนที่คิดจะฆ่าตัวตายเพราะไม่มีจะกิน กลายเป็นเศรษฐีได้ เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนพลังใจของคน
เรื่องเครื่องนุ่งห่ม ปัญหาไม่มี กับอาหาร เป็นเรื่องของเศรษฐกิจโดยตรง บ้านเราถ้าเป็นคนขยันหมั่นเพียร และมีที่ดินทำกินซึ่งกำลังจะให้ การให้ที่ดินทำกินนั้นคือ ให้ทั้งอาหาร ให้ทั้งศรษฐกิจ ถามว่า ที่ดินทิ้งไว้รกร้างว่างเปล่า เกิดประโยชน์อะไร หวงที่ไว้ส่วนหนี่ง แต่ขณะเดียวกันคนที่ไม่มีจะกินอีกส่วนหนึ่ง ต้องเรียนพีชคณิต ลบกับลบเป็นบวก ต้องเอาคนไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไรกับที่ดินที่รกร้างว่างเปล่ามาเจอกัน ก็จะทำให้เกิดการทำมาหากินได้ นั่นคือสิ่งที่เรากำลังพยายามจะทำเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน และตามมาด้วยเรื่องน้ำ
เรื่องต่อไปก็คือ เรื่องของการประกาศสงครามกับยาเสพติด ได้ทำไปแล้ว หลังจากชัยชนะแล้ว ก็มีผู้ที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ก็ขึ้นมาพูดกันต่างๆ นานา คนที่ลูกไม่ติดยาไม่รู้ บางคนที่ลูกติดยาเดินมากอดผม ร้องไห้บอกว่าได้ลูกคืนแล้ว เขามีความสุขมาก ดีใจมาก เขาได้ลูกกลับคืนมาแล้ว นี่คือหัวอกของคนที่ลูกติดยา ติดเป็นล้านคน ท่านไม่เวทนาคนเหล่านี้กลับไปเวทนาคนค้ายา ผมก็ไม่รู้ว่าหัวใจทำด้วยอะไร อยากเท่ห์อย่างเดียว เพราะฉะนั้นยาเสพติดผมจะต้องเด็ดขาดต่อไป แต่แน่นอน ทั้งหมดอยู่ภายใต้กฎหมาย ผมไม่มีทางปกป้องคนที่ทำผิดกฎหมายเด็ดขาด ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร ถ้าไม่เช่นนั้นผมเป็นผู้นำประเทศไม่ได้ ถ้าผมคิดจะทำหน้าที่และให้คนศรัทธาได้ ผมต้องเป็นคนที่รักษาความเป็นธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีใครที่จะศรัทธาผม ผมก็ทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องของยาเสพติด วันนี้มันยังมีต่อ แต่ว่าเราจะสกัดกั้นให้ได้ ตราบใดที่ประเทศเพื่อนบ้านยังยากจนอยู่อย่างนี้ ยาเสพติดไม่มีทางหมด แต่เพียงแต่ว่าเราต้องควบคุมให้ได้ แล้วก็ให้ไปที่อื่น อย่ามาที่ประเทศไทย
ปัญหาอีกอันที่ผมจะพูดคือ ประกาศสงครามกับคอร์รัปชัน เรื่องนี้เรื่องใหญ่กว่า ผมยังคิดว่าเรื่องความยากจนแก้ได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องคอร์รัปชันถึงแม้แก้ได้ไม่ยาก แต่ก็ยากกว่าความยากจน เพราะเวลานี้มันเริ่มเข้าไปในสายเลือดของคนหลายคน วันนี้มันซึมลึกเพราะอะไร เพราะประเทศเราบางทีก็กล้าๆ กลัวๆ คนทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ จนหรือรวยก็กินข้าว ถึงเวลาหิวก็ต้องกิน ลูกร้องก็ต้องหาให้ลูกกิน ที่ซุกหัวนอนก็ต้องมี เพราะฉะนั้น Basic need ของมนุษย์โดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อย ถ้าเราไม่คิดเติมให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยให้เขาพอกิน เราก็ต้องปล่อยให้เขาไปหากิน เพราะความจำเป็นในชีวิตมันมี เมื่อมีความจำเป็น จะมีกี่คนที่จริยธรรมมันแรง ฝังลึกจนยอมอดกิน และยอมเห็นลูกร้องโหยหาไม่มีกิน หรือไม่มีที่เรียน
เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจตรงนี้ว่า ธรรมชาติต้องยืนบนความจริง ผมถูกด่าเยอะเพราะกล้าเผชิญความจริง ถ้าเราไม่กล้าเผชิญเราไม่มีทาง เพราะฉะนั้นต้องกล้าเผชิญว่า ตกลงข้าราชการชั้นผู้น้อยนี้ คำนวณให้ดีว่า เท่าไหร่ถึงพอกิน ถ้าพอกินแล้วยังทำตัวไม่ดีแล้วก็ฟัน ในเมื่อข้าราชการต้องไปหากิน ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของนักการค้าทั้งหลาย ไม้ก็หมดป่า หวยก็เต็มเมือง บ่อนก็เต็มเมือง ยาเสพติดเต็มเมือง เพราะอะไร และผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ มีการซื้อขายตำแหน่งในอดีตบางแห่งบางหน่วย ก็ลงไปหากินกับลูกน้อง ในที่สุดลูกน้องที่แย่อยู่แล้ว ก็เลยเป็นเครื่องมือ และพวกนี้มันฝังลึก พอตอนหลังมาที่การแต่งตั้งโยกย้ายไม่มีการซื้อขายตำแหน่งแล้ว แต่นิสัยเดิมไม่เลิก สิ่งเหล่านี้ยังอยู่ แล้วการเมืองต้องซื้อเสียง ในอดีตต้องจ้างหัวคะแนน และการเมืองเอาเงินที่ไหนมา จะมีคนกี่คนที่เอาเงินที่ได้จากการทำมาหากิน แล้วออกมาทำงานการเมือง นี่คือความจริง ถ้าเราไม่พูดความจริง เราก็ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เรามาเหนียมกันอยู่ เอาความจริงครึ่งหนึ่งอยู่ใต้โต๊ะ ความจริงอีกครึ่งหนึ่งอยู่บนโต๊ะ ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ พูดตรงๆ ไปเลย ว่า เราจะแก้ปัญหาการเมืองด้วยไหม เราจะแก้ปัญหาเรื่องข้าราชการชั้นผู้น้อยเงินไม่พอใช้บ้างไหม ถ้าตรงนั้นเป็นไปได้ ก็จะปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
เพราะฉะนั้นการเมืองต้องไม่ซื้อเสียง ประชาชนต้องไม่เอาเงินนักการเมือง ถ้าประชาชนบอกว่า จะเลือกได้ต้องเอาเงินนักการเมือง แน่นอนครับ นักการเมืองเอาเงินที่ไหน จะตั้ง ป.ป.ช. อีกหมื่น ป.ป.ช. ก็เอาไม่อยู่ ถ้าสมมุติว่าผู้แทนหาเสียงด้วยนโยบาย จะทำอะไรให้ประชาชนพอใจ ศรัทธา และเลือกโดยไม่ใช้เงิน ตรงนั้นที่จะเป็นอีกหลักหนึ่งที่สำคัญของการแก้ปัญหาการคอร์รัปชัน
เรื่องนี้ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน ประชาชนก็ต้องช่วย ประชาชนอยากพ้นจากความยากจนถาวร เริ่มต้นหนึ่งต้องไปใช้สิทธิอย่างเต็มที่ สองใครเอาเงินมาให้ นอกจากไม่เลือกแล้วต้องต่อต้านด้วย ตรงนี้ถึงจะทำให้การเมืองสะอาดได้ เมื่อการเมืองสะอาด และข้าราชการชั้นผู้น้อยได้รับการดูแล ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่มีการจ่ายเงินจากการแต่งตั้งโยกย้าย