เมื่อเร็ว ๆ นี้ นาย Atsuhiko Yatabe ผู้ช่วยพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น ได้นำคณะผู้แทนระดับสูงจากญี่ปุ่นมาเยือนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ(สศช.)ในโอกาสมาเยือนประเทศไทย เพื่อหารือกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องของไทยในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และวิชาการ เพื่อนำข้อมูลที่ได้รับไปกำหนดนโยบายพื้นฐาน เกี่ยวกับความช่วยเหลือของญี่ปุ่นต่อประเทศไทย
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ และได้ให้ความช่วยเหลือในรูปเงินกู้และความร่วมมือทางวิชาการจนในปี 2537 ได้ยุติการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในลักษณะสิ่งก่อสร้าง และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เนื่องจากเห็นว่าไทยมีระดับการพัฒนาสูงขึ้น ทั้งนี้มูลค่าความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นได้ลดลงจากเฉลี่ยปีละ 123.78 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงแผนฯ 6เหลือเพียงเฉลี่ยปีละ58.3ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 3 ปีแรกของแผนฯ 7 แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลญี่ปุ่นยังเป็นผู้ให้ความร่วมมือทางวิชาการรายใหญ่ที่สุดของไทยกล่าวคือคิดเป็นร้อยละ37.9 ของความช่วยเหลือทั้งหมด ทั้งนี้ ในปี 2538/2539 คาดว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่ประเทศไทยรวมมูลค่าประมาณ 56 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยไม่จำกัดสาขาการพัฒนาที่จะให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ดีเพื่อให้สอดคล้องกับความช่วยเหลือของทางการญี่ปุ่น การช่วยเหลือส่วนใหญ่จะเป็นสาขาการพัฒนาที่สำคัญ4 ด้าน คือ สาขาการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาขาการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสาขาการพัฒนาชนบทและการพัฒนาภูมิภาค
นอกจากนี เพื่อเป็นการร่วมฉลองเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปี รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญอย่างสูงต่อโครงการพระราชดำริ เพื่อป้องกันน้ำท่วม โดยจะให้ความช่วยเหลือแก่โครงการนี้ในปี 2539 ด้วย
เลขาธิการฯ ได้กล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจากความร่วมมือในระดับทวิภาคี แล้ว รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นยังมีความร่วมมือแบบหุ้นส่วน (Partnership Programme) ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ซึ่งดำเนินการอยู่ 2 รูปแบบ คือ ความร่วมมือในโครงการฝึกอบรมประเทศที่สาม (Third Country Training Programme) โดยรัฐบาลญี่ปุ่นให้ทุนแก่ประเทศพัฒนาอื่น ๆ เพื่อส่งเจ้าหน้าที่มาฝึกอบรมในประเทศไทย และความร่วมมือในการส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปช่วยเหลือประเทศที่สาม (Third Country Expert Programme) ที่ญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการอยู่หรือมีผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นปฏิบัติงานอยู่ก่อนแล้ว เพื่อส่งเสริมการให้ความร่วมมือทางวิชาการของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
เลขาธิการฯ ได้กล่าวด้วยว่า เงินกู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นโดยผ่านทาง OECF เป็นจำนวนทั้งสิ้น 7,865.57 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยให้ความสำคัญอย่างสูง ต่อการพัฒนาคมนาคมขนส่ง พลังงานและด้านการเกษตรชลประทาน ทั้งนี้ OECF นับเป็นแหล่งเงินกู้ทวิภาคีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเงื่อนไขผูกมัดให้ซื้อสินค้าและบริการจากประเทศผู้ให้กู้
สำหรับการมาเยือน สำนักงานฯ ของคณะผู้แทนระดับสูงของญีปุ่นครั้งนี้ ทางเลขาธิการฯ ได้หยิบยกประเด็นที่ว่า ประเทศไทยยังคงต้องการความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะพัฒนาขึ้นเป็นประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศ ที่กำลังพัฒนาอื่นๆ แต่ก็เป็นเพียงการเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในการร่วมพัฒนาประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นประเทศไทยยังต้องการความร่วมมือจากญี่ปุ่นในด้านการวิจัยเชิงนโบาย และการวิจัย เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีอีกมาก สำหรับโครงการที่ญี่ปุ่นและไทยร่วมกันให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านไทยจะขอให้ญี่ปุ่นซื้อเครื่องอุปกรณ์จากไทยเพื่อใช้ในโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ การที่ในช่วงของแผนฯ 8 รัฐบาลไทยมีนโยบายให้ความสำคัญอย่างสูงต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำของรายได้และความเจริญระหว่างเมืองกับชนบท นับว่าเป็นนโยบายที่มีความสอดคล้องกับแนวนโยบายให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตาม การจัดทำโครงการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนฯ 8 ดังกล่าว อาจจะประสบปัญหาในการจัดเตรียมโครงการ และการดำเนินโครงการ ดังนั้นสำนักงานฯ เห็นว่ารัฐบาลญี่ปุ่นควรจะเน้นการให้ความช่วยเหลือในการจัดเตรียมโครงการในสาขาดังกล่าวด้วยทั้งในส่วนของขั้นการศึกษาความเป็นไปได้ขั้นการจัดเตรียมโครงการและขั้นการดำเนินโครงการ
