นายวิรัตน์ วัฒนศิริธรรม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ นายเติมศักดิ์ จารุปราณ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2540 เพื่อออกอากาศใน
รายการ "ข่าวยามเช้า" กระจายเสียงทั่วประเทศทางสถานีวิทยุ NEWS AND TALK FM.
เติมศักดิ์ : สวัสดีครับท่านเลขาฯ
เลขาธิการฯ : สวัสดีครับคุณเติมศักดิ์
เติมศักดิ์ : จากสถานการณ์เศรษฐกิจตั้งแต่ได้มีการประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตรแลกเปลี่ยน
เงินตรามาเป็นระบบค่าเงินบาทลอยตัว ไม่ทราบว่าแผนฯ 8 มีจุดอ่อนตรงไหนที่ต้อง
ดำเนินการปรับหรือไม่
เลขาธิการฯ : ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่ให้โอกาสได้มาชี้แจงเรื่องนี้ และคงจะต้องเรียนไว้ตรงนี้
ว่าไม่ได้มาแก้ตัวหรืออะไร แต่ที่จริง ๆ แล้วต้องการจะเรียนให้ทราบให้เป็นที่เข้า
ใจทั่วกัน คืออยากจะเรียนอย่างนี้ว่า ขั้นตอนของการวางแผนฯ 8 นั้นเรามีกระบวน
การขั้นตอนการวางแผนฯ 8 มาเป็นระยะเวลาอันยาวนานโดยเฉพาะ ไม่ใช่แผน
ของสภาพัฒน์คนเดียวแต่เป็นแผนของประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายใน
สังคมที่ได้ร่วมกันทำ สภาพัฒน์คงเป็นเพียงผู้ประสานงานและประมวล เพื่อให้เกิด
แผนฯ 8 ออกมาเท่านั้น
โดยขั้นตอนการจัดทำแผน ทุกปีเราจะมีการติดตามประเมินผลแผนออกมาว่าเป้า
หมายต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างไรและโดยขั้นตอนจริง ๆ
ที่เคยปฏิบัติกันมา เมื่อถึงครึ่งแผนก็จะมีการประมวล ประเมิน ติดตามผล และปรับ
แผนถ้ามีความจำเป็น ซึ่งแต่ละปีสภาพัฒน์ก็ได้ร่วมกับสำนักงบประมาณ กระทรวงการ
คลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ทบทวนเป้าหมายทางเศรษฐกิจทุกปี โดยใช้พื้นฐาน
การประมาณการทางด้านรายได้เพื่อวางกรอบทางด้านงบประมาณ ซึ่งนี่เป็นขั้นตอน
ปกติ
เติมศักดิ์ : การกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจว่าจะเติบโตเท่าไหร่เป็นเรื่องที่หลายคนสับสน
ไม่ชัดเจน ภายใต้ภาวะเช่นนี้ การกำหนดเป้าหมายเป็นเรื่องยากหรือไม่
เลขาธิการฯ : ที่พูดกันมากคือเรื่องเป้าหมายที่เราวางไว้ในแผนฯ 8 นั้น ดูจะสูงเกินไปทำให้
เกิดความคาดหวังกันและในท้ายที่สุดเมื่อสภาวะเศรษฐกิจจริง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็น
ไปตามนั้น ซึ่งผมอยากจะเรียนตรงนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า ก่อนที่เราจะทำ
แผนฯ 8 นั้น เศรษฐกิจเจริญเติบโตมากในระดับที่บางปีสูงถึง 10% 8% 9% ซึ่งเรา
คือผู้ที่ทำแผนทั้งหมดก็ทราบดี และเห็นว่าการเจริญเติบโตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็น
เศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างไม่ยั่งยืน หมายความว่า เศรษฐกิจของเราพึ่งพิง
เศรษฐกิจโลกอยู่มากและการพัฒนาก็ใช้การพัฒนาโดยใช้ความได้เปรียบด้านแรงงาน
ราคาถูก และทรัพยากรธรรมชาติที่มีมากกว่าคนอื่น เราไม่ได้ดูแลด้านสิ่งแวดล้อม
เราไม่ได้ดูแลด้านคุณภาพชีวิต จึงนับว่าเราเติบโตแบบขาดเสถียรภาพ คือดุลบัญชี
เดินสะพัดมาก เงินเฟ้อ มีช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน ความไม่สมดุลระหว่าง
เกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของเราก็ไม่เข้มแข็ง การบริการของเราได้เปรียบ
เฉพาะด้านการท่องเที่ยว
