แท็ก
GDP
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2544 โดยพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product; GDP) ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 1.8 ต่ำกว่าร้อยละ 3.2 ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2543 เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับทุกไตรมาสของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญคือปริมาณการส่งออกสินค้า ลดลงร้อยละ 3.5 การลงทุนภาครัฐ ลดลงร้อยละ 24.4 รวมทั้งการชะลอตัวของการใช้จ่ายของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3.1 อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอยู่ได้คือรายจ่ายประจำของรัฐบาลที่ขยายตัวร้อยละ 0.9 และการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวร้อยละ 10.7
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสนี้มีมูลค่า 1,270 พันล้านบาท เมื่อหักด้วยผลตอบแทนจากปัจจัยการผลิตสุทธิจ่ายออกไปต่างประเทศ 3 พันล้านบาท คงเหลือเป็นผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product; GNP) เท่ากับ 1,267 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 หรือ มูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหลังจากปรับค่าการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลลดลงจากไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ร้อยละ 0.2 2. ด้านการผลิตภาวะการผลิตในไตรมาสนี้ ขยายตัวร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 เป็นผลมาจากการชะลอตัวของทั้งภาคเกษตร และภาคนอกเกษตร
2.1 สาขาเกษตรกรรม
การผลิตสาขาเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ 2.3 เพิ่มขึ้นทุกหมวดการผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับราคาสินค้าเกษตรกรรมโดยเฉลี่ยไม่รวมหมวดประมงในไตรมาสนี้สูงขึ้นร้อยละ 4.8 เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 0.2 ในไตรมาสที่แล้ว ส่วนราคาเฉลี่ยของหมวดประมงสูงขึ้นร้อยละ 5.6 ชะลอลงจากร้อยละ 9.3 ในไตรมาสที่แล้ว
- หมวดพืชผล เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยพืชสำคัญที่มีการขยายตัว ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ถั่วเขียว กาแฟ สับปะรด ผัก และผลไม้ ส่วนพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ อ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะผลผลิตอ้อยลดลงร้อยละ 14.9 เนื่องจากภาวะหนอนกอระบาดในปีการผลิต 2543/2544 ทำให้ผลผลิตอ้อยเสียหายเป็นจำนวนมาก
- หมวดปศุสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เป็นผลมาจากการขยายตัวของปศุสัตว์เกือบทุกชนิดโดยที่มีปริมาณการผลิตขยายตัวสูงที่สุด คือ ไก่เนื้อ เนื่องจากตลาดแถบยุโรปหันมาบริโภคเนื้อไก่ทดแทนเนื้อวัวมากขึ้นส่งผลให้ภาวะไก่สดแช่แข็งส่งออกของไทยขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม โค และกระบือ ยังคงมีปริมาณการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง
- หมวดประมง ขยายตัวร้อยละ 6.7 ตามการขยายตัวของการผลิตกุ้งส่งออก ทั้งในรูปกุ้งสดแช่แข็งและกุ้งแปรรูป เนื่องจากแรงจูงใจของราคาส่งออก และปัญหาโรควัวบ้า ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคในต่างประเทศลดการบริโภคเนื้อวัวลง และหันมาบริโภคอาหารทะเลทดแทนมากขึ้น
2.2 สาขาเหมืองแร่และย่อยหินการผลิตสาขาเหมืองแร่และย่อยหิน ลดลง ร้อยละ 7.0 ตามปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญสูงสุดในหมวดนี้ มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 57.0 ลดลงร้อยละ 9.6 เนื่องจากมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่า นอกจากนี้ผลผลิตแร่ลิกไนต์ หินอ่อน หินแกรนิต หินปูนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมลดลงเช่นเดียวกัน ส่วนการผลิตน้ำมันดิบ ขยายตัวร้อยละ 17.5
2.3 สาขาอุตสาหกรรมการผลิตของสาขาอุตสาหกรรมขยายตัวเพียงร้อยละ 1.3 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้วที่มีการขยายตัวร้อยละ 4.0 เป็นผลมาจากการส่งออกที่ชะลอลงในอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยีตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัวลง ขณะที่อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยบางรายการส่งออกได้เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการอ่อนตัวลงของค่าเงินบาททำให้การแข่งขันโดยเปรียบเทียบสูงขึ้น 2.3.1 อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ขยายตัวร้อยละ 3.1 ที่สำคัญประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เนื่องมาจากการส่งออกที่ดีขึ้น
- อุตสาหกรรมหนังและเครื่องหนัง เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เป็นผลมาจากการส่งออกเครื่องหนังที่สูงขึ้นถึงร้อยละ 40.0 ในไตรมาส
- อุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ที่ยังมีการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4
