- สภาพคล่องในตลาดเงินระยะสั้นทรงตัวในระดับสูงในช่วงต้นและกลางสัปดาห์ ก่อนจะตึงตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ แต่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทุกประเภทยังคงปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า
- มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยของตราสารหนี้ในตลาดรองเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทน (Yield ) ของพันธบัตรฯโดยรวมปรับตัวลดลงตามพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางและยาวออกใหม่ที่มีอัตราผลตอบแทนลดลง เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ เนื่องจากความต้องการขายเงินดอลลาร์ สรอ. เพื่อทำกำไรหลังจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า FOMC อาจยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้ สำหรับในช่วงปลายสัปดาห์
- เงินบาทปรับอ่อนค่าลงตามเงินเยน ขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี
สภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ย
สภาพคล่องในตลาดเงินระยะสั้นทรงตัวอยู่ในระดับสูงในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากสถาบันการเงินกลับเข้ามาลงทุนหลังทราบผลดุลเคลียริ่ง แต่อย่างไรก็ตามสภาพคล่องตึงตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์ เนื่องจากสภาพคล่องส่วนหนึ่งติดอยู่ในระบบเคลียริ่งจากการโอนเงินเพื่อจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.บางกอกแลนด์ บมจ.ไอทีวี บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น และบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์เตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเบิกถอนช่วงวันหยุดต่อเนื่อง จึงมีความต้องการกู้ยืมสูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดซื้อคืนพันธบัตรในระยะ 1 และ 7 วัน โดยอัตราดอกเบี้ยเคลื่อนไหวสูงขึ้นอยู่ระหว่างร้อยละ 3.65625 - 3.71875 และ 3.75 - 3.78125 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนระยะ 1 7 และ 14 วัน ปิดตลาดคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงติดต่อกันตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2548 ที่ระดับร้อยละ 3.6875 3.75 และ 3.75 ต่อปี ขณะที่ไม่มีการทำธุรกรรมในตลาดซื้อคืนระยะ 1 เดือน สำหรับอัตราดอกเบี้ย Interbank มีช่วงเคลื่อนไหวกว้างขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ระหว่างร้อยละ 3.4 - 3.82 ขณะที่อัตรากลาง (Mode) ปิดตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 3.68 ต่อปี ในช่วงต้นสัปดาห์ มาอยู่ที่ร้อยละ 3.69 ต่อปี
ตลาดตราสารหนี้
ในรอบสัปดาห์มีการเปิดประมูลตราสารหนี้ภาครัฐรวม 28,500 ล้านบาท เป็นตั๋วเงินคลังอายุ 91 และ 182 วัน วงเงินรวม 10,000 ล้านบาทพันธบัตรรัฐบาลอายุ 4 ปี วงเงิน 1,500 ล้านบาท และพันธบัตร ธปท. อายุ 28 วัน และ 364 วัน วงเงินรวม 13,000 ล้านบาท โดยตราสารระยะสั้น ได้แก่ ตั๋วเงินคลังอายุ 91 วัน พันธบัตร ธปท. อายุ 28 วัน และพันธบัตรรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ส่วนตั๋วเงินคลังอายุ 182 วัน พันธบัตร ธปท. อายุ 364 วันมีอัตราผลตอบแทนลดลง นอกจากนี้ยังมีการประมูลพันธบัตรธนาคารอาคารสงเคราะห์อายุ 3 และ 5 ปี วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท และพันธบัตรองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ อายุ 5 และ 6 ปี วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ในสัปดาห์นี้มีตราสารภาครัฐครบกำหนด 21,000 ล้านบาท จึงมีพันธบัตรหมุนเวียนในตลาดเพิ่มขึ้น 7,500 ล้านบาท
มูลค่าการซื้อขายรวมของตราสารหนี้ในตลาดรองเท่ากับ 80,878 ล้าน บาท คิดเป็น 16,176 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 22 โดยเป็นธุรกรรม Outright ร้อยละ 69 ตราสารหนี้ที่มีมูลค่าซื้อขายมากที่สุด ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง รองลงมาได้แก่ พันธบัตร ธปท. อัตราผลตอบแทน (yield) โดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วตั้งแต่ 1-14 basis points ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นในพันธบัตรระยะสั้นและปานกลางเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอุปทานตั๋วเงินคลังในตลาดแรกประจำเดือน ธ.ค. เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อุปทานของพันธบัตรรัฐบาลลดลงจึงทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนโดยรวมส่งผลให้ดัชนีราคา (Clean price index) ของพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนลดลง 37 และ 42 basis points ตามลำดับ สำหรับ US Treasury Yield ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสสามของปี 2548 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
อัตราแลกเปลี่ยน
เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบๆ ระหว่าง 41.11 - 41.19 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยในช่วงต้นสัปดาห์เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากปลายสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากดุลการค้าในเดือนตุลาคมกลับมาขาดดุลถึง 185 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับในช่วงกลางสัปดาห์ เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการขายเงินดอลลาร์ สรอ. เพื่อทำกำไรหลังจากรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ระบุว่าอาจมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้ตลาดตีความว่า FOMC อาจยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ในระยะเวลาอันใกล้ อย่างไรก็ตาม เงินบาทปรับอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ ตามการอ่อนค่าของเงินเยนซึ่งปรับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากญี่ปุ่นยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืด ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อไป ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก หลังจากดัชนีผู้บริโภคในเดือนตุลาคมฟื้นตัวดีขึ้น และอยู่ในระดับสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ เงินบาทมีค่าเฉลี่ยตลอดสัปดาห์ที่ 41.15 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แทบไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนหน้า