ต่อมาความได้เปรียบนั้นก็เริ่มลดน้อยลง เพราะคนไทยเราไปเที่ยวต่างประเทศ
กันมาก โดยเฉพาะทางด้านบริการธนาคารและสถาบันการเงิน เราได้พูดกันชัดเจน
ว่าเป็นเรื่องที่มีความอ่อนแอกันอยู่ ขาดประสิทธิภาพ เมื่อเราเปิดประเทศเสรีเช่นนี้
น่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องดูแลและปรับปรุงนี่คือเบื้องหลัง ซึ่งตอนที่เราทำแผนฯ 8 นั้น
ก็ไม่ใช่ว่าเราฝันหวานเห็นดีเห็นงามหรือชอบในอัตราการเจริญเติบโต ซึ่งแนวคิดใน
การทำแผนที่ผ่านมานั้น เราไปเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยลืมเรื่องอื่น ๆ
แต่จุดเด่นของแผนฯ 8 ที่เราทำกันมานอกจากให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและ
การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งของการพัฒนาคน และจุดเด่น
ของแผนฯ 8 อีกอันหนึ่งคือเราอยากจะให้ทุกหน่วยทำแผนปฏิบัติ ผมเรียนย้ำตรงนี้ว่า
แผนฯ 8 เป็นแผนชี้นำกว้าง ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นหน่วยปฏิบัติไม่ว่ากระทรวงหรือ
รัฐวิสาหกิจ จะต้องไปจัดทำแผนปฏิบัติให้เป็นไปตามนี้ ซึ่งขณะนี้เป็นปีแรกที่แต่ละ
หน่วยกำลังจัดทำอยู่ ซึ่งเราเน้นว่าการทำงานหรือการทำแผนปฏิบัติจะต้องเป็นบูรณา
การ เป็นองค์รวม ไม่อยากให้ต่างคนต่างทำ
ในเรื่องแผนปฏิบัติ รัฐวิสาหกิจจะต้องทำแผนแม่บทแผนปฏิบัติให้สอดคล้องสนับสนุน
แผนฯ 8 เพราะในแผนฯ 8 มียุทธศาสตร์ที่สำคัญ 7 ยุทธศาสตร์ สิ่งที่สำคัญที่เราพูด
กันอยู่คือยุทธศาสตร์ว่าด้วยสมรรถนะในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ
เติมศักดิ์ : เมื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF เข้ามาจะไปส่งผลกระทบกับกรอบ
อะไรที่วางไว้หรือไม่
เลขาธิการฯ : เมื่อ IMF เข้ามาดู ซึ่งเราจะต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจชะลอตัวไปมากกว่าที่เรา
คาดการณ์ เนื่องจากเรามีการส่งออกได้ลดน้อยลง เรามีปัญหาเรื่องสภาพคล่องใน
ประเทศ เนื่องจากที่เราขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเราใช้เงินต่างประเทศปีหนึ่ง 3 - 4
แสนล้าน และไปลงทุนในบางเรื่องซึ่งบาง Secter มีผลต่อ Plan น้อย หรือมี
ปริมาณมากกว่าความต้องการ
เติมศักดิ์ : ตามเงื่อนไขหลัก ๆ ของ IMF คือการคุมเข้มงบประมาณ ท่านเลขาฯ หนักใจ
หรือไม่ ที่ต้องไปพิจารณาตัดงบโครงการต่าง ๆ
เลขาธิการฯ : ขอบคุณที่ถามตรงนี้ ซึ่งอยากจะเรียนตรงนี้ว่า การที่ IMF ได้ประมาณการ
เศรษฐกิจไว้ว่า เงินเฟ้อในปีแรก ๆ อย่าให้เกิน 7-8% และให้เข้ากลับเป็น 4-5%
ซึ่งในแผนเราได้ให้ไว้ 4.5% แต่ลดบัญชีเดินสะพัดในปีนี้เหลือ 5% ปีหน้าเหลือ 3%
และเข้าสู่ระดับปกติคือ 3 หรือ 4% ซึ่งในแผนฯ 8 กำหนดไว้คือ 3.4% ในปีสุดท้าย
อัตราการขยายตัว IMF บอกว่าปีนี้แย่แล้ว ซึ่งอัตราลงไปมากคือ 2-4% ควรให้ปรับ
อยู่ในอัตราปกติคือในปีนี้อาจจะ 2% กว่า ๆ และปีต่อไปเป็น 4% เป็น 6% หรือ 7%
แต่คงไม่ถึง 8% อย่างที่เราพูดไว้ ซึ่งอันนี้คงเป็นเป้าหมายตามที่เรากำหนดไว้ใน
แผนฯ คือ 7% หรือ 8% ซึ่งคงจะต้องปรับเปลี่ยนกันและก็คงจะต้องยอมรับคำแนะนำ
จากหลายฝ่าย และเราก็จะต้องรีบปรับแทนที่จะรอจนกว่าถึงครึ่งแผนฯ
แต่จุดมุ่งหมายตามที่คุณเติมศักดิ์พูดคือ ตรงนี้ถ้าเราปรับเป้าหมายแล้วจะนำไปสู่ที่
ว่าเราจะไปควบคุมการลงทุน ซึ่งในประเทศไทยได้แยกการลงทุนเป็นภาครัฐ รัฐ
วิสาหกิจ และเอกชน ซึ่งผมคงไม่หนักใจในเรื่องการวางกรอบว่ารัฐควรจะลงทุนใน
