เจริญพร ท่านเลขาธิการฯ ข้าราชการทุกท่านเป็นที่น่ายินดีที่หน่วยงานแห่งนี้ได้เคารพธรรมะที่อาตมาได้รับรู้ ก็คือ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง สิ่งที่นำมาปรารภกันนั้น เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับภารกิจที่ท่านทั้งหลายได้กระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนฯ 8 ที่ท่านเลขาธิการฯ ได้กล่าวไว้ อาตมาได้รับหนังสืออาราธนาให้ไปร่วมระดมความคิดที่พัทยาเช่นเดียวกัน ได้รู้สึกหวาดกลัว เพราะว่าสถานที่เหล่านั้น ถ้าพระเข้าไปก็หลังเย็นละซิสำนักงานฯก็บันทึกเป็นเอกสารส่งมาให้สรุปแล้วว่าความคิดนั้นตรงกัน แต่ที่ว่าตรงกันก็ไม่ได้ตรง เพราะอาตมาคิดอย่างนั้น อาตมามองจากหลักของพระพุทธศาสนา เป็นที่น่ายินดีว่าที่เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ได้ร่วมประชุมที่ฝรั่งเศสวันก่อนองค์กรอะไรก็ลืมเสียแล้ว แต่ว่าจุดที่นำมาเน้นเขาก็เน้นคำสองคำ จริยธรรม กับ จิตสำนึก ถือว่าเป็นการใช้คำที่รัดกุม แต่ถ้าเรามองดูแล้วจะเห็นว่า จิตสำนึกเป็นการแสดงออกของจริยธรรม หมายความว่า ถ้าจิตใจขาดจริยธรรมเป็นฐาน จิตสำนึกที่ดีงามก็แสดงออกมาไม่ได้แผนฯ 8 นั้นทราบคร่าว ๆ ว่า จะใช้คนเป็นฐานในการพัฒนา โดยเน้นไปที่การพัฒนาคุณธรรมพูดง่ายๆว่าพัฒนาจิตใจเป็นหลัก ในข้อนี้อาตมาเคยตั้งข้อสังเกตให้ในที่ประชุมแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองให้ลองช่วยกันคิดว่าเราจะเอาธรรมก่อน หรือจะเอาทองก่อน ส่วนใหญ่มองไปที่ทองก่อนอาตมาเลยเล่านิทานชาดกสรุปให้ฟังว่าคนเรา ถ้าไปเจอทองโดยไม่มีธรรม ในที่สุดก็จะฆ่าแย่งทองกัน แล้วไม่มีใครได้ทอง คือตายหมด แต่ถ้าเรามาเริ่มต้นกันที่ธรรมะพอเจอทองถ้าเป็นสิทธิที่ตนควรจะได้ ก็จะทำให้คนเหล่านั้นนึกเห็นใจคนที่เป็นเจ้าของทอง ก็นำทองไปคืนให้เจ้าของทองเขาเป็นการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและแก่บุคคลอื่นซึ่งก็เป็นการปฏิบัติตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้โดยสรุปก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าได้รับสั่งแสดงไว้ในที่ต่างๆเป็นอันมากอย่างข้อที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดก็คือ "ท่านทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สำเร็จมาแต่ใจ" เป็นพุทธภาษิตข้อแรกในคาถาพระธรรมบท แต่จากการสังเกตเรามองความหลากหลายแล้วก็กลายเป็นความหลากหลายที่จริงความหลากหลายนั้นก็มาจากความเป็นหนึ่ง ด้วยความเป็นหนึ่งก็ไปสู่ความหลากหลาย พอเรามองกลายเป็นเรื่องหลากหลายต่างคนต่างก็พยายามจะให้มีสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งโน้น ขึ้นเยอะแยะไปหมดเลยกลายเป็นเรื่องหนัก แม้แต่คำขวัญอะไรต่าง ๆ ท่านลองสังเกตว่าต่างคนต่างก็ออกคำขวัญ บางทีคำขวัญเหล่านั้นที่จริงเป็นปัจจัยของกันและกันก็เป็นกระบวนการของธรรมชาติธรรมดาธรรมะที่จริงก็คือธรรมชาติธรรมดา เป็นกฎเกณฑ์ เป็นความจริงที่มีอยู่เป็นอยู่อย่างนั้น แต่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม ธรรมะเขาก็เป็นอย่างที่เขาเป็นเพียงแต่ว่ามีองค์ประกอบต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นสภาพแวดล้อมบ้างเป็นการกระทำของคนบ้าง ด้วยการมีธรรมะในขณะนี้นั้นบ้าง ทำให้พฤติกรรมของคนเราอออกมาในรูปที่ค่อนข้างจะหลากหลาย
เมืองไทยเรานั้น ถ้าเรามองสืบสาวมาตั้งแต่รัชการที่ 5 แล้วเราจะเห็นได้ชัดเจนว่ารัชกาลที่ 5 นั้น ที่จริงจะสืบมาจากสุโขทัยเป็นกระแสความคิดสายเดียวกันแล้วก็มาหยุดชะงักในรัชกาลที่ 5 ตอนที่เริ่มรับการศึกษาแผนใหม่มาจากยุโรป ความคิดเราก็เริ่มเปลี่ยน พยายายามจะลอกเลียนความคิดยุโรปเพราะความคิดของคนไทยนั้น โดยพื้นฐานเราจะเห็นว่ามาจากพุทธปรัชญา มีความคิดจากพระพุทธศาสนาเป็นทาน เพราะบรรพชนไทยเราว่าที่จริงยุค ตั้งแต่โบราณมาจนถึงเรามีการจัดการศึกษาแผนใหม่ เราก็เรียนจากพระพุทธศาสนาเป็นหลักเดิมทีเดียวนั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าในคติของยุคสุโขทัย มันจะสร้างลักษณะนิสัยของคน มองคนอื่น สัตว์อื่น ด้วยความรู้สึกเป็นมิตรไมตรี สิ่งที่นำมาเน้นย้ำมากก็คือ "ผูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย" ถามว่าเท่านั้นพอมั้ย ท่านจะเห็นว่ามันพอเลย เพราะธรรมะข้อนี้ก็คือ "เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก" ท่านลองสังเกตว่าปฏิกิริยาที่ต่อเนื่องกันไปจากความรู้สึกตรงนี้ เช่น เรามีความรู้สึกเมตตาไมตรีกับคนใดคนหนึ่ง เราจะไม่ประทุษร้ายต่อชีวิตของเขา จะไม่ล่วงเกินทรัพย์สินของเขา จะไม่ล่วงเกินคู่ครองของเขา จะพูดจากับเขาในทางที่ดีจะไม่ส่งเสริมสนับสนุนให้เขาเสพสิ่งเสพติดซึ่งเป็นปัญหาของโลกในปัจจุบัน
