แท็ก
การส่งออก
1. สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2544 ในไตรมาสแรกปี 2544 เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในช่วงของการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่องจากปลายปี 2543 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 5.8 ในครึ่งแรก และร้อยละ 3.0 ในช่วงครึ่งหลังของปี ในไตรมาสแรกปี 2544 การส่งออกลดลงภายหลังจากที่เริ่มขยายตัวได้ช้าลงตั้งแต่ปลายปี 2543 การใช้จ่ายครัวเรือนขยายตัวได้น้อยลง การลงทุนภาคเอกชนแม้จะขยายตัวต่อเนื่องในอัตราค่อนข้างดีแต่เริ่มปรากฏสัญญานของการชะลอตัวโดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณตั้งแต่ครึ่งหลังปีที่แล้วปรากฏชัดเจนมากขึ้น ซึ่งประกอบด้วย
- ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวชัดเจนมากขึ้นตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาซึ่งขยายตัวเพียงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสแรกปี 2544 ชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วซึ่งขยายตัวในอัตราร้อยละ 3.4 ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ช้าลงกว่าที่คาดไว้เดิมเนื่องจากปัญหาภาคการเงินไม่สามารถคลี่คลายลงไปได้ ประชาชนขาดความเชื่อมั่น รวมทั้งได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ซึ่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยปรากฏชัดเจนมากขึ้นกว่าในช่วงปลายปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของไทยในรูปเงินดอลลาร์สรอ. ลดลงร้อยละ 1.3 ในไตรมาสแรกเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 21.8 ในสามไตรมาสแรกและร้อยละ 14.4 ในไตรมาสที่สี่ปี 2543 การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.5 และตลาดอาเซียน (9) ลดลงร้อยละ 0.8 อย่างไรก็ตามการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (15) และญี่ปุ่นยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 และ 6.2 ตามลำดับ
- หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังเป็นอุปสรรคแก่ภาคธุรกิจและการเงิน
- อัตราการว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณร้อยละ 4.25 เท่ากับจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 1.41 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับในไตรมาสแรกปี 2543 นอกจากนี้ในจำนวนผู้มีงานทำนั้นมีผู้ทำงานต่ำระดับ คือทำงานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อยู่ประมาณ 1 ล้านคน
ทั้งนี้การหดตัวของการส่งออกที่มีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้นได้ส่งผลเชื่อมโยงถึงการผลิตซึ่งยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินในระบบอีกมาก การลงทุน และการบริโภคในประเทศที่ยังอ่อนแออยู่
แม้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและผลการดำเนินนโยบายการคลังขาดดุล ยังเป็นปัจจัยเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม แต่เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2544 ชี้ถึงข้อจำกัดของการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2544
2. ประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2544
2.1 เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจเดือนเมษายน 2544 ด้านการผลิตและการใช้จ่ายโดยภาพรวมแสดงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก เครื่องชี้ด้านการใช้จ่าย อาทิ ปริมาณการจำหน่ายหมวดยานยนต์ ปริมาณการจำหน่ายโซดาและน้ำอัดลม และสุรา เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2543 แต่ด้วยอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าการขยายตัวโดยเฉลี่ยในปีที่แล้วและในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ในขณะที่มูลค่าการนำเข้า
สินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่เริ่มลดลงหลังจากที่ชะลอตัวในไตรมาสแรก สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนเมษายนจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 13.2 แต่ทั้งนี้เนื่องจากการจัดเก็บในเดือนเมษายนในปีที่แล้วต่ำกว่าระดับเฉลี่ยโดยปกติเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน โดยภาพรวมแสดงว่าการลงทุนภาคเอกชนในเดือนเมษายนยังคงขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว เครื่องชี้ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นประกอบด้วย ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ การจำหน่ายซีเมนต์ เหล็กเส้น และแผ่นเหล็กชุบสังกะสี ที่เพิ่มขึ้นตามภาวะการลงทุนในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามตามภาวะการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วและต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีนี้ ประกอบกับความต้องการภายในประเทศที่ชะลอตัวลงและอัตราการใช้กำลังการผลิตยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำทำให้ความต้องการใช้สินค้าทุนลดลง
