เมื่อ 30 มี.ค.48 นายสันติ บางอ้อ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางดำเนินการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ โดยที่ประชุมเห็นชอบให้นำร่างแนวทางการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ เสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (กก.สศช.) และให้มีการทดลองปรับใช้กับหน่วยงานตัวอย่างก่อนจัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ และการนำไปสู่การปฏิบัติ หลังจากนั้นจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการเทียบเท่าให้ความเห็นชอบ และจัดทำเป็นคู่มือแจกจ่ายหน่วยงานต่อไป
ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงบประมาณ(สงป.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กรมบัญชีกลาง และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
รองเลขาธิการฯ กล่าวว่า พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับมาตรา 22 ให้ สศช. และสำนักงบประมาณ ร่วมกันศึกษาจัดทำแนวทางดำเนินการประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐ จึงมีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้น โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้ร่วมประชุมเป็นระยะตลอดมา จนถึงปัจจุบันได้จัดทำเอกสารแนวทางการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐใช้เป็นแนวทางการประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจด้วยตนเอง และใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานผลการประเมินความคุ้มค่า เพื่อประกอบการพิจารณาทบทวนการปฏิบัติภารกิจ และการจัดตั้งงบประมาณสำหรับปีงบประมาณต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับกรอบแนวคิด การประเมินความคุ้มค่า หมายถึง การประเมินการดำเนินภารกิจของภาครัฐเพื่อให้ได้ผลผลิต ผลลัพธ์ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลประโยชน์ที่สมดุลกับทรัพยากรที่ใช้ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นได้ทั้งผลสำเร็จที่พึงประสงค์ และผลกระทบในทางลบที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนและสังคม ทั้งที่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่ได้
วัตถุประสงค์ของการประเมินความคุ้มค่า มุ่งให้ส่วนราชการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจด้วยตนเอง (Self-assessment) เพื่อประเมินว่าการปฏิบัติภารกิจมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนและภาครัฐ มากหรือน้อยกว่าค่าใช้จ่ายและผลเสียที่เกิดขึ้นเพียงใด และเป็นข้อมูลสำหรับส่วนราชการในการทบทวนจัดลำดับความสำคัญในการเลือกปฏิบัติภารกิจ หรือเป็นข้อมูลสำหรับรัฐบาลเพื่อพิจารณายุบเลิกภารกิจ หรือปรับปรุงวิธีการปฏิบัติภารกิจ (Self-improvement) ให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นแนวทางในการพิจารณาจัดตั้งงบประมาณของส่วนราชการในปีต่อไป (Self-control)
กรอบการประเมินความคุ้มค่า ให้ความสำคัญกับประเด็นการทำงานใน 3 มิติ ได้แก่ มิติประสิทธิผล ควบคู่ไปกับมิติประสิทธิภาพ และมิติผลกระทบ ซึ่ง 1) ประสิทธิผลการปฏิบัติภารกิจ เป็นการประเมินการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการปฏิบัติภารกิจ โดยพิจารณาจากตัวชี้วัด 3 ด้าน ได้แก่ การบรรลุวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติภารกิจ ความพึงพอใจ และคุณภาพการให้บริการ 2) ประสิทธิภาพการปฏิบัติภารกิจ หมายถึง การประเมินความเหมาะสมสอดคล้องของการใช้ทรัพยากรและกระบวนการทำงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตตามวัตถุประสงค์ มีตัวชี้วัด 2 ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพการผลิต และการประหยัด 3) ผลกระทบ หมายถึง ผลอันสืบเนื่องจากการปฏิบัติภารกิจ ทั้งที่คาดหมายและไม่ได้คาดหมาย ได้แก่ ผลกระทบต่อประชาชน สังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และ ผลกระทบด้านอื่นๆ