อันนี้ไปได้ระดับหนึ่งแต่ยังไม่พอ เพราะว่าวันนี้เราต้องยอมรับว่างบประมาณจำกัด อย่างวันนี้เราจัดงบประมาณสมดุลที่ 1.2 ล้านล้านบาท ถามว่า พอไหม ไม่พอ เมื่อวานนี้ผมนั่งคิดวิธีการหาเงิน เพื่อที่จะสร้างความเจริญให้เร็วขึ้น ความเจริญยิ่งช้า ความยากจนยิ่งแก้ยาก ถ้าผลักความเจริญไปเร็ว เก็บภาษีได้มาก ก็เอาภาษีนั้นไปแก้ปัญหาความยากจนไปพร้อมๆ กัน
แนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบต้องอาศัยการมีส่วนร่วม
ทีนี้กลับมาหาเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบ ถ้าเมื่อไหร่เราประกาศสงครามกับความยากจนแล้วได้ผลคืบหน้าขึ้น ดีขึ้น แล้วเรามาจัดระเบียบใหม่ จัดโครงสร้างใหม่ จัดระบบใหม่ ผมเชื่อว่า การแก้ปัญหาความยากจนและการแก้ปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจนอกระบบไปพร้อมๆ กันนั้น ทำได้ไม่ยากนัก
ผมเคยคิดว่า เศรษฐกิจนอกระบบมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งมันอยู่นอกระบบ เพราะกฎหมายที่เรียกกันว่า Mala Prohibita คือเราไปห้ามมันว่าสิ่งเหล่านี้ผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายนั้นเป็นข้อห้ามที่บัญญัติขึ้นมา แต่ถามว่าเป็นความชั่วร้ายในตัวมันไหม เหมือนฆ่าคนตายไหม ไม่เหมือน แต่สังคมไม่ยอมรับ บรรทัดฐานของสังคมไม่ยอมรับ จริยธรรมไม่รับ เมื่อไม่รับก็ถือว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ห้าม หรือว่าน่าจะเป็นอันตรายกับคนอื่นเราก็ห้าม อย่างเรื่องการพนันเราห้าม โสเภณีเราห้าม แต่การห้ามเหล่านั้น กฎหมายก็เบา แต่ในขณะเดียวกันเรื่องของสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลก็ยิ่งมากขึ้น การจับกุมก็ลำบาก เมื่อจับกุมได้แล้วก็ลงโทษน้อย เจ้าหน้าที่ก็ทำได้ลำบาก เมื่อทำลำบากหนักๆ เข้า ค่าใช้จ่ายสูง งบประมาณให้ทำงานก็น้อย ก็กลับไปว่าเป็นพวกกันดีกว่า เข้าเกียร์ว่าง ได้เงินใช้ แล้วไม่ถูกฟ้อง นี่คือสิ่งที่เราต้องยอมรับความจริงว่าจะเอายังไง ผมพร้อมทั้งนั้น ก็อยากจะให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นี่จะเอายังไง คิดร่วมกัน รัฐบาลนี้พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับประชาชน รับรองว่าไม่ใช่เพื่อตัวเองแน่ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ฝากคิดด้าน Mala Prohibita ทั้งหลาย