2.3.2 อุตสาหกรรมวัตถุดิบ มีการผลิตลดลงร้อยละ 0.2 อุตสาหกรรมที่สำคัญประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมัน การผลิตมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 0.7 ชะลอลงจากร้อยละ 10.5 ในไตรมาสที่แล้วเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศที่ลดลง
- อุตสาหกรรมอโลหะ การผลิตลดลงร้อยละ 2.1 เนื่องมาจากอุตสาห-กรรมปูนซีเมนต์มีผลผลิตลดลงตามภาวะการก่อสร้างที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และการส่งออกลดลงในไตรมาสนี้
2.3.3 อุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยี มีการผลิตลดลงร้อยละ 0.1 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและตลาดต่างประเทศสูง แต่ยังมีการขยายตัวที่ดีในบางหมวดที่ตลาดภายในประเทศยังมีการขยายตัวที่สำคัญประกอบด้วย
(1) อุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวลดลง
- อุตสาหกรรมเครื่องจักรและเครื่องใช้สำนักงาน มีอัตราการผลิตลดลงร้อยละ 9.9 เนื่องจากอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของหมวด มีการผลิตลดลงจากการส่งออกที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ
- อุตสาหกรรมเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ มีอัตราการผลิตลดลงร้อยละ 9.5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตโทรทัศน์ที่ลดลงตามภาวะการส่งออกที่หดตัวลงร้อยละ 8.5
(2) อุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
- อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าบางประเภทในหมวดนี้มีการขยายตัวสูง เช่น เครื่องปรับอากาศ มีการส่งออกสูงขึ้นร้อยละ 34.5
- อุตสาหกรรมยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.3 เป็นผลจากยอดจำหน่ายที่ดีขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอลง
2.4 สาขาไฟฟ้า ประปา และโรงแยกก๊าซการผลิตสาขานี้ขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.4 ชะลอลงจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากหมวดไฟฟ้าชะลอลงร้อยละ 6.8 ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ชะลอตัวลงเกือบทุกประเภทผู้ใช้ไฟ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลงตามภาวะการผลิต ในขณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าด้านที่อยู่อาศัย ขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขยายเขตให้บริการ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนหมวดประปาชะลอลงร้อยละ 4.1 สำหรับโรงแยกก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงร้อยละ 8.8 ตามปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติ
2.5 สาขาก่อสร้างการก่อสร้างลดลงร้อยละ 5.5 เนื่องมาจากการก่อสร้างภาครัฐที่มีสัดส่วนร้อยละ 64.4 ลดลงร้อยละ 10.9 ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยขยายตัวร้อยละ 8.4 เนื่องจากมีการก่อสร้างอาคารประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น
2.6 สาขาการค้าส่ง ค้าปลีกสาขาการค้าส่งค้าปลีกขยายตัวร้อยละ
2.5 ตามภาวะการผลิตในประเทศและการนำเข้าสินค้า
2.7 สาขาโรงแรมและภัตตาคาร การผลิตสาขานี้ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงร้อยละ 4.6 เนื่องจากบริการภัตตาคาร ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 68.0 ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 3.1 ขณะเดียวกันธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 32.0 ขยายตัวร้อยละ 8.0 ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง
2.8 สาขาคมนาคมและขนส่งการผลิตสาขาคมนาคมและขนส่ง ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงร้อยละ 3.6 ปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของบริการโทรคมนาคม โดยเฉพาะผลการประกอบการขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ส่วนการขนส่งสินค้าชะลอตัวลงตามภาวะการผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม
2.9 สาขาการเงินและการธนาคารภาวะการเงิน การธนาคาร ในไตรมาสนี้ ขยายตัวร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่มีอัตราการหดตัวร้อยละ 6.4 ถึงแม้ว่าธนาคารพาณิชย์ยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ แต่เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการเงินกันสำรองที่ครบตามเกณฑ์ ทำให้ผลประกอบการหลังจากหักหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญดีขึ้น รวมทั้งมีการกันสำรองครบตามเกณฑ์
3. ด้านการใช้จ่าย
3.1 รายจ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนมูลค่าการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 3.1 ชะลอลงจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยที่สำคัญ เช่น ราคาน้ำมันในประเทศยังอยู่ในระดับสูง แม้จะมีแนวโน้มลดลงจากช่วงที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และรายได้ของครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้หลักจากดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ
- หมวดสินค้าเกษตร มีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 3.4 เนื่องจากผลผลิตผักและผลไม้ออกสู่ตลาดมาก ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน
- หมวดอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องนุ่งห่ม ขยายตัวร้อยละ 2.6 โดยการบริโภคสุราและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับการบริโภคเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ รวมทั้งน้ำมันพืชมีแนวโน้มหดตัวลงร้อยละ 1.0 และการอุปโภคเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายลดลงร้อยละ 1.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
- หมวดยานพาหนะ การใช้จ่ายของครัวเรือนในหมวดนี้ขยายตัวร้อยละ 9.4 ตามปริมาณการซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด
- หมวดไฟฟ้าและประปา ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว โดยมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 10.2 ตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ขยายตัวร้อยละ 10.9 โดยไตรมาสนี้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ขยายเขตการให้บริการเพิ่มขึ้น ในขณะที่การใช้จ่ายหมวดประปาของครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
- หมวดบริการขนส่งและสื่อสาร มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 4.6 เนื่องจากการใช้บริการด้านขนส่งขยายตัวร้อยละ 3.4 และการสื่อสารโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 เป็นผลจากกลยุทธ์ส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่
- หมวดบริการโรงแรมและภัตตาคาร การใช้จ่ายด้านบริการโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้ว โดยขยายตัวร้อยละ 4.9 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
3.2 รายจ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลรายจ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลมีมูลค่า 135,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 และมูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.9 ชะลอลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว โดยชะลอตัวทั้งส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือน ค่าจ้างและค่าตอบแทน และค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการในอัตราร้อยละ 0.2 และ 2.5 ตามลำดับ ทั้งนี้มีปัจจัยสำคัญมาจากผลการดำเนินนโยบายปรับลดจำนวนข้าราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด ทำให้ยอดการเบิกจ่ายเงินเดือนเพิ่มในอัตราชะลอตัว ประกอบกับการเบิกจ่ายเงินกู้ตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (มิยาซาว่า) มีมูลค่าลดลงมาก
3.3 การลงทุนถาวรเบื้องต้นการสะสมทุนถาวรเบื้องต้นหรือการลงทุนลดลงร้อยละ 5.0 เนื่องจากการลงทุนภาครัฐซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 35.5 ลดลงร้อยละ 24.4 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัดส่วนร้อยละ 64.5 ขยายตัวร้อยละ 10.7
- ภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 10.7 เนื่องจากการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักร ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 78.4 ของการลงทุนภาคเอกชนรวม ขยายตัวร้อยละ 11.3 ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินค้าทุนทั้งในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและเครื่องใช้สำนักงาน สำหรับการลงทุนด้านก่อสร้างที่มีสัดส่วนร้อยละ 21.6 ของการลงทุนภาคเอกชนนั้นปรับตัวดีขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 8.4 เนื่องมาจากการขยายตัวของการก่อสร้างประเภทอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ในเขตเทศบาลและเขตองค์การบริหารส่วนตำบล
- ภาครัฐลดลงร้อยละ 24.4 เป็นผลมาจากการลงทุนด้านการก่อสร้างของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีสัดส่วนร้อยละ 70.6 ของการลงทุนภาครัฐรวมลดลงร้อยละ 10.9 อันเนื่องมาจากการลดลงของการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่สำคัญๆ หลายแห่ง เช่น การเลื่อนการลงทุนในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร งานก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้าและงานก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย งานก่อสร้างของบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่จำกัด ความล่าช้าในการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าเครื่องกลขององค์การรถไฟฟ้ามหานคร เป็นต้น ส่วนการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักรมีสัดส่วนร้อยละ 30.4 หดตัวร้อยละ 44.8 ทั้งนี้หากพิจารณาโดยไม่รวมเครื่องบินและอุปกรณ์การบินแล้วการลงทุนรวมของภาครัฐลดลงเพียงร้อยละ 9.6
3.4 มูลค่าส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือมูลค่าส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นรวม 36,129 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากสินค้าคงเหลือของสินค้าอุตสาหกรรมมีจำนวนมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุปกรณ์ ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายมีการเตรียมสินค้าเพื่อรองรับปริมาณการขายที่จะเพิ่มขึ้นจากการจัดกิจกรรมทางการตลาด สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม มีสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากความต้องการใช้ภายในประเทศลดลง ส่วนการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงเหลือในสาขาเกษตรกรรมมีมูลค่าลดลงเพราะพืชหลัก ๆ หลายชนิดได้เก็บเกี่ยวไปมากในไตรมาสที่แล้ว
