- อัตราดอกเบี้ย R/P 1 และ 7 วัน เคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ ระหว่างร้อยละ 2.6875 - 2.71875 และ 2.71875 - 2.75 ต่อปี ตามลำดับ ตามความต้องการกู้ยืม/ลงทุนของธนาคารพาณิชย์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ย R/P 14 วัน ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลง
- มูลค่าซื้อขายตราสารหนี้เพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทน (Yield ) ของพันธบัตรฯ ระยะ 1 ปีขึ้นไป ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุต่ำกว่า 1 ปี ปรับลดลงเล็กน้อย ดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนยังคงลดต่ำลง
- เงินบาทเริ่มมีทิศทางอ่อนค่าลง เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินในภูมิภาค การซื้อคืนเงินดอลลาร์ สรอ. และราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่าขึ้น หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดี โดยเฉพาะตัวเลขเงินทุนไหลเข้าเพื่อลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ
สภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ย
สภาพคล่องในตลาดเงินระยะสั้นอยู่ในระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีการนำฝากภาษีมูลค่าเพิ่มเข้ามาในระบบ ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่นำสภาพคล่องส่วนเกินจากการสำรองสภาพคล่องเพื่อการปิดสำรองรายปักษ์ในวันจันทร์หน้ามาลงทุนระยะสั้น โดยธนาคารพาณิชย์เน้นทำการลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 และ 7 วัน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะดังกล่าวเคลื่อนไหวลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความต้องการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่มีการสำรองสภาพคล่องเพื่อรองรับการถอนเงินของลูกค้าเพื่อซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ มูลค่า 5 พันล้านบาท ประกอบกับมีสภาพคล่องปริมาณสูงติดอยู่ในระบบเคลียริ่งหลังจากมีการโอนเงินจำนวนมากในระบบธนาคารพาณิชย์ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะ 1 และ 7 วัน ปิดตลาดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะ 1 และ 7 วัน เคลื่อนไหวระหว่างร้อยละ 2.6875 - 2.71875 และ 2.71875 - 2.75 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะ 14 วัน ยังคงปิดตลาดในอัตราเดิมที่ร้อยละ 2.75 ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ย Interbank มีช่วงเคลื่อนไหวแคบลงเล็กน้อยมาอยู่ระหว่างร้อยละ 2.68 - 2.71 และอัตรากลาง (Mode) ปิดตลาดลดลงเล็กน้อยมาอยู่ระหว่างร้อยละ 2.69 - 2.7 ต่อปี
ตลาดตราสารหนี้
ในรอบสัปดาห์มีการเปิดประมูลตราสารหนี้ภาครัฐรวม 35,500 ล้านบาท โดยเป็นตั๋วเงินคลังอายุ 91 และ 182 วัน วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 7 และ 14 ปี วงเงินรวม 5,500 ล้านบาท และพันธบัตร ธปท. อายุ 28 และ 364 วัน วงเงินรวม 17,000 ล้านบาท โดยตราสารส่วนใหญ่มีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ยกเว้นตั๋วเงินคลังอายุ 91 วัน พันธบัตร ธปท. อายุ 28 วัน และพันธบัตรรัฐบาล อายุ 3 ปี ที่มีอัตราผลตอบแทนลดลงเล็กน้อย นอกจากนี้มีการประมูลพันธบัตรการไฟฟ้านครหลวงอายุ 12 และ 15 ปี วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท และพันธบัตรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อายุ 12 ปี วงเงิน 1,000 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายของตราสารหนี้ในตลาดรองเท่ากับ 84,453 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 16,891 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 31 ตราสารหนี้ที่มีมูลค่าซื้อขายมากที่สุด ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง รองลงมาได้แก่ พันธบัตร ธปท. โดยเป็นธุรกรรม Outright ร้อยละ 78 อัตราผลตอบแทน (yield) ในสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้นลงในกรอบแคบๆ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ยังคงทำให้นักลงทุนสนใจลงทุนในตราสารระยะสั้นมากกว่าตราสารระยะยาว yield ของ ของพันธบัตรฯ อายุต่ำกว่า 1 ปี จึงลดลง 0-6 basis points และ yield พันธบัตรฯอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ปรับเพิ่มขึ้น 0-5 basis points ดัชนีราคา (Clean price index) พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนยังปรับตัวลดลงอีก 16 และ 3 basis points ตามลำดับ สำหรับ US Treasury Yield ค่อนข้างผันผวน และปรับตัวสวนทางกับพันธบัตรฯ ไทย โดยพันธบัตรฯ อายุ 2 ปีขึ้นไปปรับตัวลดลง 2-5 basis points ขณะที่พันธบัตรฯ อายุต่ำกว่า 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0-2 basis points
อัตราแลกเปลี่ยน
เงินบาทมีค่าเฉลี่ยตลอดสัปดาห์ที่ 41.16 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงร้อยละ 0.3 จากค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนหน้า หลังจากมีทิศทางแข็งค่าขึ้นติดต่อกันถึง 3 สัปดาห์ โดยเงินบาทในช่วงต้นสัปดาห์อ่อนค่าลงจากปลายสัปดาห์ก่อนและมีทิศทางอ่อนค่าลงเป็นส่วนใหญ่ตลอดสัปดาห์จากปัจจัยกดดันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินสกุลภูมิภาคที่ถูกกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการขายสุทธิในสัปดาห์นี้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่เงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงมากในช่วง 2 - 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และการคาดการณ์ของ ธปท. ว่า GDP ประจำไตรมาสสองของปี อาจมีการขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 4 ในขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักตลอดสัปดาห์ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ออกมาดี โดยเฉพาะตัวเลขภาคการผลิต และตัวเลขเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนที่อยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงของสหรัฐฯ ในขณะนี้ได้
