แท็ก
รัฐวิสาหกิจ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายวิรัตน์ วัฒนศิริธรรม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ณ ห้องประชุม เดช สนิทวงศ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า เหตุที่ต้องมีการเร่งรีบในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากประเทศไทยมีปัญหาเรื่องหนี้เพิ่มมากขึ้นจำนวนมาก อันมีสาเหตุมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทลอยตัว ซึ่งทำให้เรามีภาระหนักในการชำระหนี้คืน รวมทั้งข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ ทำให้เราไม่สามารถเพิ่มเงินลงทุนได้ทั้งในส่วนของรัฐบาลและส่วนของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่เงินทุนส่วนใหญ่มาจากเงินกู้ ดังนั้น การที่จะเพิ่มทุนเข้ามาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการทำงานของรัฐวิสาหกิจและของประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาชดเชยส่วนนี้ในลักษณะการขายหุ้นหรือแปรสภาพให้เอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
เลขาธิการ สศช.กล่าวต่อไปว่า ในหนังสือแสดงเจตจำนงต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศนั้นไม่ได้มีข้อกำหนดใดที่เจาะจงว่าจะต้องขายกิจการให้ต่างชาติ เพียงแต่เป็นที่ทราบกันว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติเท่านั้นที่ต้องการเข้ามาร่วมลงทุน เช่น ในกรณีสายการบินต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นควรให้โอกาสคนไทยก่อน แต่โดยภาพรวมก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์นั้นเงินออมในระบบมีเพียงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ ซึ่งนับว่าสูงมาก แต่การลงทุนของเรามีถึงร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาตินั้น แสดงให้เห็นว่าเงินออมเราไม่พอต่อการลงทุนหรือการลงทุนมีมากกว่าการออมเราจึงไม่สามารถหาเงินจากส่วนในประเทศมาลงทุนได้ต้องพึ่งเงินออมต่างประเทศ
สำหรับเรื่องรายได้ที่ได้จากการแปรรูป หรือการขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจนั้น รัฐต้องรับผิดชอบในกองทุนฟื้นฟูอยู่แล้ว โดยต่อไปจะมีการออกพันธบัตรและนำเงินมาชดใช้ภาคการเงิน และมีการตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกระทรวงการคลังสำหรับเตรียมที่จะหาเงินไปใช้เงินกู้ ซึ่งจะออกเป็นพันธบัตรทั้งหมดประมาณ 500,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจาก 90% ของกำไรของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอย่างน้อย และอีกส่วนหนึ่งมาจากรายได้ของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น การแปรรูปของรัฐวิสาหกิจนั้น ในส่วนที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ก็จะเข้ากองทุนนี้ไป ส่วนของหุ้นหรือทรัพย์สินที่เป็นของรัฐวิสาหกิจเอง รายได้ก็จะกลับไปที่รัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ดังนั้นจะทำให้รัฐวิสาหกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อกำไรเพิ่มขึ้นกระทรวงการคลังก็จะขอเงินนำส่งรัฐในอัตราที่กระทรวงการคลังจะกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเพราะคณะรัฐมนตรีกำลังจะออกพระราชกำหนดเรื่องการออกพันธบัตรเงินกู้ และการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อจะรองรับรายได้ต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อจะไปนำชดใช้หนี้ต่อไป
เลขาธิการ สศช.ยังได้ให้ความเห็นถึงเรื่องความจำเป็นของการขายรัฐวิสาหกิจด้วยว่า ไม่จำเป็นต้องขายรัฐวิสาหกิจทั้งหมด แต่หากจะลงทุนเพิ่มก็ต้องขายหุ้นออกไป เพื่อนำเงินนี้ไปเพิ่ม Retain Income และก็นำมาลงทุนต่อ นี่คือการมองในแง่ของตัวรัฐวิสาหกิจ หากมองภาพรวมของประเทศ ขณะนี้เราถูกจำกัดในด้านรายได้ที่จะหามาฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยหลังเกิดวิกฤต ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ภาค ได้แก่ 1) ภาคการส่งออก โดยหวังว่าการที่เงินบาทลดค่าลงไป เราจะส่งออกได้มากขึ้น และมีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น 2) เรื่องการท่องเที่ยว จะมีรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถแปลงมูลค่าเป็นเงินไทยแล้วจะได้มูลค่ามากขึ้น และ 3) การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การขายหุ้น และการหาผู้ร่วมลงทุน ซึ่งถือเป็นการนำเงินเข้ามาลงทุน ดังนั้นโดยภาพรวมเรามีความจำเป็นที่จะต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ในท้ายที่สุด เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า สำนักงานฯ มีหน้าที่ที่จะต้องสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาถึงความจำเป็น ความเร่งด่วนและความพร้อมของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ด้วย