เครื่องชี้ด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากเดือนเมษายนปีที่แล้ว ชะลอลงเมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.1 ในปี 2543 และร้อยละ1.3 ในไตรมาสแรกปี 2544 อุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นประกอบด้วย หมวดเครื่องดื่ม หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก และหมวดยานยนต์และส่วนประกอบ ซึ่งเพิ่มขึ้นตามความต้องการภายในประเทศ สำหรับหมวดยานยนต์และส่วนประกอบนั้นยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้นด้วยอีกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามการผลิตในหมวดอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกหลายรายการชะลอตัวลง อาทิ หมวดสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และหมวดเครื่องประดับ นอกจากนี้สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องรับโทรทัศน์ และสัปปะรดกระป๋อง มีการผลิตลดลงตามภาวะการชะลอตัวของความต้องการในตลาดโลกและประสบกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ดังนั้นในเดือนเมษายนปีนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีการใช้อัตรากำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 50.2 ต่ำกว่าระดับร้อยละ 51.2 ในเดือนเมษายน 2543 เล็กน้อย
มูลค่าการส่งออกเดือนเมษายนและพฤษภาคม ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วประมาณร้อยละ 2.4 การส่งออกมีมูลค่าเฉลี่ยเดือนละ 5,010.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. แสดงแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 5,340 ล้านดอลลาร์ สรอ.ในไตรมาสแรก การส่งออกในเกือบทุกรายการสินค้าสำคัญลดลง อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น มีเพียงกุ้งสดแช่แข็ง รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำตาลทราย และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ที่ยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้น
สถานการการส่งออกของไทยเป็นไปตามภาวะตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อเนื่อง (spillover effect) ต่อตลาดอื่น ๆ ทำให้การส่งออกของไทยในเดือนเมษายนและพฤษภาคมลดลงในทุกตลาดหลัก ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน
การส่งออกที่ลดลงและความต้องการภายในประเทศที่ชะลอลงทำให้ความต้องการสินค้านำเข้าชะลอลงตาม มูลค่าการนำเข้าในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 2.3 ชะลอลงกว่าการขยายตัวร้อยละ 11.6 ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา
2.2 ประมาณการภาวะเศรษฐกิจปี 2544
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2543 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2544 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังไม่มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้สูงกว่าการขยายตัวในครึ่งแรกและมีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐ ฯ จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในครึ่งหลังปีนี้ ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอ่อนแอโดยไม่มีการขยายตัวในไตรมาสแรก ซึ่งจะมีผลกระทบที่สำคัญต่อการส่งออกของไทย และทำให้การส่งออกในครึ่งหลังฟื้นตัวขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับฐานการส่งออกที่สูงในช่วงครึ่งหลังปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามการนำเข้าที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะช่วยรักษาการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
ความต้องการภายในประเทศที่ชะลอตัวและการส่งออกที่ลดลงจะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงปัจจุบัน และการลงทุนภาคเอกชนไม่สามารถขยายตัวได้ดีเช่นในปี 2543 อัตราการว่างจะยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคยังไม่ปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าในครึ่งหลังของปีเศรษฐกิจจะยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัวต่อเนื่องจากต้นปีและแรงกดดันด้านราคาจะเกิดจากด้านต้นทุนราคาน้ำมัน การปรับราคาค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้มรวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนตัว แต่อุปสงค์ที่อ่อนตัวจะทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่เพิ่มขึ้นจากปี 2543 เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ การดำเนินมาตรการของ
รัฐบาลเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในส่วนของการใช้จ่ายของรัฐบาลเองโดยตรงจากงบประมาณปี 2544 และ 2545 ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนในที่สุด และการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นการหารายได้เงินตราต่างประเทศและการใช้จ่ายภาคเอกชนโดยตรง
คาดว่าภายใต้เงื่อนไขภาวะเศรษฐกิจโลกที่เป็นข้อจำกัดต่อการส่งออกของไทย เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 2.0 ต่ำกว่าการขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.4 ในปี 2543
ประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2544 รายสาขาสรุปได้ดังนี้
- การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 3.5 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 4.5 ในปี 2543
- การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.1 ชะลอลงชัดเจนจากการขยายตัวร้อยละ 14.2 ในปี 2543
- การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาครัฐบาล ณ ราคาคงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และการลงทุนภาครัฐ ณ ราคาคงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0
- การส่งออกมีมูลค่า 66.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 2.0 ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 64.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากปี 2543 ร้อยละ 3.2
- ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 3.7 ของ GDP ลดลงจากการเกินดุลร้อยละ 7.5 ของ GDP ในปี 2543 โดยเป็นผลจากการเกินดุลการค้าและการเกินดุลบริการที่ลดลง
- อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 2.2 สูงกว่าร้อยละ 1.6 ในปี 2543 ตามแรงกดดันทางด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เมื่อต้นทุนน้ำมันจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคมากขึ้น รวมทั้งการปรับขึ้นค่าไฟและราคาก๊าซหุงต้ม ในขณะที่ราคาพืชผลบางชนิดได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ดัชนีหมวดอาหารปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนตัวอยู่ ทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วงและคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ในกรณีที่เร่งรัดการดำเนินมาตรการตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ในอัตราประมาณร้อยละ 3.0 ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้
- การดำเนินมาตรการของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งมาตรการการคลังจากงบประมาณปี 2544 และปี 2545 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ผลดีในปลายปี 2544 และทำให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อไปได้ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และประชาชนมีกำลังซื้อและความมั่นใจที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การดำเนินมาตร-การและการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศประกอบด้วย
(1) เร่งรัดการดำเนินงานของ TAMC ที่จะแก้หนี้ให้ธุรกิจและทรัพย์สินที่เป็น NPL โดยเฉพาะที่ติดค้างอยู่กับธนาคารและ AMC ของรัฐเดิมกลับสู่ระบบการผลิต
(2) การใช้จ่ายของกองทุนหมู่บ้านที่คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2544 และธนาคารประชาชนตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อจำนวน 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องในภาคเศรษฐกิจจริงในอีกช่องทางหนึ่ง
(3) การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2544 ใหม่จำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีผลตัวคูณทวี (Multiplier effect) มากขึ้น
(4) การเพิ่มการขาดดุลงบประมาณปี 2545 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเริ่มมีผลตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 2544 ซึ่งคาดว่าจะมีโครงการส่วนหนึ่งมีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการภายใต้งบประมาณสำรองซึ่งรัฐบาลจัดสรรงบประมาณจำนวน 58,000 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นการเพิ่มรายได้ และการจ้างงาน
(5) การขยายสินเชื่อสู่ SMEs โดยสถาบันการเงินภายใต้การกำกับของรัฐในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องของ SMEs ให้ผ่อนคลายลงได้ระดับหนึ่ง
(6) การออกมาตรการเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่อขนาดย่อมเป็นไปตามเป้าหมาย
(7) มาตรการกระตุ้นการส่งออก และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้เงินตราต่างประเทศ
- มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานเฉลี่ย 200 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อเดือนในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเป็นผลของการดำเนินมาตรการสนับสนุนการส่งออกอย่างต่อเนื่องโดยการหาตลาดใหม่ และการเจรจาทางการค้าของตัวแทนทางการค้า (Thai Trade representatives) เพื่อขยายการค้าในตลาดรอง ประกอบกับนโยบายการเงินอย่างผ่อนปรนในสหรัฐอเมริกา ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาปรับตัวได้ดีขึ้นบ้างในช่วงครึ่งหลังของปี
จากการประเมินสถานการณ์ดังกล่าว สศช. ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2544 จากร้อยละ 3.5-4.0 ในการประมาณการ ณ วันที่ 19 มีนาคม 2544 เป็นร้อยละ 2.0-3.0