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มันอยู่นอกระบบเพราะไม่ต้องการจะเสียภาษี หรือระบบภาษียังเข้าไปไม่ถึง อาทิ การขายของทั่วไป หรือการรับจ้างร้านห้องแถวเล็กๆ ลูกจ้างก็ไม่ได้รับการคุ้มครอง เพราะไม่ได้เข้าสู่ระบบ ตรงนี้ผมเคยเสนอแต่ยังไม่มีใครขานรับ คือเรื่อง Negative Tax โดยเชิญทุกคนเข้ามาสู่ระบบภาษี แต่จะให้เครดิตภาษีไว้ เพราะคุณรายได้ยังไม่ถึง สมมุติว่าคุณรายได้ยังไม่ถึง ปีนี้คุณมายื่นแบบเสียภาษี ผมให้เครดิตคุณไว้ 100 บาท 200 บาท 1,000 บาท แล้วแต่ เมื่อไหร่คุณถึงเวลาที่จะต้องเสียภาษีแล้ว เครดิตภาษีที่คุณได้รับหักให้ เท่ากับการเชื้อเชิญเข้ามาเป็น Negative Tax ไม่ได้ควักเอาเงินสดๆ ไปจ่าย เพียงแต่ว่าให้เครดิตทางภาษีทิ้งไว้ เพื่อให้คนเข้าสู่ระบบฐานภาษีมากๆ เพื่อเราจะได้คุ้มครองดูแลเขา กับลูกจ้างได้ เป็นการจัดระเบียบช่วยเขาได้ และให้เขามีระบบบัญชีที่ถูกต้อง
สังคมผู้ประกอบการไทยโตจากระบบบัญชี 2 บัญชี ระบบการทำ 2 บัญชีนั้นเพื่อหนีภาษี หรือเพื่อเสียภาษีน้อย แต่ในที่สุดระบบ 2 บัญชีนั้นหลอกลวงตัวเอง ทำให้ตัวเองไม่สามารถที่จะมีประสิทธิภาพได้ เพราะตัวเลขที่ทำได้จากการทำบัญชีนั้น เป็นตัวเลขที่ทำให้ตัวเองมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพราะมีข้อมูลที่ถูกต้อง ปรากฏว่า ระบบ 2 บัญชี ไม่เป็นผลดีทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งภาครัฐ และภาคเจ้าของกิจการ แต่ถ้าจะให้ผู้ประกอบการทำระบบบัญชีเดียว ก็ต้องให้เขามีความกล้าหาญ เพราะฉะนั้นจะต้องมีระบบ Campaign หรือให้ Incentive ยังไงก็แล้วแต่ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าจะต้อง handle การค้านอกระบบให้ได้
การค้านอกระบบนั้น เป็นช่องทางแห่งการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมาก ตัวอย่างของการค้าชายแดนเห็นได้ชัด ไม่มีภาษี ไม่มีบัญชี เรามีกติกาว่า ค้าขายต่ำกว่า 5 แสนบาท ไม่ต้องมีการขอซื้อเงินตราจากแบงก์ชาติ มีอยู่ช่วงหนึ่งเครื่องดื่มชูกำลังส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ส่งแต่กระดาษ นอกจากรับบาลจะไม่ได้ภาษีแล้ว ยังขอคืน VAT ด้วย เท่ากับโดนอีก เป็นการร่วมมือกันในพื้นที่ เพราะฉะนั้นตรงนี้ loop hole ต่างๆ ยังมีอยู่
ผมว่า ประเทศไทยรู้ทุกเรื่อง เป็นประเทศที่รู้ปัญหาดีที่สุด แต่ว่าวิธีการแก้ปัญหาไม่ค่อยรู้ และไม่ค่อยกล้าแก้ นั่นคือจุดอ่อน จุดแข็งนั้นคือรู้จริง ๆ ถามเรื่องอะไรรู้หมด ปัญหาทุกเรื่องรู้หมด แต่ว่าจะแก้อย่างไรไม่ค่อยรู้ และไม่ค่อยอยากจะแก้ วันนี้ลองให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอมานั่งสัมมนา ถามทุกเรื่องในพื้นที่ ท่านรู้หมด แต่ท่านรอรับนโยบายว่าจะเอาอย่างไร แต่วันนี้ผู้ว่าฯ มาอยู่ที่นี่หลายคน บอกว่านโยบายของผมคือ นโยบายเมตตาธรรม จริยธรรม และตรงไปตรงมาตามกฎหมาย หลักแค่นั้นเอง คือคนที่สมควรที่จะได้รับเมตตาธรรมก็ให้เมตตาธรรมเขาให้เต็มที่ คนที่ไม่สมควรจะให้เมตตาธรรม ก็ไม่จำเป็น
(ยังมีต่อ).../อีก 6 ปี..

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