ปีหนึ่งเท่าไหร่ เพื่อจะควบคุมในสิ่งที่มีผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด และอัตรการ
เจริญเติบโตรัฐวิสาหกิจก็เช่นเดียวกัน
ประเด็นในเรื่องภาคเอกชน ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจขาลงก็ควรจะไม่ยาก แต่ในเมื่อ
เศรษฐกิจเจริญเติบโตยากที่จะไปห้าม ยิ่งเป็นในระบบเสรีไปควบคุมยาก ว่าคุณอย่า
ไปลงทุนตรงนี้ตรงนั้น
เติมศักดิ์ : ดังนั้น เราควรมีการเสนอว่าต่อไปนี้รัฐจะลงทุนอะไรจะต้องเสนองบต่อสภาพัฒน์
เสียก่อน
เลขาธิการฯ : นั่นเป็นสิ่งปกติอยู่แล้ว และอยากจะกราบเรียนอีกต่อไปว่า เรื่องการแสดงทุนของ
ภาครัฐ ถ้าว่าตามปกติแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าห่วง เพราะการลงทุนของภาครัฐ เมื่อ
เปรียบเทียบกับทั้งประเทศนั้นมีเพียง 20% เช่นเดียวกับที่เราเป็นหนี้กับต่างประเทศ
มากมายประมาณ 8-9 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นของรัฐบาลเพียง 20% ประเด็นอยู่ที่
ว่า แม้ว่าการลงทุนจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลงทุนทั้งหมด เราจะดู เราจะกลั่น
กรองโครงการเศรษฐกิจอย่างไรที่จะให้เกิดผลต่อการเจริญเติบโตในขณะที่มันชะลอ
ตัวลง และทำอย่างไรที่จะให้การลงทุนเหล่านั้นไม่ไปมีผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด
มากนัก นั่นก็หมายความว่า อะไรก็ตามถ้าเป็นการลงทุนที่จะใช้เงินตราต่างประเทศ
ดังกล่าว การนำเข้าควรจะให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เติมศักดิ์ : แต่บางคนเขากลัวว่าหากไปปรับเปลี่ยนอะไรตรงนั้นจะมีผลต่อการดำเนินงานของ
รัฐวิสาหกิจล่าช้าออกไป อาจจะมีข้อซับซ้อนยิ่งขึ้น และขาดการเป็นอิสระ
เลขาธิการฯ : ตรงนี้ต้องขอกราบเรียนว่า เมื่อวานผมรายงานคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจว่า รัฐ
วิสาหกิจตั้งงบลงทุน 1 ปีประมาณ 9 แสนกว่าล้านเท่า ๆ กับงบประมาณของรัฐบาล
แต่ขีดความสามารถการดำเนินงาน มีเพียงประมาณ 60% เท่านั้นและเบิกจ่ายกันได้
จริง ๆ 40% ซึ่งผมพูดเฉลี่ย บางรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพมากสามารถเบิกจ่ายได้
80% แต่โดยเฉลี่ยโดยรวมของรัฐวิสาหกิจแล้ว 9 แสนกว่าล้านนั้น ใช้จ่ายไม่ถึงซึ่ง
ปัญหาคือว่าจะทำอย่างไรที่จะจัดความสำคัญก่อนหลังของการลงทุนให้ดีที่สุดเช่นเดียว
กันกับรัฐบาลเราถกเถียงว่างบไม่พอ แต่ขั้นตอนการดำเนินการหรือประสิทธิภาพใน
การบริหารงานนั้น เบิกจ่ายหนี้ไม่เคยหมด เป็นอยู่แค่ 70-80% ประเด็นอยู่ที่ว่าที่
เบิกจ่ายไปลงทุนขอให้มีประสิทธิภาพ อย่าใช้ในลักษณะฟุ่มเฟือย ต้นทุนต่าง ๆ ลดลง
ไปอีกหน่อยได้หรือไม่
เติมศักดิ์ : ซึ่งเรียกว่าจะมีการคุมเข้มรัฐวิสาหกิจกันมากขึ้นอีกใช่ไหม
เลขาธิการฯ : เราก็คุมเข้มกันทุกที และก็ได้รับความร่วมมือกับทุกฝ่ายและคนคุมเข้มกับคนใช้เข้ม
ก็ต้องช่วยกัน
เติมศักดิ์ : ที่ผ่านมา เงินที่ส่งให้รัฐนั้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ ตามที่กำหนดไว้ เพราะได้
ข่าวว่ามีการหมกเม็ดกันบ้าง และจะแก้ไขได้อย่างไร
เลขาธิการฯ : เราจะต้องดูแต่ละรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังต้องตรวจสอบถ้า
ความสามารถในการส่งรายได้ให้รัฐ ให้กระทรวงการคลังนั้นกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์