การปรับประมาณการหลัก ๆ ประกอบด้วย การปรับลดแนวโน้มการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกและการนำเข้า รวมทั้งปรับลดอัตราการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะไม่สามารถขยายตัวได้มากในกรณีที่การส่งออกลดลง อย่างไรก็ตามการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังถ้าดำเนินการได้ตามเป้าหมายจะช่วยให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวและเป็นปัจจัยผลักดันเศรษฐกิจที่สำคัญ
3. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจปี 2544การประเมินสถานการณ์และประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจแสดงว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2544 จะประสบกับข้อจำกัดด้านการขยายตัวของตลาดโลก ดังนั้นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจและสภาพคล่องที่มาจากการส่งออกซึ่งช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะลดลง นอกจากนี้เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกปี 2544 ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงข้อจำกัดในการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ในขณะที่การเบิกจ่ายของภาครัฐยังต่ำกว่าเป้าหมาย
ดังนั้นนโยบายเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2544 จะต้องเน้นการเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐและติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการเพิ่มความสามารถในการหารายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาศักยภาพในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมการไว้แล้วสำหรับครึ่งปีหลังมีนโยบายสำคัญ ๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน การดำเนินการของ TAMC การขยายสินเชื่อในส่วนของสถาบันการเงินภายใต้การกำกับของรัฐ การค้ำประกันสินเชื่อ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นต้น ประเด็นสำคัญคือ การบริหารจัดการที่ต้องเน้น 2 เรื่อง ได้แก่
(1) การเร่งรัดให้ดำเนินงานได้ตามแผนซึ่งประสบการณ์ในอดีตแสดงว่ากลไกของรัฐยังขาดประสิทธิภาพ
(2) การดูแลให้มีการดำเนินงานอย่างไม่รั่วไหลและโปร่งใส เพื่อไม่ให้นโยบายเป็นภาระและปัญหาในอนาคตนอกจากนั้นมาตรการที่ต้องเริ่มดำเนินการไปพร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น คือ มาตรการระยะยาวที่จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างยั่งยืน ได้แก่ การวางกรอบการทำงานเพื่อเร่งรัดการปรับโครงสร้างการผลิตภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม การจัดให้มีกระบวนการระดับชาติในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการเพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นเครื่องตัดสินขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว การปฏิรูประบบการศึกษาและระบบราชการ โดยจะต้องมีการวางแผนปฏิบัติ และติดตามประเมินผลอย่างเร่งด่วน
--สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-สส-
- ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวชัดเจนมากขึ้นตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาซึ่งขยายตัวเพียงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสแรกปี 2544 ชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วซึ่งขยายตัวในอัตราร้อยละ 3.4 ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ช้าลงกว่าที่คาดไว้เดิมเนื่องจากปัญหาภาคการเงินไม่สามารถคลี่คลายลงไปได้ ประชาชนขาดความเชื่อมั่น รวมทั้งได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ซึ่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยปรากฏชัดเจนมากขึ้นกว่าในช่วงปลายปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของไทยในรูปเงินดอลลาร์สรอ. ลดลงร้อยละ 1.3 ในไตรมาสแรกเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 21.8 ในสามไตรมาสแรกและร้อยละ 14.4 ในไตรมาสที่สี่ปี 2543 การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.5 และตลาดอาเซียน (9) ลดลงร้อยละ 0.8 อย่างไรก็ตามการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (15) และญี่ปุ่นยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 และ 6.2 ตามลำดับ
- หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังเป็นอุปสรรคแก่ภาคธุรกิจและการเงิน
- อัตราการว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณร้อยละ 4.25 เท่ากับจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 1.41 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับในไตรมาสแรกปี 2543 นอกจากนี้ในจำนวนผู้มีงานทำนั้นมีผู้ทำงานต่ำระดับ คือทำงานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อยู่ประมาณ 1 ล้านคน
ทั้งนี้การหดตัวของการส่งออกที่มีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้นได้ส่งผลเชื่อมโยงถึงการผลิตซึ่งยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินในระบบอีกมาก การลงทุน และการบริโภคในประเทศที่ยังอ่อนแออยู่