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-
- มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยของตราสารหนี้ในตลาดรองเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทน (Yield ) ของพันธบัตรฯโดยรวมปรับตัวลดลงตามพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางและยาวออกใหม่ที่มีอัตราผลตอบแทนลดลง เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ เนื่องจากความต้องการขายเงินดอลลาร์ สรอ. เพื่อทำกำไรหลังจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า FOMC อาจยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้ สำหรับในช่วงปลายสัปดาห์
- เงินบาทปรับอ่อนค่าลงตามเงินเยน ขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี
สภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ย
สภาพคล่องในตลาดเงินระยะสั้นทรงตัวอยู่ในระดับสูงในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากสถาบันการเงินกลับเข้ามาลงทุนหลังทราบผลดุลเคลียริ่ง แต่อย่างไรก็ตามสภาพคล่องตึงตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์ เนื่องจากสภาพคล่องส่วนหนึ่งติดอยู่ในระบบเคลียริ่งจากการโอนเงินเพื่อจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.บางกอกแลนด์ บมจ.ไอทีวี บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น และบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์เตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเบิกถอนช่วงวันหยุดต่อเนื่อง จึงมีความต้องการกู้ยืมสูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดซื้อคืนพันธบัตรในระยะ 1 และ 7 วัน โดยอัตราดอกเบี้ยเคลื่อนไหวสูงขึ้นอยู่ระหว่างร้อยละ 3.65625 - 3.71875 และ 3.75 - 3.78125 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนระยะ 1 7 และ 14 วัน ปิดตลาดคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงติดต่อกันตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2548 ที่ระดับร้อยละ 3.6875 3.75 และ 3.75 ต่อปี ขณะที่ไม่มีการทำธุรกรรมในตลาดซื้อคืนระยะ 1 เดือน สำหรับอัตราดอกเบี้ย Interbank มีช่วงเคลื่อนไหวกว้างขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ระหว่างร้อยละ 3.4 - 3.82 ขณะที่อัตรากลาง (Mode) ปิดตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 3.68 ต่อปี ในช่วงต้นสัปดาห์ มาอยู่ที่ร้อยละ 3.69 ต่อปี
ตลาดตราสารหนี้
ในรอบสัปดาห์มีการเปิดประมูลตราสารหนี้ภาครัฐรวม 28,500 ล้านบาท เป็นตั๋วเงินคลังอายุ 91 และ 182 วัน วงเงินรวม 10,000 ล้านบาทพันธบัตรรัฐบาลอายุ 4 ปี วงเงิน 1,500 ล้านบาท และพันธบัตร ธปท. อายุ 28 วัน และ 364 วัน วงเงินรวม 13,000 ล้านบาท โดยตราสารระยะสั้น ได้แก่ ตั๋วเงินคลังอายุ 91 วัน พันธบัตร ธปท. อายุ 28 วัน และพันธบัตรรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ส่วนตั๋วเงินคลังอายุ 182 วัน พันธบัตร ธปท. อายุ 364 วันมีอัตราผลตอบแทนลดลง นอกจากนี้ยังมีการประมูลพันธบัตรธนาคารอาคารสงเคราะห์อายุ 3 และ 5 ปี วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท และพันธบัตรองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ อายุ 5 และ 6 ปี วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ในสัปดาห์นี้มีตราสารภาครัฐครบกำหนด 21,000 ล้านบาท จึงมีพันธบัตรหมุนเวียนในตลาดเพิ่มขึ้น 7,500 ล้านบาท
มูลค่าการซื้อขายรวมของตราสารหนี้ในตลาดรองเท่ากับ 80,878 ล้าน บาท คิดเป็น 16,176 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 22 โดยเป็นธุรกรรม Outright ร้อยละ 69 ตราสารหนี้ที่มีมูลค่าซื้อขายมากที่สุด ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง รองลงมาได้แก่ พันธบัตร ธปท. อัตราผลตอบแทน (yield) โดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วตั้งแต่ 1-14 basis points ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นในพันธบัตรระยะสั้นและปานกลางเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอุปทานตั๋วเงินคลังในตลาดแรกประจำเดือน ธ.ค. เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อุปทานของพันธบัตรรัฐบาลลดลงจึงทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนโดยรวมส่งผลให้ดัชนีราคา (Clean price index) ของพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนลดลง 37 และ 42 basis points ตามลำดับ สำหรับ US Treasury Yield ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสสามของปี 2548 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
อัตราแลกเปลี่ยน
เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบๆ ระหว่าง 41.11 - 41.19 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยในช่วงต้นสัปดาห์เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากปลายสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากดุลการค้าในเดือนตุลาคมกลับมาขาดดุลถึง 185 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับในช่วงกลางสัปดาห์ เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการขายเงินดอลลาร์ สรอ. เพื่อทำกำไรหลังจากรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ระบุว่าอาจมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้ตลาดตีความว่า FOMC อาจยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ในระยะเวลาอันใกล้ อย่างไรก็ตาม เงินบาทปรับอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ ตามการอ่อนค่าของเงินเยนซึ่งปรับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากญี่ปุ่นยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืด ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อไป ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก หลังจากดัชนีผู้บริโภคในเดือนตุลาคมฟื้นตัวดีขึ้น และอยู่ในระดับสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ เงินบาทมีค่าเฉลี่ยตลอดสัปดาห์ที่ 41.15 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แทบไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนหน้า
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-