แล้ว กระทรวงการคลังพอใจก็จะทำตามนั้น แต่ถ้าเผื่อว่าไปเร่งรัดให้ส่งมากขึ้นก็จะ
ต้องไปดูขีดความสามารถของเขา โดยเฉพาะปีนี้รัฐวิสาหกิจก็ถูกกระทบมาก โดย
หลักบัญชี ถ้ามีหนี้โดยเฉพาะหนี้ต่างประเทศอยู่เมื่อตีค่าเป็นบาท ก็จะขาดทุนมาก จึง
เป็นหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจ และกระทรวงการคลังจะต้องดูว่าจะเฉลี่ยผลกระทบตรงนี้
อย่างไร ซึ่งในรูปบัญชีเมื่อคำนวณออกมาดูแล้วจะขาดทุนหรือมีผลกระทบตามมาทันที
เติมศักดิ์ : เรียกว่ารายได้จากรัฐวิสาหกิจนี้ควรจะลดน้อยลงจากคาดการณ์
เลขาธิการฯ : ก็คงจะลดลงจากรูปบัญชี แต่มีหลายรัฐวิสาหกิจถ้าได้เงินตราจากต่างประเทศก็จะ
มีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การบินไทย หรือ รัฐวิสาหกิจบางประเภทที่ขายสินค้าบริการ
บางประเภทที่ขายสินค้าบริการบางประเภทกับต่างประเทศ ซึ่งเมื่อเทียบสัดส่วนก็ยัง
ไม่เท่ากับที่เราขาด
เติมศักดิ์ : ในฐานะที่ท่านเลขาธิการฯ ดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหรือดูหน่วยงาน
ที่จะต้องวางเป้าหมายทางเศรษฐกิจ จะฝากอะไรไว้หรือไม่ ในเรื่องของเศรษฐกิจ
เลขาธิการฯ : ผมอยากจะกราบเรียนอย่างนี้ เราได้หารือกันระดับผู้ใหญ่ของสำนักงานในคณะ
กรรมการบริหารสภาพัฒน์ ซึ่งประกอบด้วยท่านผู้ทรงคุณวุฒิหลาย ๆ ท่าน ให้เราใช้
วิกฤติที่เกิดกับบ้านเรามาสร้างพลังกับคนในชาติ เมื่อเราเศรษฐกิจดีไม่มีปัญหาแผนฯ
8 จะพูดว่าอย่างไรก็ไม่มีคนสนใจ เมื่อจะแปลงแผนสู่การปฏิบัติอย่างไรก็มีคนสนใจ
กันน้อยมากแต่เมื่อเกิดวิกฤติแล้วก็ท่องกันได้ทุกคนว่ามันเป็นอย่างไร วิกฤติอาจสร้าง
พลังให้เราได้ ดังนั้นสิ่งที่เราพูดจึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาปรับปรุงแผนฯ 8 เพียง
อย่างเดียว แต่ที่แน่นอนจะต้องไปควบคุมเรื่องที่จะต้องไปใช้จ่าย ของรัฐวิสาหกิจ
ของรัฐบาล และของประชาชนโดยทั่วไปด้วยเราควรจะต้องปรับปรุงเสถียรภาพด้าน
การเมืองและจะต้องปรับปรุงวัฒนธรรมของคนไทยตามที่พูดไว้ในแผนฯ 8 คือกลับมา
เป็นคนไทยที่มีความอดออม มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีความร่วมมือต่อการสร้างสรรค์
ท่านมหาประยุทธ์ท่านพูดเอาไว้ว่า "สังคมเมืองไทยในปัจจุบันนี้นั้นเหมือนไก่ในเข่ง
รังแต่จิกตีกันรอวันเขาเอาไปฆ่า" ฉะนั้นผมอยากจะกราบเรียนว่าเราจะมัวแต่จิกตีกัน
ต่อไปไม่ได้แล้ว เราต้องช่วยกัน แน่นอนแผนฯ 8 มีจุดอ่อนอยู่หลายประเด็น ผมก็ได้
ตั้งคณะเจ้าหน้าที่เร่งทำการศึกษาแล้ว และนำเสนอกรรมการบริหารว่าเราจะต้อง
ปรับอะไรบ้าง สิ่งสำคัญก็คืออยากจะขอความร่วมมือกับหน่วยราชการโดยเฉพาะทาง
ด้านเอกชนที่จะต้องลงทุนและจะต้องผ่านสถาบันการเงิน ธนาคารต่าง ๆ และ BOI
ด้วย ซึ่งในอนาคตเราจะต้องช่วยกันดูแลว่าประเทศชาติเรานั้น ต้องการความเจริญ
เติบโตที่มีเสถียรภาพ สร้างการแข่งขันเพื่อสู้กับนานาชาติได้และท้ายที่สุดก็คือแนวคิด
ที่เราจะพัฒนาคนนั้นเป็นของที่ทันสมัยเสมอเพียงแต่ว่าขอให้ทำกันอย่างจริงจังเท่านั้น
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ ปีที่ 14 ฉบับที่ 8/สิงหาคม 2540--
ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ นายเติมศักดิ์ จารุปราณ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2540 เพื่อออกอากาศใน
รายการ "ข่าวยามเช้า" กระจายเสียงทั่วประเทศทางสถานีวิทยุ NEWS AND TALK FM.