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีที่ 15 ฉบับที่ 6/มิถุนายน 2541--
เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า เหตุที่ต้องมีการเร่งรีบในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากประเทศไทยมีปัญหาเรื่องหนี้เพิ่มมากขึ้นจำนวนมาก อันมีสาเหตุมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทลอยตัว ซึ่งทำให้เรามีภาระหนักในการชำระหนี้คืน รวมทั้งข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ ทำให้เราไม่สามารถเพิ่มเงินลงทุนได้ทั้งในส่วนของรัฐบาลและส่วนของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่เงินทุนส่วนใหญ่มาจากเงินกู้ ดังนั้น การที่จะเพิ่มทุนเข้ามาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการทำงานของรัฐวิสาหกิจและของประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาชดเชยส่วนนี้ในลักษณะการขายหุ้นหรือแปรสภาพให้เอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
เลขาธิการ สศช.กล่าวต่อไปว่า ในหนังสือแสดงเจตจำนงต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศนั้นไม่ได้มีข้อกำหนดใดที่เจาะจงว่าจะต้องขายกิจการให้ต่างชาติ เพียงแต่เป็นที่ทราบกันว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติเท่านั้นที่ต้องการเข้ามาร่วมลงทุน เช่น ในกรณีสายการบินต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นควรให้โอกาสคนไทยก่อน แต่โดยภาพรวมก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์นั้นเงินออมในระบบมีเพียงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ ซึ่งนับว่าสูงมาก แต่การลงทุนของเรามีถึงร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาตินั้น แสดงให้เห็นว่าเงินออมเราไม่พอต่อการลงทุนหรือการลงทุนมีมากกว่าการออมเราจึงไม่สามารถหาเงินจากส่วนในประเทศมาลงทุนได้ต้องพึ่งเงินออมต่างประเทศ
สำหรับเรื่องรายได้ที่ได้จากการแปรรูป หรือการขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจนั้น รัฐต้องรับผิดชอบในกองทุนฟื้นฟูอยู่แล้ว โดยต่อไปจะมีการออกพันธบัตรและนำเงินมาชดใช้ภาคการเงิน และมีการตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกระทรวงการคลังสำหรับเตรียมที่จะหาเงินไปใช้เงินกู้ ซึ่งจะออกเป็นพันธบัตรทั้งหมดประมาณ 500,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจาก 90% ของกำไรของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอย่างน้อย และอีกส่วนหนึ่งมาจากรายได้ของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น การแปรรูปของรัฐวิสาหกิจนั้น ในส่วนที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ก็จะเข้ากองทุนนี้ไป ส่วนของหุ้นหรือทรัพย์สินที่เป็นของรัฐวิสาหกิจเอง รายได้ก็จะกลับไปที่รัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ดังนั้นจะทำให้รัฐวิสาหกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อกำไรเพิ่มขึ้นกระทรวงการคลังก็จะขอเงินนำส่งรัฐในอัตราที่กระทรวงการคลังจะกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเพราะคณะรัฐมนตรีกำลังจะออกพระราชกำหนดเรื่องการออกพันธบัตรเงินกู้ และการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อจะรองรับรายได้ต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อจะไปนำชดใช้หนี้ต่อไป
เลขาธิการ สศช.ยังได้ให้ความเห็นถึงเรื่องความจำเป็นของการขายรัฐวิสาหกิจด้วยว่า ไม่จำเป็นต้องขายรัฐวิสาหกิจทั้งหมด แต่หากจะลงทุนเพิ่มก็ต้องขายหุ้นออกไป เพื่อนำเงินนี้ไปเพิ่ม Retain Income และก็นำมาลงทุนต่อ นี่คือการมองในแง่ของตัวรัฐวิสาหกิจ หากมองภาพรวมของประเทศ ขณะนี้เราถูกจำกัดในด้านรายได้ที่จะหามาฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยหลังเกิดวิกฤต ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ภาค ได้แก่ 1) ภาคการส่งออก โดยหวังว่าการที่เงินบาทลดค่าลงไป เราจะส่งออกได้มากขึ้น และมีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น 2) เรื่องการท่องเที่ยว จะมีรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถแปลงมูลค่าเป็นเงินไทยแล้วจะได้มูลค่ามากขึ้น และ 3) การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การขายหุ้น และการหาผู้ร่วมลงทุน ซึ่งถือเป็นการนำเงินเข้ามาลงทุน ดังนั้นโดยภาพรวมเรามีความจำเป็นที่จะต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ในท้ายที่สุด เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า สำนักงานฯ มีหน้าที่ที่จะต้องสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาถึงความจำเป็น ความเร่งด่วนและความพร้อมของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ด้วย
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีที่ 15 ฉบับที่ 6/มิถุนายน 2541--