แนวการมองนั้น โลกมันก็มีสิ่งมีชีวิตกับไม่มีชีวิต พระพุทธเจ้าจะสอนให้มองทั้งสองแนว แต่ว่าเขาจะเป็นปัจจัยของกันและกัน เรามองสิ่งมีชีวิตด้วยความเมตตา แต่ในขณะเดียวกันสิ่งไม่มีชีวิตก็มีเจ้าของคือ สิ่งมีชีวิตเป็นเจ้าของสิ่งไม่มีชีวิต เมื่อเราเมตตาต่อสิ่งมีชีวิต เราไม่ล่วงละเมิดในสิ่งที่เป็นของของเขาเองโดยอัตโนมัติ มันเป็นการปรับจิตโดยอัตโนมัติ โดยธรรมชาติของมัน ถึงเรามองสิ่งไม่มีชีวิต ด้วยความไม่โลภ ก็ทำให้เราไม่ล่วงละเมิดในสิทธิสิ่งของของคนอื่น ก็กลายเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์แก่สิ่งมีชีวิตไปโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน แสดงว่าจากตรงไหนก็ได้ไม่จำเป็นจะต้องพูดทั้งสองข้อก็ได้ในภาคของการปฏิบัติ แต่ถ้าเรามองภาคทฤษฏีแล้วมันจะมีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย เพียงแต่ว่าเป็นการขยายไปจากตัวเจตน์หลัก ถ้าเรามองสาวไปที่พระคุณของพระพุทธเจ้า เราจะเห็นว่าการจบการศึกษาของพระพุทธเจ้าก็อาศัยคำอยู่เพียงสองคำคือสมบุรณ์ของวิชาความรู้ก็จะระณะคือ ความประพฤติสังคมพระอริยะก็พัฒนามาจากสองจุดนี้ พูดง่าย ๆ ว่า ความรู้ดี ความประพฤติดี แต่ตัวความรู้ในความหมายของพุทธศาสนากับความหมายในทางคดีโลกนั้นไม่ค่อยจะตรงกัน ความรู้ในทางคดีโลกจะไปเพิ่มความอยากความถือตัว โทสะอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ไปอีกมาก เช่น สมมุติว่าเรียนจบมาเป็นปริญญาเอก พอได้รับเงินระดับปริญญาตรีไม่เอาจะโกรธ ถ้าได้ระดับเอก หรือเกินเอก ก็จะเกิดอยากได้ต่อไป ก็หมายความว่าเรียนไปเรียนมามันเพิ่มกิเลสขึ้นมาด้วยแต่แนวของพระพุทธศาสนานั้น จะเป็นการเจริญเติบโตอย่างมีสัดส่วน คือ สอนให้เติบโตอย่างมีสัดส่วน เวลาความรู้เพิ่มขึ้น การเข้าใจคนอื่น ๆ การเห็นใจคนอื่น ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะฉะนั้นผลสมบูรณ์ของความรู้ในทางพระพุทธศาสนาก็คือการมองโลกด้วยความเมตตาสงสารเราจะเห็นผลงานต่าง ๆ ที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านทำ เป็นการทำงานเพื่อคนอื่นโดยส่วนเดียวคือไม่ได้มองถึงประโยชน์ที่ท่านจะได้รับนั้นแสดงถึงการจบการศึกษาในตามหลักของพุทธศาสนา ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันหมด เหลือแต่ความรู้ พอเกิดความรู้มันก็รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายตามความจริง อย่างพุทธกริยาของพระพุทธเจ้าที่เราทราบกัน ฉะนั้นก็ถือว่าเป็นสูงสุด
ในขณะเดียวกันเวลาพระพุทธเจ้านำมาสอน อย่าง ดร.ชัยอนันต์ สมุทวานิช ที่อ้างเอกสารของฝรั่งมาตั้งมากมาย บอกว่าทำไมต้องดำกับขาวอย่างเดียว สีเทา ๆ บ้างไม่ได้หรือ หม่น ๆ บ้างไม่ได้หรือ ที่จริงไม่ต้องไปอ้างฝรั่ง มันเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ก็เหมือนกับมืดกับไม่มืดสว่างกับไม่สว่าง นั่นก็คือกลาง ๆ มันมีสภาวะกลาง ๆ อยู่ในเนื้อหาของทุกเรื่องอยู่แล้ว ท่านจะเห็นว่าวิถีชีวิตของคนเราที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นฐานถ้าเราแบ่งเป็น 4 ระดับ แล้วท่านจะเห็นได้ชัดเจน เราอาจจะพูดวิสัยทัศน์ โลกทัศน์อะไรก็ช่างภาษามันเยอะเหลือเกินในขณะนี้ในระดับหนึ่งที่มีปัญหามาก คือระดับที่เราเรียกว่าเป็นมิคสัญญีที่มีการประทุษร้าย เบียดเบียน รุนแรงเกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างในปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีความรุนแรงอยู่ในระดับหนึ่ง ในที่บางจุดมัน ก็ขาดความสำนึกทางคุณธรรม ทางศีลธรรม พระพุทธศาสนาก็มาพัฒนาจากระดับศีล จะเห็นว่าศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราพูดถึงระดับการศึกษานี้ ศีลเป็นการมองมนุษย์อย่างมีเรามีเขา มองเป็นเราเป็นเขาเหมือนกันไม่ใช่ไม่มีเราไม่มีเขานะ มองเป็นเราเป็นเขาเหมือนกันเพียงแต่ว่าเป็นเราเป็นเขาที่ไม่แรง ในภาคของการปฏิบัติจริงก็คือการยอมรับสิทธิในการเป็นเราและเป็นเขา ในความเป็นของเราและในความเป็นของเขา ก็กลายเป็นโครงสร้างขอศีล ไม่ล่วงละเมิดกันและท่านทั้งหลายจะเห็นว่าที่จริงตรงนี้ คือ ระบบประชาธิปไตยที่เราพูดถึงสิทธิและหน้าที่ สิทธิและหน้าที่ก็ คือ การปฏิบัติตามหลักศีลในพระพุทธศาสนานั่นเอง เป็นการเคารพสิทธิและก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ล่วงเกินสิทธิของคนอื่น ไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่น เอาเข้าจริง ๆ ตรงนี้มันก็ไปกันไม่ค่อยได้ปัญหาต่าง ๆ มักก็เกิดขึ้นในจุดนี้เยอะแยะการปฏิบัติธรรมจะว่าที่จริง ข้ออ้างทำยาก เราพูดถึงยุคโลกาภิวัตน์ยุคข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน อะไรต่ออะไรต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ แต่ว่าพื้นฐานความคิดเรายังเป็นเราเป็นเขาอยู่ แล้วค่อนข้างจะแบ่งแยกรุนแรงมีการขัดแย้งกันเรื่องต่าง ๆ มากมาย มีปัญาหาทางเศรษฐกิจสังคม การเมือง การทหาร ก็แสดงให้เห็นว่มันมีการขัดแย้งกัน ในความรู้สึกว่าไร้พรมแดนมันต้องไร้พรมแดน มันต้องไม่มีเราไม่มีเขา ต้องมีเฉพาะพวกเราด้วย ใจจะต้องไร้พรมแดนด้วย ถ้าในยังมีพรมแดนมัน ก็ติดต่อกันไม่ได้ ยังเป็นเราเป็นเขา เห็นไหมปัญหาส่วนใหญ่เกิดมันอยู่ที่ใจทำไปเถอะสื่ออะไรทั้งหลายแต่ถ้าใจเรายังมีพรมแดนแล้วมันก็กลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่ต้องยื้อแย่ง ต่อสู้ชิงกัน แล้วก็หักล้างกลายเป็นธุรกิจที่มุ่งผลประโยชน์ เพื่อตอบสนองความต้องการตัวเอง แทนที่จะช่วยกันสรรค์สร้างสังคมให้เกิดพัฒนา เปลี่ยนแปลงในด้านดีงามต่าง ๆ ก็กลายเป็นเรื่องกลุ่มผลประโยชน์ ยื้อแย่งกัน มันก็กลายเป็นสภาพเดิม คือ มีความเป็นเราเป็นเขาที่ค่อนข้างรุนแรงมากยิ่งขึ้นพอเขาเกาะกลุ่มกันได้มาก กลุ่มของเขาก็ได้ประโยชน์มาก คนเดือดร้อนก็ถูกทิ้งห่างออกไปทุกที ปัญหาทางธรรมะท่านลองสังเกตว่าหลักธรรมทั้งหลายนั้นที่จริงคือความรู้สึกเป็นเรากับพวกเรา เช่น เมตตา คือ เรากับพวกเรา แล้วพวกเราก็คิดขยายขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นที่เราแผ่เมตตาท่านทั้งหลายจะเห็นว่าพุทธศาสนานั้นมีอุดมการณ์ระดับศีลที่เราว่าไว้ในตอนต้น พูดถึงปานะ แปลว่าลมหายใจเข้า-ออก เป็นการไม่ประทุษร้ายต่อสิ่งที่มีลมหายใจเข้า-ออก เวลาชาวบ้านเราพูกเฉพาะสัตว์คน แต่กับพระพูดต้นไม้ด้วยนะ พระตัดต้นไม้กับฆ่าสัตว์บาปเท่ากันต้องไปปา-จิตตี เท่ากัน แต่กับชาวบ้านไม่พูด เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าวินัยต่าง ๆ ของพระที่กำหนดเอาไว้ มันมีการอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่ในตัวของมันเลย โดยไม่ต้องบอกว่าอนุรักษ์ เพราะพฤติกรรมทั้งหลายนั้นจะเป็นการอนุรักษ์เอง คือไม่ทำลาย เพราะทำลายไม่ได้ แล้วกิจกรรมต่าง ๆ เวลาเราประกอบพิธีกรรม เราพยายามสร้างความรู้สึกเป็นสัพเพสัตตา คือสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ก็แสดงว่าพยายามที่จะให้ใจนั้นมีความเป็นสากลไปเรื่อย ๆ แล้วก็มองว่าทุกชีวิตก็ คือเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นจริง ๆ ตรงนี้สวดได้ แต่ทำยากเราก็สวดกันทุกวันแล้วก็ทะเลาะกันอยู่เรื่อย
ปัญหาใหญ่จึงมาอยู่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะหาความรู้ความเข้าใจที่ถูกอย่างต้องกันได้อาตมากำลังมอง เมื่อคืนวานมีโยมโทรมาให้ฟังรายการเขาเปิดตามความเห็นของผู้ฟัง ชื่อรายการมองต่างมุมก็พยายามฟังอยู่ระยะหนึ่งมองแล้วเราเห็นปัญหาและก็คิดถึงปัญหาไปหลาย ๆ จุดด้วยกัน เราลองดูปัญหาใหญ่ ๆ ที่เราปรารภกันในปัจจุบัน ปัญหาข้อแรกคือ เรื่องคำว่า ปฏิรูป ถ้าเรามองย้อนไปเมื่อ 19,20 มีการปฏิรูป เราต่อต้านนะต่อต้านปฏิรูป แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกร้องปฏิรูปถามว่าปฏิรูปคืออะไร ปฏิรูปก็คือต้องทำตามที่ฉันคิด หมายความว่าคณะกรรมการกลุ่มนี้คิดถูกต้องแล้ว คนอื่นจะต้องทำตามนี้เท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เราว่ามันเผด็จการ ความคิดนี้มันเป็นเผด็จการ แล้วก็วิธีการนำเสนอต่าง ๆ ที่เอาอดีตประมุขสามฝ่ายเข้ามาเป็นหลักในการทำงานต่าง ๆ ที่เอาอดีตประมุขสามฝ่ายเข้ามาเป็นหลักในการทำงานต่าง ๆ จะห็นว่ามันก็เป็นการเผด็จการรวมสู่ยุคเหมือนเดิม เราเอาเราเป็นฐาน ความคิดนั้น เอาตัวเองเป็นฐานในการคิด เป็นศูนย์ในการคิด พอเราคิดกันจริง ๆ เราแยกจากตัวเราไม่ได้ เพราะตัวเรามันใหญ่ขึ้นทุกวัน ให้ความสำคัญกับตัวเอง แม้จะเรียกว่าสมาพันธ์ประชาธิปไตยก็ตาม การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ท่านจะเห็นว่าที่จริงก็คือเผด็จการ ความคิดของเขาเท่านั้นคือความถูกต้องนั้นแสดงให้เห็นว่าการศึกษาหรือการพัฒนาจิตใจของเราก็ตาม มันยังอยู่ในความเป็นเราคืออัตตามันยังใหญ่ ประชาธิปไตยนั้นอัตตามันต้องเล็กลง ต้องมองภาพของประชาชนและยอมรับความใหญ่ของคนอื่น ความสำคัญของคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยอมทุกอย่าง เราจะเห็นว่าในสมัยโบราณท่านใช้คำคำหนึ่ง(เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันเราไม่ได้มอง)ว่าทำนองคลองธรรมทำนองคลองธรรม ที่จริงมันผ่านการพิสูจน์ทดสอบมาเป็นพัน ๆ ปี มันเป็นข้อยุติที่ลงตัวอย่างว่าความชั่วคืออะไรความชั่วถ้าเรามองจากผลของการกระทำ ก็คือนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง และคนอื่น