เติมศักดิ์ : สวัสดีครับท่านเลขาฯ
เลขาธิการฯ : สวัสดีครับคุณเติมศักดิ์
เติมศักดิ์ : จากสถานการณ์เศรษฐกิจตั้งแต่ได้มีการประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตรแลกเปลี่ยน
เงินตรามาเป็นระบบค่าเงินบาทลอยตัว ไม่ทราบว่าแผนฯ 8 มีจุดอ่อนตรงไหนที่ต้อง
ดำเนินการปรับหรือไม่
เลขาธิการฯ : ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่ให้โอกาสได้มาชี้แจงเรื่องนี้ และคงจะต้องเรียนไว้ตรงนี้
ว่าไม่ได้มาแก้ตัวหรืออะไร แต่ที่จริง ๆ แล้วต้องการจะเรียนให้ทราบให้เป็นที่เข้า
ใจทั่วกัน คืออยากจะเรียนอย่างนี้ว่า ขั้นตอนของการวางแผนฯ 8 นั้นเรามีกระบวน
การขั้นตอนการวางแผนฯ 8 มาเป็นระยะเวลาอันยาวนานโดยเฉพาะ ไม่ใช่แผน
ของสภาพัฒน์คนเดียวแต่เป็นแผนของประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายใน
สังคมที่ได้ร่วมกันทำ สภาพัฒน์คงเป็นเพียงผู้ประสานงานและประมวล เพื่อให้เกิด
แผนฯ 8 ออกมาเท่านั้น
โดยขั้นตอนการจัดทำแผน ทุกปีเราจะมีการติดตามประเมินผลแผนออกมาว่าเป้า
หมายต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างไรและโดยขั้นตอนจริง ๆ
ที่เคยปฏิบัติกันมา เมื่อถึงครึ่งแผนก็จะมีการประมวล ประเมิน ติดตามผล และปรับ
แผนถ้ามีความจำเป็น ซึ่งแต่ละปีสภาพัฒน์ก็ได้ร่วมกับสำนักงบประมาณ กระทรวงการ
คลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ทบทวนเป้าหมายทางเศรษฐกิจทุกปี โดยใช้พื้นฐาน
การประมาณการทางด้านรายได้เพื่อวางกรอบทางด้านงบประมาณ ซึ่งนี่เป็นขั้นตอน
ปกติ
เติมศักดิ์ : การกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจว่าจะเติบโตเท่าไหร่เป็นเรื่องที่หลายคนสับสน
ไม่ชัดเจน ภายใต้ภาวะเช่นนี้ การกำหนดเป้าหมายเป็นเรื่องยากหรือไม่
เลขาธิการฯ : ที่พูดกันมากคือเรื่องเป้าหมายที่เราวางไว้ในแผนฯ 8 นั้น ดูจะสูงเกินไปทำให้
เกิดความคาดหวังกันและในท้ายที่สุดเมื่อสภาวะเศรษฐกิจจริง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็น
ไปตามนั้น ซึ่งผมอยากจะเรียนตรงนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า ก่อนที่เราจะทำ
แผนฯ 8 นั้น เศรษฐกิจเจริญเติบโตมากในระดับที่บางปีสูงถึง 10% 8% 9% ซึ่งเรา
คือผู้ที่ทำแผนทั้งหมดก็ทราบดี และเห็นว่าการเจริญเติบโตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็น
เศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างไม่ยั่งยืน หมายความว่า เศรษฐกิจของเราพึ่งพิง
เศรษฐกิจโลกอยู่มากและการพัฒนาก็ใช้การพัฒนาโดยใช้ความได้เปรียบด้านแรงงาน
ราคาถูก และทรัพยากรธรรมชาติที่มีมากกว่าคนอื่น เราไม่ได้ดูแลด้านสิ่งแวดล้อม
เราไม่ได้ดูแลด้านคุณภาพชีวิต จึงนับว่าเราเติบโตแบบขาดเสถียรภาพ คือดุลบัญชี
เดินสะพัดมาก เงินเฟ้อ มีช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน ความไม่สมดุลระหว่าง
เกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของเราก็ไม่เข้มแข็ง การบริการของเราได้เปรียบ
เฉพาะด้านการท่องเที่ยว
ต่อมาความได้เปรียบนั้นก็เริ่มลดน้อยลง เพราะคนไทยเราไปเที่ยวต่างประเทศ
กันมาก โดยเฉพาะทางด้านบริการธนาคารและสถาบันการเงิน เราได้พูดกันชัดเจน