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-
- มูลค่าซื้อขายตราสารหนี้เพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทน (Yield ) ของพันธบัตรฯ ระยะ 1 ปีขึ้นไป ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุต่ำกว่า 1 ปี ปรับลดลงเล็กน้อย ดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนยังคงลดต่ำลง
- เงินบาทเริ่มมีทิศทางอ่อนค่าลง เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินในภูมิภาค การซื้อคืนเงินดอลลาร์ สรอ. และราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่าขึ้น หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดี โดยเฉพาะตัวเลขเงินทุนไหลเข้าเพื่อลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ
สภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ย
สภาพคล่องในตลาดเงินระยะสั้นอยู่ในระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีการนำฝากภาษีมูลค่าเพิ่มเข้ามาในระบบ ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่นำสภาพคล่องส่วนเกินจากการสำรองสภาพคล่องเพื่อการปิดสำรองรายปักษ์ในวันจันทร์หน้ามาลงทุนระยะสั้น โดยธนาคารพาณิชย์เน้นทำการลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 และ 7 วัน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะดังกล่าวเคลื่อนไหวลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความต้องการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่มีการสำรองสภาพคล่องเพื่อรองรับการถอนเงินของลูกค้าเพื่อซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ มูลค่า 5 พันล้านบาท ประกอบกับมีสภาพคล่องปริมาณสูงติดอยู่ในระบบเคลียริ่งหลังจากมีการโอนเงินจำนวนมากในระบบธนาคารพาณิชย์ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะ 1 และ 7 วัน ปิดตลาดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะ 1 และ 7 วัน เคลื่อนไหวระหว่างร้อยละ 2.6875 - 2.71875 และ 2.71875 - 2.75 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะ 14 วัน ยังคงปิดตลาดในอัตราเดิมที่ร้อยละ 2.75 ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ย Interbank มีช่วงเคลื่อนไหวแคบลงเล็กน้อยมาอยู่ระหว่างร้อยละ 2.68 - 2.71 และอัตรากลาง (Mode) ปิดตลาดลดลงเล็กน้อยมาอยู่ระหว่างร้อยละ 2.69 - 2.7 ต่อปี
ตลาดตราสารหนี้
ในรอบสัปดาห์มีการเปิดประมูลตราสารหนี้ภาครัฐรวม 35,500 ล้านบาท โดยเป็นตั๋วเงินคลังอายุ 91 และ 182 วัน วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 7 และ 14 ปี วงเงินรวม 5,500 ล้านบาท และพันธบัตร ธปท. อายุ 28 และ 364 วัน วงเงินรวม 17,000 ล้านบาท โดยตราสารส่วนใหญ่มีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ยกเว้นตั๋วเงินคลังอายุ 91 วัน พันธบัตร ธปท. อายุ 28 วัน และพันธบัตรรัฐบาล อายุ 3 ปี ที่มีอัตราผลตอบแทนลดลงเล็กน้อย นอกจากนี้มีการประมูลพันธบัตรการไฟฟ้านครหลวงอายุ 12 และ 15 ปี วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท และพันธบัตรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อายุ 12 ปี วงเงิน 1,000 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายของตราสารหนี้ในตลาดรองเท่ากับ 84,453 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 16,891 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 31 ตราสารหนี้ที่มีมูลค่าซื้อขายมากที่สุด ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง รองลงมาได้แก่ พันธบัตร ธปท. โดยเป็นธุรกรรม Outright ร้อยละ 78 อัตราผลตอบแทน (yield) ในสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้นลงในกรอบแคบๆ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ยังคงทำให้นักลงทุนสนใจลงทุนในตราสารระยะสั้นมากกว่าตราสารระยะยาว yield ของ ของพันธบัตรฯ อายุต่ำกว่า 1 ปี จึงลดลง 0-6 basis points และ yield พันธบัตรฯอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ปรับเพิ่มขึ้น 0-5 basis points ดัชนีราคา (Clean price index) พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนยังปรับตัวลดลงอีก 16 และ 3 basis points ตามลำดับ สำหรับ US Treasury Yield ค่อนข้างผันผวน และปรับตัวสวนทางกับพันธบัตรฯ ไทย โดยพันธบัตรฯ อายุ 2 ปีขึ้นไปปรับตัวลดลง 2-5 basis points ขณะที่พันธบัตรฯ อายุต่ำกว่า 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0-2 basis points
อัตราแลกเปลี่ยน
เงินบาทมีค่าเฉลี่ยตลอดสัปดาห์ที่ 41.16 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงร้อยละ 0.3 จากค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนหน้า หลังจากมีทิศทางแข็งค่าขึ้นติดต่อกันถึง 3 สัปดาห์ โดยเงินบาทในช่วงต้นสัปดาห์อ่อนค่าลงจากปลายสัปดาห์ก่อนและมีทิศทางอ่อนค่าลงเป็นส่วนใหญ่ตลอดสัปดาห์จากปัจจัยกดดันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินสกุลภูมิภาคที่ถูกกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการขายสุทธิในสัปดาห์นี้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่เงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงมากในช่วง 2 - 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และการคาดการณ์ของ ธปท. ว่า GDP ประจำไตรมาสสองของปี อาจมีการขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 4 ในขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักตลอดสัปดาห์ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ออกมาดี โดยเฉพาะตัวเลขภาคการผลิต และตัวเลขเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนที่อยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงของสหรัฐฯ ในขณะนี้ได้
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-