-อัตราดอกเบี้ย R/P 1 วัน เคลื่อนไหวตามความต้องการลงทุนและกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ ระหว่างร้อยละ 1.78125-1.875 ต่อปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ย R/P 7 และ 14 วัน ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลง
- มูลค่าซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองและดัชนีราคาปรับตัวสูงขึ้น อัตราผลตอบแทน (Yield ) พันธบัตรฯ มีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นพันธบัตรอายุคงเหลือต่ำกว่า 1 ปี ที่ yield เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- เงินบาทมีค่าเฉลี่ยอ่อนลงอย่างมากจากค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินในภูมิภาค การขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ และตัวเลขการขาดดุลการค้าในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นมากจากการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การขายเงินดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกไทย และการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี
สภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ย
ความต้องการกู้ยืมในตลาดเงินระยะสั้นเพิ่มสูงขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีการขาดดุลเคลียริ่ง จึงมีความต้องการกู้ยืมหนาแน่นในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน อัตราดอกเบี้ยระยะ
ดังกล่าวจึงปิดตลาดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.75 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 1.78125 -1.875 ต่อปี ในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์มีการนำสภาพคล่องส่วนเกินจากการสำรองเงินเพื่อรองรับการเบิกถอนของลูกค้าในช่วงสิ้นเดือนมาลงทุน โดยเฉพาะในตลาดซื้อคืนระยะ 1 วัน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะดังกล่าวปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 1.84375 ต่อปี ในวันศุกร์ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะ 7 และ 14 วัน ปิดตลาดคงที่ตลอด
สัปดาห์ที่ร้อยละ 2 และ 2.25 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับอัตราดอกเบี้ย Interbank มีช่วงเคลื่อนไหวลดลงจากสัปดาห์ก่อนมาอยู่ระหว่างร้อยละ 1.65 - 2.1 และอัตรากลาง (Mode) ปิดตลาดลดลงเล็กน้อยมาอยู่ระหว่างร้อยละ 1.85 - 1.9 ต่อปี
ตลาดตราสารหนี้
ในรอบสัปดาห์มีการเปิดประมูลตราสารหนี้ภาครัฐรวม 33,500 ล้านบาท โดยเป็นตั๋วเงินคลัง อายุ 91 และ 182 วัน วงเงินรวม 11,000 ล้านบาท พันธบัตร ธปท. อายุ 28 63 และ 364 วัน วงเงินรวม 18,000 ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาล อายุ 7 และ 15 ปี วงเงินรวม 2,500 ล้านบาท ตราสารส่วน
ใหญ่มีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ยกเว้นพันธบัตรรัฐบาลที่มีอัตราผลตอบแทนลดลงตามสัดส่วนเสนอประมูลที่ค่อนข้างสูง และนอกจากนี้ยังมีการประมูลพันธบัตรธนาคารอาคารสงเคราะห์อายุ 3 และ 5 ปี วงเงินรวม 2,000 ล้านบาทด้วย ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2548 ธอส. ได้รับอนุมัติให้ออกพันธบัตรรวม 39,000 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปี 2548 ธอส.ได้ออกพันธบัตรรวมทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยออกตลอดปีงบประมาณ มูลค่าซื้อขายรวมของตราสารหนี้ในตลาดรองเท่ากับ 88,476 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเท่ากับ 17,695 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.9 เป็นธุรกรรม Outright ร้อยละ 81.7 การซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองสัปดาห์นี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น โดยในต้นสัปดาห์มีการซื้อขายเบาบาง แต่กลับมามีปริมาณซื้อขายหนาแน่นในวันศุกร์ทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น ตราสารหนี้ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดได้แก่ พันธบัตร ธปท. รองลงมาเป็นตั๋วเงินคลัง ดัชนีราคา (Clean price index) ของพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนเพิ่มขึ้น 26 และ 6 basis points ตามลำดับ
อัตราผลตอบแทนโดยรวม (yield) ของพันธบัตรฯ ในสัปดาห์นี้มีทิศทางปรับลดลง ณ สิ้นสัปดาห์พันธบัตรฯ อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปมีอัตราผลตอบแทนลดลง 0-8 basis points พันธบัตรฯ อายุต่ำกว่า 1 ปี มีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1-2 basis points สำหรับอัตราผลตอบแทนของ US Treasury ทุกช่วงอายุปรับตัวลดลง 3-17 basis points ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประกาศอออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ ทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาสสี่และการจ้างงานนอกภาคเกษตร ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed คงจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วกว่าปกติ
อัตราแลกเปลี่ยน
เงินบาทมีค่าเฉลี่ยตลอดสัปดาห์ที่ 39.17 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงจากค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนหน้าอย่างมากร้อยละ 1.3 โดยเงินบาทในต้นสัปดาห์อ่อนค่าลงค่อนข้างมากจากปลายสัปดาห์ก่อนหน้าและต่อเนื่องจนถึงกลางสัปดาห์ ตามค่าเงินในภูมิภาคที่ปรับอ่อนค่าลงเนื่องจากผลกระทบทางจิตวิทยาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศอินโดนีเซีย และการอ่อนค่าของเงินเยนเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นออกมาไม่ดีนัก นอกจากนี้เงินบาทยังถูกกดดันจากการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่องตลอด 2 สัปดาห์ ในขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้มีแรงซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. เพื่อเก็งกำไรเป็นจำนวนมากในตลาดต่างประเทศ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เงินบาทปรับอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2547 ที่ระดับ 39.32 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในวันพุธ ก่อนจะปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในวันพฤหัสบดีตามการฟื้นตัวของค่าเงินในภูมิภาค ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนจากแรงขายเงินดอลลาร์ สรอ. จากผู้ส่งออก และการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ไทย อย่างไรก็ตาม เงินบาทปรับอ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากการประกาศดุลการค้าในเดือนกุมภาพันธ์ที่ขาดดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในขณะเดียวกัน นักลงทุนชะลอการถือครองเงินดอลลาร์ สรอ. ในช่วงปลายสัปดาห์ เพื่อรอการประกาศตัวเลขการจ้างนอกงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกุมภาพันธ์ออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดเป็นจำนวนมาก คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินดอลลาร์ สรอ.ในสัปดาห์ต่อไป
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-
- มูลค่าซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองและดัชนีราคาปรับตัวสูงขึ้น อัตราผลตอบแทน (Yield ) พันธบัตรฯ มีทิศทางปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นพันธบัตรอายุคงเหลือต่ำกว่า 1 ปี ที่ yield เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- เงินบาทมีค่าเฉลี่ยอ่อนลงอย่างมากจากค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินในภูมิภาค การขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ และตัวเลขการขาดดุลการค้าในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นมากจากการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การขายเงินดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออกไทย และการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี
สภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ย
ความต้องการกู้ยืมในตลาดเงินระยะสั้นเพิ่มสูงขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีการขาดดุลเคลียริ่ง จึงมีความต้องการกู้ยืมหนาแน่นในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน อัตราดอกเบี้ยระยะ
ดังกล่าวจึงปิดตลาดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.75 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 1.78125 -1.875 ต่อปี ในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์มีการนำสภาพคล่องส่วนเกินจากการสำรองเงินเพื่อรองรับการเบิกถอนของลูกค้าในช่วงสิ้นเดือนมาลงทุน โดยเฉพาะในตลาดซื้อคืนระยะ 1 วัน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะดังกล่าวปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 1.84375 ต่อปี ในวันศุกร์ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะ 7 และ 14 วัน ปิดตลาดคงที่ตลอด
สัปดาห์ที่ร้อยละ 2 และ 2.25 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับอัตราดอกเบี้ย Interbank มีช่วงเคลื่อนไหวลดลงจากสัปดาห์ก่อนมาอยู่ระหว่างร้อยละ 1.65 - 2.1 และอัตรากลาง (Mode) ปิดตลาดลดลงเล็กน้อยมาอยู่ระหว่างร้อยละ 1.85 - 1.9 ต่อปี
ตลาดตราสารหนี้