ว่าเป็นเรื่องที่มีความอ่อนแอกันอยู่ ขาดประสิทธิภาพ เมื่อเราเปิดประเทศเสรีเช่นนี้
น่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องดูแลและปรับปรุงนี่คือเบื้องหลัง ซึ่งตอนที่เราทำแผนฯ 8 นั้น
ก็ไม่ใช่ว่าเราฝันหวานเห็นดีเห็นงามหรือชอบในอัตราการเจริญเติบโต ซึ่งแนวคิดใน
การทำแผนที่ผ่านมานั้น เราไปเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยลืมเรื่องอื่น ๆ
แต่จุดเด่นของแผนฯ 8 ที่เราทำกันมานอกจากให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและ
การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งของการพัฒนาคน และจุดเด่น
ของแผนฯ 8 อีกอันหนึ่งคือเราอยากจะให้ทุกหน่วยทำแผนปฏิบัติ ผมเรียนย้ำตรงนี้ว่า
แผนฯ 8 เป็นแผนชี้นำกว้าง ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นหน่วยปฏิบัติไม่ว่ากระทรวงหรือ
รัฐวิสาหกิจ จะต้องไปจัดทำแผนปฏิบัติให้เป็นไปตามนี้ ซึ่งขณะนี้เป็นปีแรกที่แต่ละ
หน่วยกำลังจัดทำอยู่ ซึ่งเราเน้นว่าการทำงานหรือการทำแผนปฏิบัติจะต้องเป็นบูรณา
การ เป็นองค์รวม ไม่อยากให้ต่างคนต่างทำ
ในเรื่องแผนปฏิบัติ รัฐวิสาหกิจจะต้องทำแผนแม่บทแผนปฏิบัติให้สอดคล้องสนับสนุน
แผนฯ 8 เพราะในแผนฯ 8 มียุทธศาสตร์ที่สำคัญ 7 ยุทธศาสตร์ สิ่งที่สำคัญที่เราพูด
กันอยู่คือยุทธศาสตร์ว่าด้วยสมรรถนะในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ
เติมศักดิ์ : เมื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF เข้ามาจะไปส่งผลกระทบกับกรอบ
อะไรที่วางไว้หรือไม่
เลขาธิการฯ : เมื่อ IMF เข้ามาดู ซึ่งเราจะต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจชะลอตัวไปมากกว่าที่เรา
คาดการณ์ เนื่องจากเรามีการส่งออกได้ลดน้อยลง เรามีปัญหาเรื่องสภาพคล่องใน
ประเทศ เนื่องจากที่เราขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเราใช้เงินต่างประเทศปีหนึ่ง 3 - 4
แสนล้าน และไปลงทุนในบางเรื่องซึ่งบาง Secter มีผลต่อ Plan น้อย หรือมี
ปริมาณมากกว่าความต้องการ
เติมศักดิ์ : ตามเงื่อนไขหลัก ๆ ของ IMF คือการคุมเข้มงบประมาณ ท่านเลขาฯ หนักใจ
หรือไม่ ที่ต้องไปพิจารณาตัดงบโครงการต่าง ๆ
เลขาธิการฯ : ขอบคุณที่ถามตรงนี้ ซึ่งอยากจะเรียนตรงนี้ว่า การที่ IMF ได้ประมาณการ
เศรษฐกิจไว้ว่า เงินเฟ้อในปีแรก ๆ อย่าให้เกิน 7-8% และให้เข้ากลับเป็น 4-5%
ซึ่งในแผนเราได้ให้ไว้ 4.5% แต่ลดบัญชีเดินสะพัดในปีนี้เหลือ 5% ปีหน้าเหลือ 3%
และเข้าสู่ระดับปกติคือ 3 หรือ 4% ซึ่งในแผนฯ 8 กำหนดไว้คือ 3.4% ในปีสุดท้าย
อัตราการขยายตัว IMF บอกว่าปีนี้แย่แล้ว ซึ่งอัตราลงไปมากคือ 2-4% ควรให้ปรับ
อยู่ในอัตราปกติคือในปีนี้อาจจะ 2% กว่า ๆ และปีต่อไปเป็น 4% เป็น 6% หรือ 7%
แต่คงไม่ถึง 8% อย่างที่เราพูดไว้ ซึ่งอันนี้คงเป็นเป้าหมายตามที่เรากำหนดไว้ใน
แผนฯ คือ 7% หรือ 8% ซึ่งคงจะต้องปรับเปลี่ยนกันและก็คงจะต้องยอมรับคำแนะนำ
จากหลายฝ่าย และเราก็จะต้องรีบปรับแทนที่จะรอจนกว่าถึงครึ่งแผนฯ
แต่จุดมุ่งหมายตามที่คุณเติมศักดิ์พูดคือ ตรงนี้ถ้าเราปรับเป้าหมายแล้วจะนำไปสู่ที่
ว่าเราจะไปควบคุมการลงทุน ซึ่งในประเทศไทยได้แยกการลงทุนเป็นภาครัฐ รัฐ
วิสาหกิจ และเอกชน ซึ่งผมคงไม่หนักใจในเรื่องการวางกรอบว่ารัฐควรจะลงทุนใน