แม้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและผลการดำเนินนโยบายการคลังขาดดุล ยังเป็นปัจจัยเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม แต่เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2544 ชี้ถึงข้อจำกัดของการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2544
2. ประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2544
2.1 เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจเดือนเมษายน 2544 ด้านการผลิตและการใช้จ่ายโดยภาพรวมแสดงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก เครื่องชี้ด้านการใช้จ่าย อาทิ ปริมาณการจำหน่ายหมวดยานยนต์ ปริมาณการจำหน่ายโซดาและน้ำอัดลม และสุรา เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2543 แต่ด้วยอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าการขยายตัวโดยเฉลี่ยในปีที่แล้วและในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ในขณะที่มูลค่าการนำเข้า
สินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่เริ่มลดลงหลังจากที่ชะลอตัวในไตรมาสแรก สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนเมษายนจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 13.2 แต่ทั้งนี้เนื่องจากการจัดเก็บในเดือนเมษายนในปีที่แล้วต่ำกว่าระดับเฉลี่ยโดยปกติเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน โดยภาพรวมแสดงว่าการลงทุนภาคเอกชนในเดือนเมษายนยังคงขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว เครื่องชี้ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นประกอบด้วย ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ การจำหน่ายซีเมนต์ เหล็กเส้น และแผ่นเหล็กชุบสังกะสี ที่เพิ่มขึ้นตามภาวะการลงทุนในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามตามภาวะการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วและต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีนี้ ประกอบกับความต้องการภายในประเทศที่ชะลอตัวลงและอัตราการใช้กำลังการผลิตยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำทำให้ความต้องการใช้สินค้าทุนลดลง
เครื่องชี้ด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากเดือนเมษายนปีที่แล้ว ชะลอลงเมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.1 ในปี 2543 และร้อยละ1.3 ในไตรมาสแรกปี 2544 อุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นประกอบด้วย หมวดเครื่องดื่ม หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก และหมวดยานยนต์และส่วนประกอบ ซึ่งเพิ่มขึ้นตามความต้องการภายในประเทศ สำหรับหมวดยานยนต์และส่วนประกอบนั้นยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้นด้วยอีกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามการผลิตในหมวดอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกหลายรายการชะลอตัวลง อาทิ หมวดสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และหมวดเครื่องประดับ นอกจากนี้สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องรับโทรทัศน์ และสัปปะรดกระป๋อง มีการผลิตลดลงตามภาวะการชะลอตัวของความต้องการในตลาดโลกและประสบกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ดังนั้นในเดือนเมษายนปีนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีการใช้อัตรากำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 50.2 ต่ำกว่าระดับร้อยละ 51.2 ในเดือนเมษายน 2543 เล็กน้อย
มูลค่าการส่งออกเดือนเมษายนและพฤษภาคม ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วประมาณร้อยละ 2.4 การส่งออกมีมูลค่าเฉลี่ยเดือนละ 5,010.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. แสดงแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 5,340 ล้านดอลลาร์ สรอ.ในไตรมาสแรก การส่งออกในเกือบทุกรายการสินค้าสำคัญลดลง อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น มีเพียงกุ้งสดแช่แข็ง รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำตาลทราย และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ที่ยังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้น
สถานการการส่งออกของไทยเป็นไปตามภาวะตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อเนื่อง (spillover effect) ต่อตลาดอื่น ๆ ทำให้การส่งออกของไทยในเดือนเมษายนและพฤษภาคมลดลงในทุกตลาดหลัก ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน
การส่งออกที่ลดลงและความต้องการภายในประเทศที่ชะลอลงทำให้ความต้องการสินค้านำเข้าชะลอลงตาม มูลค่าการนำเข้าในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 2.3 ชะลอลงกว่าการขยายตัวร้อยละ 11.6 ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา
2.2 ประมาณการภาวะเศรษฐกิจปี 2544