ก็ถือว่าชั่วชั่วมากชั่วน้อยนั้นเป็นรายละเอียด และจากตรงนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นว่ามันก็กลายเป็นลักษณะไม่ถึงกับดำไม่ถึงกับขาวขึ้นมา ระดับศีลธรรมนั้น ที่จริงไม่ถึงกับดำไม่ถึงกับขาว ถ้าดำก็คือาชญากรรมไปเลย ถ้าขาวก็คือพระอรหันต์ไปเลย ศีลธรรมระดับสังคมที่จริงก์คือระดับเทา ๆ ไม่ถึงกับดำไม่ถึงกับิขาว ถ้าถามว่าโลภไหม แต่ถามว่าชั่วไหมถ้าระดับศีลธรรมไม่ชั่วถ้าจะชั่วก็โน่นระดับมรรคผลนิพพานเพราะฉะนั้นเราลองสังเกตว่าความโลภจริง ๆ คนที่ละความโลภได้ก็คือ พระอรหันต์ โลภชั้นละเอียดจริง ๆ ละได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น เพราะฉะนั้นระดับตรงนี้มันเป็นอาการที่ว่าไม่ถึงกับดำไม่ถึงกับขาว หนักไปทางขวาหรือหนักไปทางดำมันก็เป็นอาการที่เราจะเห็นทางรูปธรรม ซึ่งคนเหล่านั้นแสดงออกมา เป็นปัญหาสำคัญที่เรามอง แต่นี่ก็คือเรื่องของความคิด เรามามองดูเรื่องป่าท่าชนะก็ได้ที่กำลังโวยวาย ท่านจะเหิ็นว่าป่าท่าชนะประเด็นมันมีอยู่ 2 ประเด็นเท่านั้นเอง ว่ามีการตัดไม้จริงหรือเปล่า ไม่ต้องถามว่าทำลายป่าหรือไม่ ตัดไม้ก็ต้องทำลายป่าอยู่แล้ว แต่ว่าคนตัดมีสิทธิตัดตามกฎหมายหรือเปล่าเท่านั้นเอง ส่วนว่าใครตัด ตัดอย่างไร ถ้าไม่มีสิทธิตามกฎหมายเธอก็ผิดเท่านั้นเอง แล้วก็เบี่ยงเบนประเด็นไปเป็นเล่นอะไรนอกเรื่องหายไปเลย นี่คือแสดงให้เห็นว่าพอเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว มันละทิ้งทำนองคลองธรรมมันมีอยู่ประเด็นที่จับหลักมันสั้นนิดเดียวไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ก็ไปทำดีประเด็นให้เปรอะเปื้อนไปหมด และในที่สุกก็หลายเป็นเรื่องทำให้คนหลงประเด็น แล้วก็ดึงคนเข้าต่อสู้สร้างความขัดแย้งกันขึ้นภายในบ้านเมืองปัญหาที่ควรจะแก้ไขมันก็แก้ไขไม่ได้วันก่อนเคยพูดกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถึงวิธีการที่เขาโวยวายเรื่องศาสนาอาตมาว่าไปดีแก้ไขปัญหาของคุณเหมือนกับอุจจาระสุนัขคุณเอาน้ำไปฉีดเลยมันเปื้อนเปรอะไปหมด คุณตักทิ้งเสียซิก้อนเดียวเท่านั้นเอง
ท่านจะเห็นว่าเราเยมีคำอยู่ชุดหนึ่งที่เราพูดถึง ภูมิธรรม ภูมิจิต ภูมิฐาน ภูมิจิต นี้เป็นฐาน ภูมิธรรมนี้สำคัญที่สุด เพราะภูมิธรรมมันจะรักษาภูมิจิตเอาไว้ และการทำดี การอะไรก็ดีทุกอย่างมันจะต้องมีภูมิจิตที่มีภูมิธรรมเป็นฐานในการคิด ไม่ใช่แก้ปัญหาแล้วสร้างปัญหาต่อไป ซึ่งบางทีปัญหาที่เราแก้ไขนั้นไม่ใหญ่เท่าไร แต่ปัญหาที่สร้างขึ้นจากากรแก้ปัญหานั้นมันมากกว่าเสียอีก คล้าย ๆ กับรักษาโรคอย่างหนึ่งผ่าตัดไปพอดีคนป่วยทรุดก็เลยมีโรคแทรกซ้อนขึ้น ทั้งหมดนี้ท่านทั้งหลายลองสังเกตว่าพื้นฐานใหญ่ จึงมาอยู่ที่เรื่องคุณธรรม พอถึงคุณธรรมเราต้องมองว่าปัญหานี้คืออะไร อะไรที่เป็นฐานมันก็เหมือนกับการพิพากษาวินิจฉัยคดีทั้งหลาย เราจะเห็นว่าไม่ใช่โจทก์ก็จำเลยเป็นฐาน แต่ดูที่การกระทำเป็นฐาน ใครทำเป็นประเด็นสำคัญที่สุดว่าใครทำ ทำอย่างไร ทำไมจึงทำ และสิ่งที่ทำถูกผิดอย่างไร ทำไมจึงทำ และสิ่งที่ทำถูกผิดอย่างไร ถ้าเราเอาคนเป็นฐานมันจะมีปัญหาทันทีเพราะคนก็มีพวกเรา ไม่ใช่พวกเรา มีความรักความชังอยู่ในความเป็นคน ใจมันก็เอียงก็กลายเป็นแบ่งพรรคแบ่งพวกกลายเป็นการตัดสินใจที่ไม่ยุติธรรมขึ้นมาและแนวทั้งหลายสมัยโบราณท่านยังใช้ว่าทำนองคลองธรรม แล้วพอถึงคำว่าทำนองคลองธรรมแล้วท่านหาข้อยุติได้ จบทำนองคลองธรรมท่านว่าอย่างนี้ บางทีอย่างที่เขาเล่าขำขันว่าคนเขาเถียงกันอยู่ 2 คน สัตว์น้ำกับสัตว์บกอะไรมากกว่ากัน เถียงกันไปมาต่างก็มีข้อมูลอ้างอิงกันพอสมควร คนหนึ่งอ้างว่าพระพุทธเจ้ายังว่าเลยว่าสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก นัตถิเมสะนังอันยัง ซึ่งแปลว่าที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มีแต่นี่โมเมว่าสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก อีกคนไม่รู้แปลว่าอย่างไรเลย เชื่อเลย เห็นไหมนี้คือ หมายความว่าเราให้ความสำคัญกับตัวทำนองคลองธรรม แม้บางครั้งสิ่งที่ได้ชื่อว่าทำนองคลองธรรมนั้นจะถูกกล่าวอ้างมาโดยไม่ชัดเจนก็ตาม แต่เราให้ความสำคัญต่อที่มาโดยนึกว่าพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น และที่จริงก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรหนักหนาที่จะยอมกันบ้างไม่ได้ ปัญหาใหญ่ที่น่ามองในปัจจุบันนี้อาตมาว่าเราคงต้องพัฒนาตรงนี้ พัฒนาจิตสำนึกความคิดว่าทำอย่างไร แต่อย่าลืมว่าสถานการณ์ไม่ปกติ สถานการณ์เราไม่ใช่สถานการณ์เดิม คนของเราเติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนอยู่ท่ามกลางบุพการี เด็กเติบโตมาท่ามกลางบุพการี แต่ปัจจุบันเด็กเติบโตมาท่ามกลางกลุ่มผลประโยชน์ มีวิดีโอมีเกมส์กด มีการ์ตูน มีอะไรต่ออะไรมันเรื่องกลุ่มผลประโยชน์ทั้งนั้น แต่ภาพเหล่านั้นโดยรวมแล้วท่านจะเห็นว่ามันยั่วให้อยากเป็นภาพที่ยั่วให้อยาก สังคมไทยที่จริงสังคมโลกเป็นสังคมที่ถูกยั่วให้อยากแล้ว ทำให้คนเราอยู่อย่างอยากลักษณะอารมณ์ที่มีการปรุงแต่งผ่านมาทางสื่อทั้งหลายแล้วสื่ออันมากที่เราคบไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อดาวเทียมที่ผ่านทางดาวเทียมผ่านทางวิดีโอ ผ่านทางแผ่นดิสต์ แล้วเมื่อคืนนี้ไปดูรายการที่ว่าคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้สามารถตัดหัวคนนั้นเอาตัวในคนนี้ยุ่งตายเลย นี่คืออันตราย อาตมาว่าเวลานี้มันอาจจะกลายเป็นเครื่องมือในการทำลายพระก็ได้นะตัดหัวพระไปใส่ภาพใครไม่รู้เราก็คงยุ่งวุ่นกันตายเลย นี้คือเรื่องที่กำลังเป็นอันตรายแล้วปรากฎว่าทางราชการเอง ก็เข้าไปควบคุมไม่ถึง ถึงจะมีกฎหมายจริง ๆ ก็คุมไม่ได้ เมื่อคุมไม่ได้ทำอย่างไรละ มันก็ต้องอยู่ที่เราฝึกภูมิจิตของเราให้แข็งภูมิจิตของคนเราให้แข็งพร้อมที่จะอยู่ในสถานการณ์ปกติ สถานการณ์ปกติไม่ค่อยแปลก แต่อย่าลืมว่าลักษณะทางอารมณ์ที่ยั่วยวน ยั่วยวนนี่จะแรงมาก เพราะอยู่ในยุคที่ต่อสู้กันทางข้อมูล ข่าวสาร และข้อมูลข่าวสารนั้นจะมีกลุ่มธุรกิจอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น ถ้าเราลองฟังวิทยุ หรือโทรทัศน์ก็ดี ลองหมุนดูลองเช็คดูเราได้อะไรบ้าง เราจะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ คนที่เข้ามาอยู่ในตรงนี้หรือแสดงความคิดเห็นนั้นไม่ค่อยจะมีข้อมูล
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีที่ 13 ฉบับที่ 7 / กรกฎาคม 2539--
เมืองไทยเรานั้น ถ้าเรามองสืบสาวมาตั้งแต่รัชการที่ 5 แล้วเราจะเห็นได้ชัดเจนว่ารัชกาลที่ 5 นั้น ที่จริงจะสืบมาจากสุโขทัยเป็นกระแสความคิดสายเดียวกันแล้วก็มาหยุดชะงักในรัชกาลที่ 5 ตอนที่เริ่มรับการศึกษาแผนใหม่มาจากยุโรป ความคิดเราก็เริ่มเปลี่ยน พยายายามจะลอกเลียนความคิดยุโรปเพราะความคิดของคนไทยนั้น โดยพื้นฐานเราจะเห็นว่ามาจากพุทธปรัชญา มีความคิดจากพระพุทธศาสนาเป็นทาน เพราะบรรพชนไทยเราว่าที่จริงยุค ตั้งแต่โบราณมาจนถึงเรามีการจัดการศึกษาแผนใหม่ เราก็เรียนจากพระพุทธศาสนาเป็นหลักเดิมทีเดียวนั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าในคติของยุคสุโขทัย มันจะสร้างลักษณะนิสัยของคน มองคนอื่น สัตว์อื่น ด้วยความรู้สึกเป็นมิตรไมตรี สิ่งที่นำมาเน้นย้ำมากก็คือ "ผูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย" ถามว่าเท่านั้นพอมั้ย ท่านจะเห็นว่ามันพอเลย เพราะธรรมะข้อนี้ก็คือ "เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก" ท่านลองสังเกตว่าปฏิกิริยาที่ต่อเนื่องกันไปจากความรู้สึกตรงนี้ เช่น เรามีความรู้สึกเมตตาไมตรีกับคนใดคนหนึ่ง เราจะไม่ประทุษร้ายต่อชีวิตของเขา จะไม่ล่วงเกินทรัพย์สินของเขา จะไม่ล่วงเกินคู่ครองของเขา จะพูดจากับเขาในทางที่ดีจะไม่ส่งเสริมสนับสนุนให้เขาเสพสิ่งเสพติดซึ่งเป็นปัญหาของโลกในปัจจุบัน
แนวการมองนั้น โลกมันก็มีสิ่งมีชีวิตกับไม่มีชีวิต พระพุทธเจ้าจะสอนให้มองทั้งสองแนว แต่ว่าเขาจะเป็นปัจจัยของกันและกัน เรามองสิ่งมีชีวิตด้วยความเมตตา แต่ในขณะเดียวกันสิ่งไม่มีชีวิตก็มีเจ้าของคือ สิ่งมีชีวิตเป็นเจ้าของสิ่งไม่มีชีวิต เมื่อเราเมตตาต่อสิ่งมีชีวิต เราไม่ล่วงละเมิดในสิ่งที่เป็นของของเขาเองโดยอัตโนมัติ มันเป็นการปรับจิตโดยอัตโนมัติ โดยธรรมชาติของมัน ถึงเรามองสิ่งไม่มีชีวิต ด้วยความไม่โลภ ก็ทำให้เราไม่ล่วงละเมิดในสิทธิสิ่งของของคนอื่น ก็กลายเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์แก่สิ่งมีชีวิตไปโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน แสดงว่าจากตรงไหนก็ได้ไม่จำเป็นจะต้องพูดทั้งสองข้อก็ได้ในภาคของการปฏิบัติ แต่ถ้าเรามองภาคทฤษฏีแล้วมันจะมีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย เพียงแต่ว่าเป็นการขยายไปจากตัวเจตน์หลัก ถ้าเรามองสาวไปที่พระคุณของพระพุทธเจ้า เราจะเห็นว่าการจบการศึกษาของพระพุทธเจ้าก็อาศัยคำอยู่เพียงสองคำคือสมบุรณ์ของวิชาความรู้ก็จะระณะคือ ความประพฤติสังคมพระอริยะก็พัฒนามาจากสองจุดนี้ พูดง่าย ๆ ว่า ความรู้ดี ความประพฤติดี แต่ตัวความรู้ในความหมายของพุทธศาสนากับความหมายในทางคดีโลกนั้นไม่ค่อยจะตรงกัน ความรู้ในทางคดีโลกจะไปเพิ่มความอยากความถือตัว โทสะอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ไปอีกมาก เช่น สมมุติว่าเรียนจบมาเป็นปริญญาเอก พอได้รับเงินระดับปริญญาตรีไม่เอาจะโกรธ ถ้าได้ระดับเอก หรือเกินเอก ก็จะเกิดอยากได้ต่อไป