ดร.สุเมธตันติเวชกุลได้กล่าวในตอนท้ายว่า ในโอกาสนี้ คณะผู้แทนระดับสูงจากประเทศญี่ปุ่นดังกล่าวได้แสดงความสนใจในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย เพื่อที่จะช่วยเสริมกำลังความสามารถของไทยในการให้ความช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาอื่นๆด้วย โดยเฉพาะในโครงการความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีที่ 13 ฉบับที่ 3 / มีนาคม 2539--
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ และได้ให้ความช่วยเหลือในรูปเงินกู้และความร่วมมือทางวิชาการจนในปี 2537 ได้ยุติการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในลักษณะสิ่งก่อสร้าง และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เนื่องจากเห็นว่าไทยมีระดับการพัฒนาสูงขึ้น ทั้งนี้มูลค่าความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นได้ลดลงจากเฉลี่ยปีละ 123.78 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงแผนฯ 6เหลือเพียงเฉลี่ยปีละ58.3ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 3 ปีแรกของแผนฯ 7 แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลญี่ปุ่นยังเป็นผู้ให้ความร่วมมือทางวิชาการรายใหญ่ที่สุดของไทยกล่าวคือคิดเป็นร้อยละ37.9 ของความช่วยเหลือทั้งหมด ทั้งนี้ ในปี 2538/2539 คาดว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่ประเทศไทยรวมมูลค่าประมาณ 56 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยไม่จำกัดสาขาการพัฒนาที่จะให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ดีเพื่อให้สอดคล้องกับความช่วยเหลือของทางการญี่ปุ่น การช่วยเหลือส่วนใหญ่จะเป็นสาขาการพัฒนาที่สำคัญ4 ด้าน คือ สาขาการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาขาการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสาขาการพัฒนาชนบทและการพัฒนาภูมิภาค
นอกจากนี เพื่อเป็นการร่วมฉลองเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปี รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญอย่างสูงต่อโครงการพระราชดำริ เพื่อป้องกันน้ำท่วม โดยจะให้ความช่วยเหลือแก่โครงการนี้ในปี 2539 ด้วย
เลขาธิการฯ ได้กล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจากความร่วมมือในระดับทวิภาคี แล้ว รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นยังมีความร่วมมือแบบหุ้นส่วน (Partnership Programme) ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ซึ่งดำเนินการอยู่ 2 รูปแบบ คือ ความร่วมมือในโครงการฝึกอบรมประเทศที่สาม (Third Country Training Programme) โดยรัฐบาลญี่ปุ่นให้ทุนแก่ประเทศพัฒนาอื่น ๆ เพื่อส่งเจ้าหน้าที่มาฝึกอบรมในประเทศไทย และความร่วมมือในการส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปช่วยเหลือประเทศที่สาม (Third Country Expert Programme) ที่ญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการอยู่หรือมีผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นปฏิบัติงานอยู่ก่อนแล้ว เพื่อส่งเสริมการให้ความร่วมมือทางวิชาการของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
เลขาธิการฯ ได้กล่าวด้วยว่า เงินกู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นโดยผ่านทาง OECF เป็นจำนวนทั้งสิ้น 7,865.57 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยให้ความสำคัญอย่างสูง ต่อการพัฒนาคมนาคมขนส่ง พลังงานและด้านการเกษตรชลประทาน ทั้งนี้ OECF นับเป็นแหล่งเงินกู้ทวิภาคีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเงื่อนไขผูกมัดให้ซื้อสินค้าและบริการจากประเทศผู้ให้กู้
สำหรับการมาเยือน สำนักงานฯ ของคณะผู้แทนระดับสูงของญีปุ่นครั้งนี้ ทางเลขาธิการฯ ได้หยิบยกประเด็นที่ว่า ประเทศไทยยังคงต้องการความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะพัฒนาขึ้นเป็นประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศ ที่กำลังพัฒนาอื่นๆ แต่ก็เป็นเพียงการเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในการร่วมพัฒนาประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นประเทศไทยยังต้องการความร่วมมือจากญี่ปุ่นในด้านการวิจัยเชิงนโบาย และการวิจัย เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีอีกมาก สำหรับโครงการที่ญี่ปุ่นและไทยร่วมกันให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านไทยจะขอให้ญี่ปุ่นซื้อเครื่องอุปกรณ์จากไทยเพื่อใช้ในโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ การที่ในช่วงของแผนฯ 8 รัฐบาลไทยมีนโยบายให้ความสำคัญอย่างสูงต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำของรายได้และความเจริญระหว่างเมืองกับชนบท นับว่าเป็นนโยบายที่มีความสอดคล้องกับแนวนโยบายให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตาม การจัดทำโครงการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนฯ 8 ดังกล่าว อาจจะประสบปัญหาในการจัดเตรียมโครงการ และการดำเนินโครงการ ดังนั้นสำนักงานฯ เห็นว่ารัฐบาลญี่ปุ่นควรจะเน้นการให้ความช่วยเหลือในการจัดเตรียมโครงการในสาขาดังกล่าวด้วยทั้งในส่วนของขั้นการศึกษาความเป็นไปได้ขั้นการจัดเตรียมโครงการและขั้นการดำเนินโครงการ
ดร.สุเมธตันติเวชกุลได้กล่าวในตอนท้ายว่า ในโอกาสนี้ คณะผู้แทนระดับสูงจากประเทศญี่ปุ่นดังกล่าวได้แสดงความสนใจในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย เพื่อที่จะช่วยเสริมกำลังความสามารถของไทยในการให้ความช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาอื่นๆด้วย โดยเฉพาะในโครงการความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีที่ 13 ฉบับที่ 3 / มีนาคม 2539--