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2543 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2544 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังไม่มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้สูงกว่าการขยายตัวในครึ่งแรกและมีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐ ฯ จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในครึ่งหลังปีนี้ ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอ่อนแอโดยไม่มีการขยายตัวในไตรมาสแรก ซึ่งจะมีผลกระทบที่สำคัญต่อการส่งออกของไทย และทำให้การส่งออกในครึ่งหลังฟื้นตัวขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับฐานการส่งออกที่สูงในช่วงครึ่งหลังปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามการนำเข้าที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะช่วยรักษาการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
ความต้องการภายในประเทศที่ชะลอตัวและการส่งออกที่ลดลงจะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงปัจจุบัน และการลงทุนภาคเอกชนไม่สามารถขยายตัวได้ดีเช่นในปี 2543 อัตราการว่างจะยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคยังไม่ปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าในครึ่งหลังของปีเศรษฐกิจจะยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัวต่อเนื่องจากต้นปีและแรงกดดันด้านราคาจะเกิดจากด้านต้นทุนราคาน้ำมัน การปรับราคาค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้มรวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนตัว แต่อุปสงค์ที่อ่อนตัวจะทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่เพิ่มขึ้นจากปี 2543 เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ การดำเนินมาตรการของ
รัฐบาลเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในส่วนของการใช้จ่ายของรัฐบาลเองโดยตรงจากงบประมาณปี 2544 และ 2545 ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนในที่สุด และการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นการหารายได้เงินตราต่างประเทศและการใช้จ่ายภาคเอกชนโดยตรง
คาดว่าภายใต้เงื่อนไขภาวะเศรษฐกิจโลกที่เป็นข้อจำกัดต่อการส่งออกของไทย เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 2.0 ต่ำกว่าการขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.4 ในปี 2543
ประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2544 รายสาขาสรุปได้ดังนี้
- การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 3.5 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 4.5 ในปี 2543
- การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.1 ชะลอลงชัดเจนจากการขยายตัวร้อยละ 14.2 ในปี 2543
- การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาครัฐบาล ณ ราคาคงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และการลงทุนภาครัฐ ณ ราคาคงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0
- การส่งออกมีมูลค่า 66.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 2.0 ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 64.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากปี 2543 ร้อยละ 3.2
- ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 3.7 ของ GDP ลดลงจากการเกินดุลร้อยละ 7.5 ของ GDP ในปี 2543 โดยเป็นผลจากการเกินดุลการค้าและการเกินดุลบริการที่ลดลง
- อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 2.2 สูงกว่าร้อยละ 1.6 ในปี 2543 ตามแรงกดดันทางด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เมื่อต้นทุนน้ำมันจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคมากขึ้น รวมทั้งการปรับขึ้นค่าไฟและราคาก๊าซหุงต้ม ในขณะที่ราคาพืชผลบางชนิดได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ดัชนีหมวดอาหารปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนตัวอยู่ ทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วงและคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ในกรณีที่เร่งรัดการดำเนินมาตรการตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ในอัตราประมาณร้อยละ 3.0 ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้
- การดำเนินมาตรการของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งมาตรการการคลังจากงบประมาณปี 2544 และปี 2545 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ผลดีในปลายปี 2544 และทำให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อไปได้ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และประชาชนมีกำลังซื้อและความมั่นใจที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การดำเนินมาตร-การและการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศประกอบด้วย
(1) เร่งรัดการดำเนินงานของ TAMC ที่จะแก้หนี้ให้ธุรกิจและทรัพย์สินที่เป็น NPL โดยเฉพาะที่ติดค้างอยู่กับธนาคารและ AMC ของรัฐเดิมกลับสู่ระบบการผลิต
(2) การใช้จ่ายของกองทุนหมู่บ้านที่คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2544 และธนาคารประชาชนตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อจำนวน 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องในภาคเศรษฐกิจจริงในอีกช่องทางหนึ่ง