3.5 การส่งออกสินค้าและบริการรายรับจากการส่งออกสินค้ามีมูลค่า 692,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 หากเทียบเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่า 16,019 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.3 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ส่งออกได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกในราคาที่แท้จริง พบว่าลดลงร้อยละ 3.5รายรับจากบริการ มีมูลค่า 141,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เนื่องมาจากรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และรายรับจากบริการการขนส่งที่เพิ่มขึ้นมา
3.6 การนำเข้าสินค้าและบริการค่าใช้จ่ายในการนำสินค้ามีมูลค่า 689,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.1 เมื่อเทียบเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่า 15,953 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 ต่ำกว่าร้อยละ 42.7 ของไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่าผู้นำเข้ายังคงต้องรับภาระจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าสินค้าในราคาที่แท้จริงพบว่า ลดลงร้อยละ 6.0ค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการจากต่างประเทศ มีมูลค่า 88,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทย และค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น
4. ดุลการค้าและบริการดุลการค้าเกินดุล 2,811 ล้านบาท ลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้วที่เกินดุล 72,180 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องมาจากการชะลอตัวลงของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง แต่อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกยังอยู่ในระดับสูงกว่าการนำเข้า จึงทำให้ดุลการค้าเกินดุล ด้านดุลบริการในไตรมาสนี้เกินดุล 52,949 ล้านบาท ลดลงจากที่เกินดุล 58,390 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องมาจากรายจ่ายด้านการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทย เพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่ารายรับ เมื่อรวมดุลการค้าและบริการแล้วเกินดุล 55,760 ล้านบาท ลดลงจากที่เกินดุล 130,570 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
5. ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสูงขึ้นร้อยละ 2.4 ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 และดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8
--สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-สส-
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสนี้มีมูลค่า 1,270 พันล้านบาท เมื่อหักด้วยผลตอบแทนจากปัจจัยการผลิตสุทธิจ่ายออกไปต่างประเทศ 3 พันล้านบาท คงเหลือเป็นผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product; GNP) เท่ากับ 1,267 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 หรือ มูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหลังจากปรับค่าการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลลดลงจากไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ร้อยละ 0.2 2. ด้านการผลิตภาวะการผลิตในไตรมาสนี้ ขยายตัวร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 เป็นผลมาจากการชะลอตัวของทั้งภาคเกษตร และภาคนอกเกษตร
2.1 สาขาเกษตรกรรม
การผลิตสาขาเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ 2.3 เพิ่มขึ้นทุกหมวดการผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับราคาสินค้าเกษตรกรรมโดยเฉลี่ยไม่รวมหมวดประมงในไตรมาสนี้สูงขึ้นร้อยละ 4.8 เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากร้อยละ 0.2 ในไตรมาสที่แล้ว ส่วนราคาเฉลี่ยของหมวดประมงสูงขึ้นร้อยละ 5.6 ชะลอลงจากร้อยละ 9.3 ในไตรมาสที่แล้ว
- หมวดพืชผล เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยพืชสำคัญที่มีการขยายตัว ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ถั่วเขียว กาแฟ สับปะรด ผัก และผลไม้ ส่วนพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ อ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะผลผลิตอ้อยลดลงร้อยละ 14.9 เนื่องจากภาวะหนอนกอระบาดในปีการผลิต 2543/2544 ทำให้ผลผลิตอ้อยเสียหายเป็นจำนวนมาก
- หมวดปศุสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เป็นผลมาจากการขยายตัวของปศุสัตว์เกือบทุกชนิดโดยที่มีปริมาณการผลิตขยายตัวสูงที่สุด คือ ไก่เนื้อ เนื่องจากตลาดแถบยุโรปหันมาบริโภคเนื้อไก่ทดแทนเนื้อวัวมากขึ้นส่งผลให้ภาวะไก่สดแช่แข็งส่งออกของไทยขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม โค และกระบือ ยังคงมีปริมาณการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง
- หมวดประมง ขยายตัวร้อยละ 6.7 ตามการขยายตัวของการผลิตกุ้งส่งออก ทั้งในรูปกุ้งสดแช่แข็งและกุ้งแปรรูป เนื่องจากแรงจูงใจของราคาส่งออก และปัญหาโรควัวบ้า ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคในต่างประเทศลดการบริโภคเนื้อวัวลง และหันมาบริโภคอาหารทะเลทดแทนมากขึ้น
2.2 สาขาเหมืองแร่และย่อยหินการผลิตสาขาเหมืองแร่และย่อยหิน ลดลง ร้อยละ 7.0 ตามปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญสูงสุดในหมวดนี้ มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 57.0 ลดลงร้อยละ 9.6 เนื่องจากมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่า นอกจากนี้ผลผลิตแร่ลิกไนต์ หินอ่อน หินแกรนิต หินปูนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมลดลงเช่นเดียวกัน ส่วนการผลิตน้ำมันดิบ ขยายตัวร้อยละ 17.5
2.3 สาขาอุตสาหกรรมการผลิตของสาขาอุตสาหกรรมขยายตัวเพียงร้อยละ 1.3 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้วที่มีการขยายตัวร้อยละ 4.0 เป็นผลมาจากการส่งออกที่ชะลอลงในอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยีตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัวลง ขณะที่อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยบางรายการส่งออกได้เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการอ่อนตัวลงของค่าเงินบาททำให้การแข่งขันโดยเปรียบเทียบสูงขึ้น 2.3.1 อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ขยายตัวร้อยละ 3.1 ที่สำคัญประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เนื่องมาจากการส่งออกที่ดีขึ้น
- อุตสาหกรรมหนังและเครื่องหนัง เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เป็นผลมาจากการส่งออกเครื่องหนังที่สูงขึ้นถึงร้อยละ 40.0 ในไตรมาส
- อุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ที่ยังมีการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4
2.3.2 อุตสาหกรรมวัตถุดิบ มีการผลิตลดลงร้อยละ 0.2 อุตสาหกรรมที่สำคัญประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมัน การผลิตมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 0.7 ชะลอลงจากร้อยละ 10.5 ในไตรมาสที่แล้วเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศที่ลดลง
- อุตสาหกรรมอโลหะ การผลิตลดลงร้อยละ 2.1 เนื่องมาจากอุตสาห-กรรมปูนซีเมนต์มีผลผลิตลดลงตามภาวะการก่อสร้างที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และการส่งออกลดลงในไตรมาสนี้
2.3.3 อุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยี มีการผลิตลดลงร้อยละ 0.1 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและตลาดต่างประเทศสูง แต่ยังมีการขยายตัวที่ดีในบางหมวดที่ตลาดภายในประเทศยังมีการขยายตัวที่สำคัญประกอบด้วย
(1) อุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวลดลง
- อุตสาหกรรมเครื่องจักรและเครื่องใช้สำนักงาน มีอัตราการผลิตลดลงร้อยละ 9.9 เนื่องจากอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของหมวด มีการผลิตลดลงจากการส่งออกที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ
- อุตสาหกรรมเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ มีอัตราการผลิตลดลงร้อยละ 9.5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตโทรทัศน์ที่ลดลงตามภาวะการส่งออกที่หดตัวลงร้อยละ 8.5
(2) อุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
- อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าบางประเภทในหมวดนี้มีการขยายตัวสูง เช่น เครื่องปรับอากาศ มีการส่งออกสูงขึ้นร้อยละ 34.5
- อุตสาหกรรมยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.3 เป็นผลจากยอดจำหน่ายที่ดีขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอลง
2.4 สาขาไฟฟ้า ประปา และโรงแยกก๊าซการผลิตสาขานี้ขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.4 ชะลอลงจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากหมวดไฟฟ้าชะลอลงร้อยละ 6.8 ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ชะลอตัวลงเกือบทุกประเภทผู้ใช้ไฟ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลงตามภาวะการผลิต ในขณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าด้านที่อยู่อาศัย ขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขยายเขตให้บริการ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนหมวดประปาชะลอลงร้อยละ 4.1 สำหรับโรงแยกก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงร้อยละ 8.8 ตามปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติ
2.5 สาขาก่อสร้างการก่อสร้างลดลงร้อยละ 5.5 เนื่องมาจากการก่อสร้างภาครัฐที่มีสัดส่วนร้อยละ 64.4 ลดลงร้อยละ 10.9 ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยขยายตัวร้อยละ 8.4 เนื่องจากมีการก่อสร้างอาคารประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น
2.6 สาขาการค้าส่ง ค้าปลีกสาขาการค้าส่งค้าปลีกขยายตัวร้อยละ
2.5 ตามภาวะการผลิตในประเทศและการนำเข้าสินค้า