ก็หมายความว่าเรียนไปเรียนมามันเพิ่มกิเลสขึ้นมาด้วยแต่แนวของพระพุทธศาสนานั้น จะเป็นการเจริญเติบโตอย่างมีสัดส่วน คือ สอนให้เติบโตอย่างมีสัดส่วน เวลาความรู้เพิ่มขึ้น การเข้าใจคนอื่น ๆ การเห็นใจคนอื่น ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะฉะนั้นผลสมบูรณ์ของความรู้ในทางพระพุทธศาสนาก็คือการมองโลกด้วยความเมตตาสงสารเราจะเห็นผลงานต่าง ๆ ที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านทำ เป็นการทำงานเพื่อคนอื่นโดยส่วนเดียวคือไม่ได้มองถึงประโยชน์ที่ท่านจะได้รับนั้นแสดงถึงการจบการศึกษาในตามหลักของพุทธศาสนา ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันหมด เหลือแต่ความรู้ พอเกิดความรู้มันก็รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายตามความจริง อย่างพุทธกริยาของพระพุทธเจ้าที่เราทราบกัน ฉะนั้นก็ถือว่าเป็นสูงสุด
ในขณะเดียวกันเวลาพระพุทธเจ้านำมาสอน อย่าง ดร.ชัยอนันต์ สมุทวานิช ที่อ้างเอกสารของฝรั่งมาตั้งมากมาย บอกว่าทำไมต้องดำกับขาวอย่างเดียว สีเทา ๆ บ้างไม่ได้หรือ หม่น ๆ บ้างไม่ได้หรือ ที่จริงไม่ต้องไปอ้างฝรั่ง มันเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ก็เหมือนกับมืดกับไม่มืดสว่างกับไม่สว่าง นั่นก็คือกลาง ๆ มันมีสภาวะกลาง ๆ อยู่ในเนื้อหาของทุกเรื่องอยู่แล้ว ท่านจะเห็นว่าวิถีชีวิตของคนเราที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นฐานถ้าเราแบ่งเป็น 4 ระดับ แล้วท่านจะเห็นได้ชัดเจน เราอาจจะพูดวิสัยทัศน์ โลกทัศน์อะไรก็ช่างภาษามันเยอะเหลือเกินในขณะนี้ในระดับหนึ่งที่มีปัญหามาก คือระดับที่เราเรียกว่าเป็นมิคสัญญีที่มีการประทุษร้าย เบียดเบียน รุนแรงเกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างในปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีความรุนแรงอยู่ในระดับหนึ่ง ในที่บางจุดมัน ก็ขาดความสำนึกทางคุณธรรม ทางศีลธรรม พระพุทธศาสนาก็มาพัฒนาจากระดับศีล จะเห็นว่าศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราพูดถึงระดับการศึกษานี้ ศีลเป็นการมองมนุษย์อย่างมีเรามีเขา มองเป็นเราเป็นเขาเหมือนกันไม่ใช่ไม่มีเราไม่มีเขานะ มองเป็นเราเป็นเขาเหมือนกันเพียงแต่ว่าเป็นเราเป็นเขาที่ไม่แรง ในภาคของการปฏิบัติจริงก็คือการยอมรับสิทธิในการเป็นเราและเป็นเขา ในความเป็นของเราและในความเป็นของเขา ก็กลายเป็นโครงสร้างขอศีล ไม่ล่วงละเมิดกันและท่านทั้งหลายจะเห็นว่าที่จริงตรงนี้ คือ ระบบประชาธิปไตยที่เราพูดถึงสิทธิและหน้าที่ สิทธิและหน้าที่ก็ คือ การปฏิบัติตามหลักศีลในพระพุทธศาสนานั่นเอง เป็นการเคารพสิทธิและก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ล่วงเกินสิทธิของคนอื่น ไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่น เอาเข้าจริง ๆ ตรงนี้มันก็ไปกันไม่ค่อยได้ปัญหาต่าง ๆ มักก็เกิดขึ้นในจุดนี้เยอะแยะการปฏิบัติธรรมจะว่าที่จริง ข้ออ้างทำยาก เราพูดถึงยุคโลกาภิวัตน์ยุคข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน อะไรต่ออะไรต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ แต่ว่าพื้นฐานความคิดเรายังเป็นเราเป็นเขาอยู่ แล้วค่อนข้างจะแบ่งแยกรุนแรงมีการขัดแย้งกันเรื่องต่าง ๆ มากมาย มีปัญาหาทางเศรษฐกิจสังคม การเมือง การทหาร ก็แสดงให้เห็นว่มันมีการขัดแย้งกัน ในความรู้สึกว่าไร้พรมแดนมันต้องไร้พรมแดน มันต้องไม่มีเราไม่มีเขา ต้องมีเฉพาะพวกเราด้วย ใจจะต้องไร้พรมแดนด้วย ถ้าในยังมีพรมแดนมัน ก็ติดต่อกันไม่ได้ ยังเป็นเราเป็นเขา เห็นไหมปัญหาส่วนใหญ่เกิดมันอยู่ที่ใจทำไปเถอะสื่ออะไรทั้งหลายแต่ถ้าใจเรายังมีพรมแดนแล้วมันก็กลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่ต้องยื้อแย่ง ต่อสู้ชิงกัน แล้วก็หักล้างกลายเป็นธุรกิจที่มุ่งผลประโยชน์ เพื่อตอบสนองความต้องการตัวเอง แทนที่จะช่วยกันสรรค์สร้างสังคมให้เกิดพัฒนา เปลี่ยนแปลงในด้านดีงามต่าง ๆ ก็กลายเป็นเรื่องกลุ่มผลประโยชน์ ยื้อแย่งกัน มันก็กลายเป็นสภาพเดิม คือ มีความเป็นเราเป็นเขาที่ค่อนข้างรุนแรงมากยิ่งขึ้นพอเขาเกาะกลุ่มกันได้มาก กลุ่มของเขาก็ได้ประโยชน์มาก คนเดือดร้อนก็ถูกทิ้งห่างออกไปทุกที ปัญหาทางธรรมะท่านลองสังเกตว่าหลักธรรมทั้งหลายนั้นที่จริงคือความรู้สึกเป็นเรากับพวกเรา เช่น เมตตา คือ เรากับพวกเรา แล้วพวกเราก็คิดขยายขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นที่เราแผ่เมตตาท่านทั้งหลายจะเห็นว่าพุทธศาสนานั้นมีอุดมการณ์ระดับศีลที่เราว่าไว้ในตอนต้น พูดถึงปานะ แปลว่าลมหายใจเข้า-ออก เป็นการไม่ประทุษร้ายต่อสิ่งที่มีลมหายใจเข้า-ออก เวลาชาวบ้านเราพูกเฉพาะสัตว์คน แต่กับพระพูดต้นไม้ด้วยนะ พระตัดต้นไม้กับฆ่าสัตว์บาปเท่ากันต้องไปปา-จิตตี เท่ากัน แต่กับชาวบ้านไม่พูด เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าวินัยต่าง ๆ ของพระที่กำหนดเอาไว้ มันมีการอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่ในตัวของมันเลย โดยไม่ต้องบอกว่าอนุรักษ์ เพราะพฤติกรรมทั้งหลายนั้นจะเป็นการอนุรักษ์เอง คือไม่ทำลาย เพราะทำลายไม่ได้ แล้วกิจกรรมต่าง ๆ เวลาเราประกอบพิธีกรรม เราพยายามสร้างความรู้สึกเป็นสัพเพสัตตา คือสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ก็แสดงว่าพยายามที่จะให้ใจนั้นมีความเป็นสากลไปเรื่อย ๆ แล้วก็มองว่าทุกชีวิตก็ คือเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นจริง ๆ ตรงนี้สวดได้ แต่ทำยากเราก็สวดกันทุกวันแล้วก็ทะเลาะกันอยู่เรื่อย
ปัญหาใหญ่จึงมาอยู่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะหาความรู้ความเข้าใจที่ถูกอย่างต้องกันได้อาตมากำลังมอง เมื่อคืนวานมีโยมโทรมาให้ฟังรายการเขาเปิดตามความเห็นของผู้ฟัง ชื่อรายการมองต่างมุมก็พยายามฟังอยู่ระยะหนึ่งมองแล้วเราเห็นปัญหาและก็คิดถึงปัญหาไปหลาย ๆ จุดด้วยกัน เราลองดูปัญหาใหญ่ ๆ ที่เราปรารภกันในปัจจุบัน ปัญหาข้อแรกคือ เรื่องคำว่า ปฏิรูป ถ้าเรามองย้อนไปเมื่อ 19,20 มีการปฏิรูป เราต่อต้านนะต่อต้านปฏิรูป แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกร้องปฏิรูปถามว่าปฏิรูปคืออะไร ปฏิรูปก็คือต้องทำตามที่ฉันคิด หมายความว่าคณะกรรมการกลุ่มนี้คิดถูกต้องแล้ว คนอื่นจะต้องทำตามนี้เท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เราว่ามันเผด็จการ ความคิดนี้มันเป็นเผด็จการ แล้วก็วิธีการนำเสนอต่าง ๆ ที่เอาอดีตประมุขสามฝ่ายเข้ามาเป็นหลักในการทำงานต่าง ๆ ที่เอาอดีตประมุขสามฝ่ายเข้ามาเป็นหลักในการทำงานต่าง ๆ จะห็นว่ามันก็เป็นการเผด็จการรวมสู่ยุคเหมือนเดิม เราเอาเราเป็นฐาน ความคิดนั้น เอาตัวเองเป็นฐานในการคิด เป็นศูนย์ในการคิด พอเราคิดกันจริง ๆ เราแยกจากตัวเราไม่ได้ เพราะตัวเรามันใหญ่ขึ้นทุกวัน ให้ความสำคัญกับตัวเอง แม้จะเรียกว่าสมาพันธ์ประชาธิปไตยก็ตาม การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ท่านจะเห็นว่าที่จริงก็คือเผด็จการ ความคิดของเขาเท่านั้นคือความถูกต้องนั้นแสดงให้เห็นว่าการศึกษาหรือการพัฒนาจิตใจของเราก็ตาม มันยังอยู่ในความเป็นเราคืออัตตามันยังใหญ่ ประชาธิปไตยนั้นอัตตามันต้องเล็กลง ต้องมองภาพของประชาชนและยอมรับความใหญ่ของคนอื่น ความสำคัญของคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยอมทุกอย่าง เราจะเห็นว่าในสมัยโบราณท่านใช้คำคำหนึ่ง(เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันเราไม่ได้มอง)ว่าทำนองคลองธรรมทำนองคลองธรรม ที่จริงมันผ่านการพิสูจน์ทดสอบมาเป็นพัน ๆ ปี มันเป็นข้อยุติที่ลงตัวอย่างว่าความชั่วคืออะไรความชั่วถ้าเรามองจากผลของการกระทำ ก็คือนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง และคนอื่น ก็ถือว่าชั่วชั่วมากชั่วน้อยนั้นเป็นรายละเอียด และจากตรงนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นว่ามันก็กลายเป็นลักษณะไม่ถึงกับดำไม่ถึงกับขาวขึ้นมา ระดับศีลธรรมนั้น ที่จริงไม่ถึงกับดำไม่ถึงกับขาว ถ้าดำก็คือาชญากรรมไปเลย ถ้าขาวก็คือพระอรหันต์ไปเลย ศีลธรรมระดับสังคมที่จริงก์คือระดับเทา ๆ ไม่ถึงกับดำไม่ถึงกับิขาว ถ้าถามว่าโลภไหม แต่ถามว่าชั่วไหมถ้าระดับศีลธรรมไม่ชั่วถ้าจะชั่วก็โน่นระดับมรรคผลนิพพานเพราะฉะนั้นเราลองสังเกตว่าความโลภจริง ๆ คนที่ละความโลภได้ก็คือ พระอรหันต์ โลภชั้นละเอียดจริง ๆ ละได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น เพราะฉะนั้นระดับตรงนี้มันเป็นอาการที่ว่าไม่ถึงกับดำไม่ถึงกับขาว หนักไปทางขวาหรือหนักไปทางดำมันก็เป็นอาการที่เราจะเห็นทางรูปธรรม ซึ่งคนเหล่านั้นแสดงออกมา เป็นปัญหาสำคัญที่เรามอง แต่นี่ก็คือเรื่องของความคิด เรามามองดูเรื่องป่าท่าชนะก็ได้ที่กำลังโวยวาย ท่านจะเหิ็นว่าป่าท่าชนะประเด็นมันมีอยู่ 2 ประเด็นเท่านั้นเอง ว่ามีการตัดไม้จริงหรือเปล่า ไม่ต้องถามว่าทำลายป่าหรือไม่ ตัดไม้ก็ต้องทำลายป่าอยู่แล้ว แต่ว่าคนตัดมีสิทธิตัดตามกฎหมายหรือเปล่าเท่านั้นเอง ส่วนว่าใครตัด ตัดอย่างไร ถ้าไม่มีสิทธิตามกฎหมายเธอก็ผิดเท่านั้นเอง แล้วก็เบี่ยงเบนประเด็นไปเป็นเล่นอะไรนอกเรื่องหายไปเลย นี่คือแสดงให้เห็นว่าพอเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว มันละทิ้งทำนองคลองธรรมมันมีอยู่ประเด็นที่จับหลักมันสั้นนิดเดียวไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ก็ไปทำดีประเด็นให้เปรอะเปื้อนไปหมด และในที่สุกก็หลายเป็นเรื่องทำให้คนหลงประเด็น แล้วก็ดึงคนเข้าต่อสู้สร้างความขัดแย้งกันขึ้นภายในบ้านเมืองปัญหาที่ควรจะแก้ไขมันก็แก้ไขไม่ได้วันก่อนเคยพูดกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถึงวิธีการที่เขาโวยวายเรื่องศาสนาอาตมาว่าไปดีแก้ไขปัญหาของคุณเหมือนกับอุจจาระสุนัขคุณเอาน้ำไปฉีดเลยมันเปื้อนเปรอะไปหมด คุณตักทิ้งเสียซิก้อนเดียวเท่านั้นเอง