ในรอบสัปดาห์มีการเปิดประมูลตราสารหนี้ภาครัฐรวม 33,500 ล้านบาท โดยเป็นตั๋วเงินคลัง อายุ 91 และ 182 วัน วงเงินรวม 11,000 ล้านบาท พันธบัตร ธปท. อายุ 28 63 และ 364 วัน วงเงินรวม 18,000 ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาล อายุ 7 และ 15 ปี วงเงินรวม 2,500 ล้านบาท ตราสารส่วน
ใหญ่มีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ยกเว้นพันธบัตรรัฐบาลที่มีอัตราผลตอบแทนลดลงตามสัดส่วนเสนอประมูลที่ค่อนข้างสูง และนอกจากนี้ยังมีการประมูลพันธบัตรธนาคารอาคารสงเคราะห์อายุ 3 และ 5 ปี วงเงินรวม 2,000 ล้านบาทด้วย ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2548 ธอส. ได้รับอนุมัติให้ออกพันธบัตรรวม 39,000 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปี 2548 ธอส.ได้ออกพันธบัตรรวมทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยออกตลอดปีงบประมาณ มูลค่าซื้อขายรวมของตราสารหนี้ในตลาดรองเท่ากับ 88,476 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเท่ากับ 17,695 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.9 เป็นธุรกรรม Outright ร้อยละ 81.7 การซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองสัปดาห์นี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น โดยในต้นสัปดาห์มีการซื้อขายเบาบาง แต่กลับมามีปริมาณซื้อขายหนาแน่นในวันศุกร์ทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น ตราสารหนี้ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดได้แก่ พันธบัตร ธปท. รองลงมาเป็นตั๋วเงินคลัง ดัชนีราคา (Clean price index) ของพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนเพิ่มขึ้น 26 และ 6 basis points ตามลำดับ
อัตราผลตอบแทนโดยรวม (yield) ของพันธบัตรฯ ในสัปดาห์นี้มีทิศทางปรับลดลง ณ สิ้นสัปดาห์พันธบัตรฯ อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปมีอัตราผลตอบแทนลดลง 0-8 basis points พันธบัตรฯ อายุต่ำกว่า 1 ปี มีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1-2 basis points สำหรับอัตราผลตอบแทนของ US Treasury ทุกช่วงอายุปรับตัวลดลง 3-17 basis points ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประกาศอออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ ทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาสสี่และการจ้างงานนอกภาคเกษตร ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed คงจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วกว่าปกติ
อัตราแลกเปลี่ยน
เงินบาทมีค่าเฉลี่ยตลอดสัปดาห์ที่ 39.17 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงจากค่าเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนหน้าอย่างมากร้อยละ 1.3 โดยเงินบาทในต้นสัปดาห์อ่อนค่าลงค่อนข้างมากจากปลายสัปดาห์ก่อนหน้าและต่อเนื่องจนถึงกลางสัปดาห์ ตามค่าเงินในภูมิภาคที่ปรับอ่อนค่าลงเนื่องจากผลกระทบทางจิตวิทยาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศอินโดนีเซีย และการอ่อนค่าของเงินเยนเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นออกมาไม่ดีนัก นอกจากนี้เงินบาทยังถูกกดดันจากการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่องตลอด 2 สัปดาห์ ในขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้มีแรงซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. เพื่อเก็งกำไรเป็นจำนวนมากในตลาดต่างประเทศ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เงินบาทปรับอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2547 ที่ระดับ 39.32 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในวันพุธ ก่อนจะปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในวันพฤหัสบดีตามการฟื้นตัวของค่าเงินในภูมิภาค ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนจากแรงขายเงินดอลลาร์ สรอ. จากผู้ส่งออก และการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ไทย อย่างไรก็ตาม เงินบาทปรับอ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากการประกาศดุลการค้าในเดือนกุมภาพันธ์ที่ขาดดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในขณะเดียวกัน นักลงทุนชะลอการถือครองเงินดอลลาร์ สรอ. ในช่วงปลายสัปดาห์ เพื่อรอการประกาศตัวเลขการจ้างนอกงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกุมภาพันธ์ออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดเป็นจำนวนมาก คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินดอลลาร์ สรอ.ในสัปดาห์ต่อไป
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-