(3) การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2544 ใหม่จำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีผลตัวคูณทวี (Multiplier effect) มากขึ้น
(4) การเพิ่มการขาดดุลงบประมาณปี 2545 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเริ่มมีผลตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 2544 ซึ่งคาดว่าจะมีโครงการส่วนหนึ่งมีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการภายใต้งบประมาณสำรองซึ่งรัฐบาลจัดสรรงบประมาณจำนวน 58,000 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นการเพิ่มรายได้ และการจ้างงาน
(5) การขยายสินเชื่อสู่ SMEs โดยสถาบันการเงินภายใต้การกำกับของรัฐในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องของ SMEs ให้ผ่อนคลายลงได้ระดับหนึ่ง
(6) การออกมาตรการเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่อขนาดย่อมเป็นไปตามเป้าหมาย
(7) มาตรการกระตุ้นการส่งออก และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้เงินตราต่างประเทศ
- มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานเฉลี่ย 200 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อเดือนในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเป็นผลของการดำเนินมาตรการสนับสนุนการส่งออกอย่างต่อเนื่องโดยการหาตลาดใหม่ และการเจรจาทางการค้าของตัวแทนทางการค้า (Thai Trade representatives) เพื่อขยายการค้าในตลาดรอง ประกอบกับนโยบายการเงินอย่างผ่อนปรนในสหรัฐอเมริกา ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาปรับตัวได้ดีขึ้นบ้างในช่วงครึ่งหลังของปี
จากการประเมินสถานการณ์ดังกล่าว สศช. ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2544 จากร้อยละ 3.5-4.0 ในการประมาณการ ณ วันที่ 19 มีนาคม 2544 เป็นร้อยละ 2.0-3.0
การปรับประมาณการหลัก ๆ ประกอบด้วย การปรับลดแนวโน้มการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกและการนำเข้า รวมทั้งปรับลดอัตราการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะไม่สามารถขยายตัวได้มากในกรณีที่การส่งออกลดลง อย่างไรก็ตามการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังถ้าดำเนินการได้ตามเป้าหมายจะช่วยให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวและเป็นปัจจัยผลักดันเศรษฐกิจที่สำคัญ
3. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจปี 2544การประเมินสถานการณ์และประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจแสดงว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2544 จะประสบกับข้อจำกัดด้านการขยายตัวของตลาดโลก ดังนั้นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจและสภาพคล่องที่มาจากการส่งออกซึ่งช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะลดลง นอกจากนี้เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกปี 2544 ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงข้อจำกัดในการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ในขณะที่การเบิกจ่ายของภาครัฐยังต่ำกว่าเป้าหมาย
ดังนั้นนโยบายเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2544 จะต้องเน้นการเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐและติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการเพิ่มความสามารถในการหารายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาศักยภาพในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมการไว้แล้วสำหรับครึ่งปีหลังมีนโยบายสำคัญ ๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน การดำเนินการของ TAMC การขยายสินเชื่อในส่วนของสถาบันการเงินภายใต้การกำกับของรัฐ การค้ำประกันสินเชื่อ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นต้น ประเด็นสำคัญคือ การบริหารจัดการที่ต้องเน้น 2 เรื่อง ได้แก่
(1) การเร่งรัดให้ดำเนินงานได้ตามแผนซึ่งประสบการณ์ในอดีตแสดงว่ากลไกของรัฐยังขาดประสิทธิภาพ
(2) การดูแลให้มีการดำเนินงานอย่างไม่รั่วไหลและโปร่งใส เพื่อไม่ให้นโยบายเป็นภาระและปัญหาในอนาคตนอกจากนั้นมาตรการที่ต้องเริ่มดำเนินการไปพร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น คือ มาตรการระยะยาวที่จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างยั่งยืน ได้แก่ การวางกรอบการทำงานเพื่อเร่งรัดการปรับโครงสร้างการผลิตภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม การจัดให้มีกระบวนการระดับชาติในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการเพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นเครื่องตัดสินขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว การปฏิรูประบบการศึกษาและระบบราชการ โดยจะต้องมีการวางแผนปฏิบัติ และติดตามประเมินผลอย่างเร่งด่วน
--สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-สส-