ท่านจะเห็นว่าเราเยมีคำอยู่ชุดหนึ่งที่เราพูดถึง ภูมิธรรม ภูมิจิต ภูมิฐาน ภูมิจิต นี้เป็นฐาน ภูมิธรรมนี้สำคัญที่สุด เพราะภูมิธรรมมันจะรักษาภูมิจิตเอาไว้ และการทำดี การอะไรก็ดีทุกอย่างมันจะต้องมีภูมิจิตที่มีภูมิธรรมเป็นฐานในการคิด ไม่ใช่แก้ปัญหาแล้วสร้างปัญหาต่อไป ซึ่งบางทีปัญหาที่เราแก้ไขนั้นไม่ใหญ่เท่าไร แต่ปัญหาที่สร้างขึ้นจากากรแก้ปัญหานั้นมันมากกว่าเสียอีก คล้าย ๆ กับรักษาโรคอย่างหนึ่งผ่าตัดไปพอดีคนป่วยทรุดก็เลยมีโรคแทรกซ้อนขึ้น ทั้งหมดนี้ท่านทั้งหลายลองสังเกตว่าพื้นฐานใหญ่ จึงมาอยู่ที่เรื่องคุณธรรม พอถึงคุณธรรมเราต้องมองว่าปัญหานี้คืออะไร อะไรที่เป็นฐานมันก็เหมือนกับการพิพากษาวินิจฉัยคดีทั้งหลาย เราจะเห็นว่าไม่ใช่โจทก์ก็จำเลยเป็นฐาน แต่ดูที่การกระทำเป็นฐาน ใครทำเป็นประเด็นสำคัญที่สุดว่าใครทำ ทำอย่างไร ทำไมจึงทำ และสิ่งที่ทำถูกผิดอย่างไร ทำไมจึงทำ และสิ่งที่ทำถูกผิดอย่างไร ถ้าเราเอาคนเป็นฐานมันจะมีปัญหาทันทีเพราะคนก็มีพวกเรา ไม่ใช่พวกเรา มีความรักความชังอยู่ในความเป็นคน ใจมันก็เอียงก็กลายเป็นแบ่งพรรคแบ่งพวกกลายเป็นการตัดสินใจที่ไม่ยุติธรรมขึ้นมาและแนวทั้งหลายสมัยโบราณท่านยังใช้ว่าทำนองคลองธรรม แล้วพอถึงคำว่าทำนองคลองธรรมแล้วท่านหาข้อยุติได้ จบทำนองคลองธรรมท่านว่าอย่างนี้ บางทีอย่างที่เขาเล่าขำขันว่าคนเขาเถียงกันอยู่ 2 คน สัตว์น้ำกับสัตว์บกอะไรมากกว่ากัน เถียงกันไปมาต่างก็มีข้อมูลอ้างอิงกันพอสมควร คนหนึ่งอ้างว่าพระพุทธเจ้ายังว่าเลยว่าสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก นัตถิเมสะนังอันยัง ซึ่งแปลว่าที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มีแต่นี่โมเมว่าสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก อีกคนไม่รู้แปลว่าอย่างไรเลย เชื่อเลย เห็นไหมนี้คือ หมายความว่าเราให้ความสำคัญกับตัวทำนองคลองธรรม แม้บางครั้งสิ่งที่ได้ชื่อว่าทำนองคลองธรรมนั้นจะถูกกล่าวอ้างมาโดยไม่ชัดเจนก็ตาม แต่เราให้ความสำคัญต่อที่มาโดยนึกว่าพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น และที่จริงก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรหนักหนาที่จะยอมกันบ้างไม่ได้ ปัญหาใหญ่ที่น่ามองในปัจจุบันนี้อาตมาว่าเราคงต้องพัฒนาตรงนี้ พัฒนาจิตสำนึกความคิดว่าทำอย่างไร แต่อย่าลืมว่าสถานการณ์ไม่ปกติ สถานการณ์เราไม่ใช่สถานการณ์เดิม คนของเราเติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนอยู่ท่ามกลางบุพการี เด็กเติบโตมาท่ามกลางบุพการี แต่ปัจจุบันเด็กเติบโตมาท่ามกลางกลุ่มผลประโยชน์ มีวิดีโอมีเกมส์กด มีการ์ตูน มีอะไรต่ออะไรมันเรื่องกลุ่มผลประโยชน์ทั้งนั้น แต่ภาพเหล่านั้นโดยรวมแล้วท่านจะเห็นว่ามันยั่วให้อยากเป็นภาพที่ยั่วให้อยาก สังคมไทยที่จริงสังคมโลกเป็นสังคมที่ถูกยั่วให้อยากแล้ว ทำให้คนเราอยู่อย่างอยากลักษณะอารมณ์ที่มีการปรุงแต่งผ่านมาทางสื่อทั้งหลายแล้วสื่ออันมากที่เราคบไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อดาวเทียมที่ผ่านทางดาวเทียมผ่านทางวิดีโอ ผ่านทางแผ่นดิสต์ แล้วเมื่อคืนนี้ไปดูรายการที่ว่าคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้สามารถตัดหัวคนนั้นเอาตัวในคนนี้ยุ่งตายเลย นี่คืออันตราย อาตมาว่าเวลานี้มันอาจจะกลายเป็นเครื่องมือในการทำลายพระก็ได้นะตัดหัวพระไปใส่ภาพใครไม่รู้เราก็คงยุ่งวุ่นกันตายเลย นี้คือเรื่องที่กำลังเป็นอันตรายแล้วปรากฎว่าทางราชการเอง ก็เข้าไปควบคุมไม่ถึง ถึงจะมีกฎหมายจริง ๆ ก็คุมไม่ได้ เมื่อคุมไม่ได้ทำอย่างไรละ มันก็ต้องอยู่ที่เราฝึกภูมิจิตของเราให้แข็งภูมิจิตของคนเราให้แข็งพร้อมที่จะอยู่ในสถานการณ์ปกติ สถานการณ์ปกติไม่ค่อยแปลก แต่อย่าลืมว่าลักษณะทางอารมณ์ที่ยั่วยวน ยั่วยวนนี่จะแรงมาก เพราะอยู่ในยุคที่ต่อสู้กันทางข้อมูล ข่าวสาร และข้อมูลข่าวสารนั้นจะมีกลุ่มธุรกิจอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น ถ้าเราลองฟังวิทยุ หรือโทรทัศน์ก็ดี ลองหมุนดูลองเช็คดูเราได้อะไรบ้าง เราจะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ คนที่เข้ามาอยู่ในตรงนี้หรือแสดงความคิดเห็นนั้นไม่ค่อยจะมีข้อมูล
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีที่ 13 ฉบับที่ 7 / กรกฎาคม 2539--