2.7 สาขาโรงแรมและภัตตาคาร การผลิตสาขานี้ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงร้อยละ 4.6 เนื่องจากบริการภัตตาคาร ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 68.0 ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 3.1 ขณะเดียวกันธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 32.0 ขยายตัวร้อยละ 8.0 ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง
2.8 สาขาคมนาคมและขนส่งการผลิตสาขาคมนาคมและขนส่ง ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงร้อยละ 3.6 ปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของบริการโทรคมนาคม โดยเฉพาะผลการประกอบการขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ส่วนการขนส่งสินค้าชะลอตัวลงตามภาวะการผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม
2.9 สาขาการเงินและการธนาคารภาวะการเงิน การธนาคาร ในไตรมาสนี้ ขยายตัวร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่มีอัตราการหดตัวร้อยละ 6.4 ถึงแม้ว่าธนาคารพาณิชย์ยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ แต่เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการเงินกันสำรองที่ครบตามเกณฑ์ ทำให้ผลประกอบการหลังจากหักหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญดีขึ้น รวมทั้งมีการกันสำรองครบตามเกณฑ์
3. ด้านการใช้จ่าย
3.1 รายจ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนมูลค่าการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 3.1 ชะลอลงจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยที่สำคัญ เช่น ราคาน้ำมันในประเทศยังอยู่ในระดับสูง แม้จะมีแนวโน้มลดลงจากช่วงที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และรายได้ของครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้หลักจากดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ
- หมวดสินค้าเกษตร มีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 3.4 เนื่องจากผลผลิตผักและผลไม้ออกสู่ตลาดมาก ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน
- หมวดอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องนุ่งห่ม ขยายตัวร้อยละ 2.6 โดยการบริโภคสุราและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับการบริโภคเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ รวมทั้งน้ำมันพืชมีแนวโน้มหดตัวลงร้อยละ 1.0 และการอุปโภคเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายลดลงร้อยละ 1.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
- หมวดยานพาหนะ การใช้จ่ายของครัวเรือนในหมวดนี้ขยายตัวร้อยละ 9.4 ตามปริมาณการซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด
- หมวดไฟฟ้าและประปา ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว โดยมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 10.2 ตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ขยายตัวร้อยละ 10.9 โดยไตรมาสนี้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ขยายเขตการให้บริการเพิ่มขึ้น ในขณะที่การใช้จ่ายหมวดประปาของครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7
- หมวดบริการขนส่งและสื่อสาร มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 4.6 เนื่องจากการใช้บริการด้านขนส่งขยายตัวร้อยละ 3.4 และการสื่อสารโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 เป็นผลจากกลยุทธ์ส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่
- หมวดบริการโรงแรมและภัตตาคาร การใช้จ่ายด้านบริการโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้ว โดยขยายตัวร้อยละ 4.9 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
3.2 รายจ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลรายจ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลมีมูลค่า 135,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 และมูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.9 ชะลอลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว โดยชะลอตัวทั้งส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือน ค่าจ้างและค่าตอบแทน และค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการในอัตราร้อยละ 0.2 และ 2.5 ตามลำดับ ทั้งนี้มีปัจจัยสำคัญมาจากผลการดำเนินนโยบายปรับลดจำนวนข้าราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด ทำให้ยอดการเบิกจ่ายเงินเดือนเพิ่มในอัตราชะลอตัว ประกอบกับการเบิกจ่ายเงินกู้ตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (มิยาซาว่า) มีมูลค่าลดลงมาก
3.3 การลงทุนถาวรเบื้องต้นการสะสมทุนถาวรเบื้องต้นหรือการลงทุนลดลงร้อยละ 5.0 เนื่องจากการลงทุนภาครัฐซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 35.5 ลดลงร้อยละ 24.4 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัดส่วนร้อยละ 64.5 ขยายตัวร้อยละ 10.7
- ภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 10.7 เนื่องจากการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักร ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 78.4 ของการลงทุนภาคเอกชนรวม ขยายตัวร้อยละ 11.3 ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินค้าทุนทั้งในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและเครื่องใช้สำนักงาน สำหรับการลงทุนด้านก่อสร้างที่มีสัดส่วนร้อยละ 21.6 ของการลงทุนภาคเอกชนนั้นปรับตัวดีขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 8.4 เนื่องมาจากการขยายตัวของการก่อสร้างประเภทอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ในเขตเทศบาลและเขตองค์การบริหารส่วนตำบล
- ภาครัฐลดลงร้อยละ 24.4 เป็นผลมาจากการลงทุนด้านการก่อสร้างของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีสัดส่วนร้อยละ 70.6 ของการลงทุนภาครัฐรวมลดลงร้อยละ 10.9 อันเนื่องมาจากการลดลงของการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่สำคัญๆ หลายแห่ง เช่น การเลื่อนการลงทุนในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร งานก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้าและงานก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย งานก่อสร้างของบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่จำกัด ความล่าช้าในการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าเครื่องกลขององค์การรถไฟฟ้ามหานคร เป็นต้น ส่วนการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักรมีสัดส่วนร้อยละ 30.4 หดตัวร้อยละ 44.8 ทั้งนี้หากพิจารณาโดยไม่รวมเครื่องบินและอุปกรณ์การบินแล้วการลงทุนรวมของภาครัฐลดลงเพียงร้อยละ 9.6
3.4 มูลค่าส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือมูลค่าส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นรวม 36,129 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากสินค้าคงเหลือของสินค้าอุตสาหกรรมมีจำนวนมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุปกรณ์ ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายมีการเตรียมสินค้าเพื่อรองรับปริมาณการขายที่จะเพิ่มขึ้นจากการจัดกิจกรรมทางการตลาด สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม มีสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากความต้องการใช้ภายในประเทศลดลง ส่วนการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงเหลือในสาขาเกษตรกรรมมีมูลค่าลดลงเพราะพืชหลัก ๆ หลายชนิดได้เก็บเกี่ยวไปมากในไตรมาสที่แล้ว
3.5 การส่งออกสินค้าและบริการรายรับจากการส่งออกสินค้ามีมูลค่า 692,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 หากเทียบเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่า 16,019 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.3 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ส่งออกได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกในราคาที่แท้จริง พบว่าลดลงร้อยละ 3.5รายรับจากบริการ มีมูลค่า 141,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เนื่องมาจากรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และรายรับจากบริการการขนส่งที่เพิ่มขึ้นมา
3.6 การนำเข้าสินค้าและบริการค่าใช้จ่ายในการนำสินค้ามีมูลค่า 689,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.1 เมื่อเทียบเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่า 15,953 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 ต่ำกว่าร้อยละ 42.7 ของไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่าผู้นำเข้ายังคงต้องรับภาระจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าสินค้าในราคาที่แท้จริงพบว่า ลดลงร้อยละ 6.0ค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการจากต่างประเทศ มีมูลค่า 88,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทย และค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น
4. ดุลการค้าและบริการดุลการค้าเกินดุล 2,811 ล้านบาท ลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้วที่เกินดุล 72,180 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องมาจากการชะลอตัวลงของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง แต่อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกยังอยู่ในระดับสูงกว่าการนำเข้า จึงทำให้ดุลการค้าเกินดุล ด้านดุลบริการในไตรมาสนี้เกินดุล 52,949 ล้านบาท ลดลงจากที่เกินดุล 58,390 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องมาจากรายจ่ายด้านการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทย เพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่ารายรับ เมื่อรวมดุลการค้าและบริการแล้วเกินดุล 55,760 ล้านบาท ลดลงจากที่เกินดุล 130,570 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
5. ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสูงขึ้นร้อยละ 2.4 ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 และดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8
--สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-สส-