ปีหนึ่งเท่าไหร่ เพื่อจะควบคุมในสิ่งที่มีผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด และอัตรการ
เจริญเติบโตรัฐวิสาหกิจก็เช่นเดียวกัน
ประเด็นในเรื่องภาคเอกชน ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจขาลงก็ควรจะไม่ยาก แต่ในเมื่อ
เศรษฐกิจเจริญเติบโตยากที่จะไปห้าม ยิ่งเป็นในระบบเสรีไปควบคุมยาก ว่าคุณอย่า
ไปลงทุนตรงนี้ตรงนั้น
เติมศักดิ์ : ดังนั้น เราควรมีการเสนอว่าต่อไปนี้รัฐจะลงทุนอะไรจะต้องเสนองบต่อสภาพัฒน์
เสียก่อน
เลขาธิการฯ : นั่นเป็นสิ่งปกติอยู่แล้ว และอยากจะกราบเรียนอีกต่อไปว่า เรื่องการแสดงทุนของ
ภาครัฐ ถ้าว่าตามปกติแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าห่วง เพราะการลงทุนของภาครัฐ เมื่อ
เปรียบเทียบกับทั้งประเทศนั้นมีเพียง 20% เช่นเดียวกับที่เราเป็นหนี้กับต่างประเทศ
มากมายประมาณ 8-9 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นของรัฐบาลเพียง 20% ประเด็นอยู่ที่
ว่า แม้ว่าการลงทุนจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลงทุนทั้งหมด เราจะดู เราจะกลั่น
กรองโครงการเศรษฐกิจอย่างไรที่จะให้เกิดผลต่อการเจริญเติบโตในขณะที่มันชะลอ
ตัวลง และทำอย่างไรที่จะให้การลงทุนเหล่านั้นไม่ไปมีผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด
มากนัก นั่นก็หมายความว่า อะไรก็ตามถ้าเป็นการลงทุนที่จะใช้เงินตราต่างประเทศ
ดังกล่าว การนำเข้าควรจะให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เติมศักดิ์ : แต่บางคนเขากลัวว่าหากไปปรับเปลี่ยนอะไรตรงนั้นจะมีผลต่อการดำเนินงานของ
รัฐวิสาหกิจล่าช้าออกไป อาจจะมีข้อซับซ้อนยิ่งขึ้น และขาดการเป็นอิสระ
เลขาธิการฯ : ตรงนี้ต้องขอกราบเรียนว่า เมื่อวานผมรายงานคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจว่า รัฐ
วิสาหกิจตั้งงบลงทุน 1 ปีประมาณ 9 แสนกว่าล้านเท่า ๆ กับงบประมาณของรัฐบาล
แต่ขีดความสามารถการดำเนินงาน มีเพียงประมาณ 60% เท่านั้นและเบิกจ่ายกันได้
จริง ๆ 40% ซึ่งผมพูดเฉลี่ย บางรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพมากสามารถเบิกจ่ายได้
80% แต่โดยเฉลี่ยโดยรวมของรัฐวิสาหกิจแล้ว 9 แสนกว่าล้านนั้น ใช้จ่ายไม่ถึงซึ่ง
ปัญหาคือว่าจะทำอย่างไรที่จะจัดความสำคัญก่อนหลังของการลงทุนให้ดีที่สุดเช่นเดียว
กันกับรัฐบาลเราถกเถียงว่างบไม่พอ แต่ขั้นตอนการดำเนินการหรือประสิทธิภาพใน
การบริหารงานนั้น เบิกจ่ายหนี้ไม่เคยหมด เป็นอยู่แค่ 70-80% ประเด็นอยู่ที่ว่าที่
เบิกจ่ายไปลงทุนขอให้มีประสิทธิภาพ อย่าใช้ในลักษณะฟุ่มเฟือย ต้นทุนต่าง ๆ ลดลง
ไปอีกหน่อยได้หรือไม่
เติมศักดิ์ : ซึ่งเรียกว่าจะมีการคุมเข้มรัฐวิสาหกิจกันมากขึ้นอีกใช่ไหม
เลขาธิการฯ : เราก็คุมเข้มกันทุกที และก็ได้รับความร่วมมือกับทุกฝ่ายและคนคุมเข้มกับคนใช้เข้ม
ก็ต้องช่วยกัน
เติมศักดิ์ : ที่ผ่านมา เงินที่ส่งให้รัฐนั้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ ตามที่กำหนดไว้ เพราะได้
ข่าวว่ามีการหมกเม็ดกันบ้าง และจะแก้ไขได้อย่างไร
เลขาธิการฯ : เราจะต้องดูแต่ละรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังต้องตรวจสอบถ้า
ความสามารถในการส่งรายได้ให้รัฐ ให้กระทรวงการคลังนั้นกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์
แล้ว กระทรวงการคลังพอใจก็จะทำตามนั้น แต่ถ้าเผื่อว่าไปเร่งรัดให้ส่งมากขึ้นก็จะ
ต้องไปดูขีดความสามารถของเขา โดยเฉพาะปีนี้รัฐวิสาหกิจก็ถูกกระทบมาก โดย
หลักบัญชี ถ้ามีหนี้โดยเฉพาะหนี้ต่างประเทศอยู่เมื่อตีค่าเป็นบาท ก็จะขาดทุนมาก จึง
เป็นหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจ และกระทรวงการคลังจะต้องดูว่าจะเฉลี่ยผลกระทบตรงนี้
อย่างไร ซึ่งในรูปบัญชีเมื่อคำนวณออกมาดูแล้วจะขาดทุนหรือมีผลกระทบตามมาทันที
เติมศักดิ์ : เรียกว่ารายได้จากรัฐวิสาหกิจนี้ควรจะลดน้อยลงจากคาดการณ์
เลขาธิการฯ : ก็คงจะลดลงจากรูปบัญชี แต่มีหลายรัฐวิสาหกิจถ้าได้เงินตราจากต่างประเทศก็จะ
มีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การบินไทย หรือ รัฐวิสาหกิจบางประเภทที่ขายสินค้าบริการ
บางประเภทที่ขายสินค้าบริการบางประเภทกับต่างประเทศ ซึ่งเมื่อเทียบสัดส่วนก็ยัง
ไม่เท่ากับที่เราขาด
เติมศักดิ์ : ในฐานะที่ท่านเลขาธิการฯ ดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหรือดูหน่วยงาน
ที่จะต้องวางเป้าหมายทางเศรษฐกิจ จะฝากอะไรไว้หรือไม่ ในเรื่องของเศรษฐกิจ
เลขาธิการฯ : ผมอยากจะกราบเรียนอย่างนี้ เราได้หารือกันระดับผู้ใหญ่ของสำนักงานในคณะ
กรรมการบริหารสภาพัฒน์ ซึ่งประกอบด้วยท่านผู้ทรงคุณวุฒิหลาย ๆ ท่าน ให้เราใช้
วิกฤติที่เกิดกับบ้านเรามาสร้างพลังกับคนในชาติ เมื่อเราเศรษฐกิจดีไม่มีปัญหาแผนฯ
8 จะพูดว่าอย่างไรก็ไม่มีคนสนใจ เมื่อจะแปลงแผนสู่การปฏิบัติอย่างไรก็มีคนสนใจ
กันน้อยมากแต่เมื่อเกิดวิกฤติแล้วก็ท่องกันได้ทุกคนว่ามันเป็นอย่างไร วิกฤติอาจสร้าง
พลังให้เราได้ ดังนั้นสิ่งที่เราพูดจึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาปรับปรุงแผนฯ 8 เพียง
อย่างเดียว แต่ที่แน่นอนจะต้องไปควบคุมเรื่องที่จะต้องไปใช้จ่าย ของรัฐวิสาหกิจ
ของรัฐบาล และของประชาชนโดยทั่วไปด้วยเราควรจะต้องปรับปรุงเสถียรภาพด้าน
การเมืองและจะต้องปรับปรุงวัฒนธรรมของคนไทยตามที่พูดไว้ในแผนฯ 8 คือกลับมา
เป็นคนไทยที่มีความอดออม มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีความร่วมมือต่อการสร้างสรรค์
ท่านมหาประยุทธ์ท่านพูดเอาไว้ว่า "สังคมเมืองไทยในปัจจุบันนี้นั้นเหมือนไก่ในเข่ง
รังแต่จิกตีกันรอวันเขาเอาไปฆ่า" ฉะนั้นผมอยากจะกราบเรียนว่าเราจะมัวแต่จิกตีกัน
ต่อไปไม่ได้แล้ว เราต้องช่วยกัน แน่นอนแผนฯ 8 มีจุดอ่อนอยู่หลายประเด็น ผมก็ได้
ตั้งคณะเจ้าหน้าที่เร่งทำการศึกษาแล้ว และนำเสนอกรรมการบริหารว่าเราจะต้อง
ปรับอะไรบ้าง สิ่งสำคัญก็คืออยากจะขอความร่วมมือกับหน่วยราชการโดยเฉพาะทาง
ด้านเอกชนที่จะต้องลงทุนและจะต้องผ่านสถาบันการเงิน ธนาคารต่าง ๆ และ BOI
ด้วย ซึ่งในอนาคตเราจะต้องช่วยกันดูแลว่าประเทศชาติเรานั้น ต้องการความเจริญ
เติบโตที่มีเสถียรภาพ สร้างการแข่งขันเพื่อสู้กับนานาชาติได้และท้ายที่สุดก็คือแนวคิด
ที่เราจะพัฒนาคนนั้นเป็นของที่ทันสมัยเสมอเพียงแต่ว่าขอให้ทำกันอย่างจริงจังเท่านั้น
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ ปีที่ 14 ฉบับที่ 8/สิงหาคม 2540--