ความเชื่อมโยงระหว่างการประเมินความคุ้มค่าฯ กับการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ มีความเชื่อมโยงกันดังนี้ 1) การประเมินผลการปฏิบัติราชการ ยึดเป้าประสงค์และยุทธศาสตร์ของหน่วยงานเป็นกรอบในการประเมิน เน้นใน 4 มิติ คือ ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ คุณภาพการให้บริการ และการพัฒนาองค์กร ตามหลักการประเมินแบบสมดุล การประเมินในส่วนนี้ ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการ 2) การประเมินความคุ้มค่า เป็นการประเมินในระดับผลกระทบและผลลัพธ์ ซึ่งเชื่อมโยงต่อยอดจากการประเมินการปฏิบัติราชการ การประเมินความคุ้มค่าฯ จะดำเนินการทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงาน การประเมินผลในส่วนนี้ สศช. และ สงป. ร่วมกันกำหนดกรอบแนวทางการประเมิน
ตัวชี้วัดในการประเมินความคุ้มค่า เนื่องจากภารกิจของหน่วยงานมีความแตกต่างกัน จึงกำหนดตัวชี้วัดในการประเมินความคุ้มค่า 2 ลักษณะ โดยตัวชี้วัดหลัก เป็นตัวชี้วัดที่ทุกหน่วยงานสามารถใช้ร่วมกันได้ ส่วนตัวชี้วัดเสริม ใช้ในกรณีที่ภารกิจของหน่วยงานไม่สามารถประเมินผลประโยชน์เป็นตัวเลขชัดเจน หรือเป็นภารกิจที่จัดทำเป็นโครงการซึ่งมีข้อจำกัดในการประเมินผลประโยชน์เป็นมูลค่าที่ชัดเจนได้โดยตรง
ตัวชี้วัดหลัก ในมิติการประเมินประสิทธิภาพ ประกอบด้วย ต้นทุนต่อหน่วย สัดส่วนผลผลิตต่อทรัพยากร สัดส่วนค่าใช้จ่ายจริงต่อค่าใช้จ่ายตามแผน มิติการประเมินประสิทธิผล ประกอบด้วย ระดับความสำเร็จในการบรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมาย ระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ประโยชน์ และคุณภาพการให้บริการ และในมิติการประเมินผลกระทบ หน่วยงานจะต้องประเมินผลกระทบต่อประชาชนภายหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติภารกิจ โดยกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน และถ้าการปฏิบัติภารกิจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ต่อสังคม หรือต่อสิ่งแวดล้อม ก็ให้กำหนดตัวชี้วัดและทำการประเมินผลด้วย รวมทั้งต้องมีการวิเคราะห์ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานจากการใช้งบประมาณ โดยหน่วยงานจะต้องนำผลการวิเคราะห์ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานจากการใช้งบประมาณ มาประกอบการอธิบายความคุ้มค่าของการปฏิบัติภารกิจด้วย
ส่วนตัวชี้วัดเสริม ได้แก่ การวัดต้นทุน-ผลตอบแทน(Cost — Effectiveness) เป็นตัวชี้วัดเสริมสำหรับภารกิจที่ไม่สามารถประเมินผลประโยชน์เป็นตัวเลขได้ชัดเจน และ ต้นทุน-ประสิทธิภาพ (benefit-cost Ratio) ใช้ในกรณีที่ภารกิจของหน่วยงานเป็นการดำเนินโครงการ ถ้าโครงการไม่สามารถคำนวณผลประโยชน์หรือผลเสียเป็นมูลค่าได้ ให้ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบและขนาดของผลกระทบให้ชัดเจน
กลไกการประเมินความคุ้มค่า กลไกที่เกี่ยวข้องในการประเมินและรายงานผลการประเมินความคุ้มค่า ประกอบด้วยกลไก 2 ระดับ 1) กลไกระดับนโยบาย คือ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ เป็นกลไกในรูปคณะกรรมการระดับชาติที่มีรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นประธาน สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นฝ่ายเลขานุการ ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับการประเมินความคุ้มค่า และ 2) กลไกระดับหน่วยงาน โดยเป็นการตั้งคณะทำงานขึ้นภายในหน่วยงาน โดยมีกลุ่มงาน ก.พ.ร. ของหน่วยงานเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงาน และเป็นตัวหลักรับผิดชอบการประสานผลักดันการประเมินความคุ้มค่าฯ ภายในหน่วยงานซึ่งรวมถึงการจัดทำและรายงานผลต่อคณะกรรมการระดับนโยบาย
ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐจะต้องประเมินความคุ้มค่าในการทำงาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ ก่อนการดำเนินงาน ระหว่างการดำเนินงาน และภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินงาน
รองเลขาธิการฯ กล่าวในที่สุดว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้นำร่างแนวทางการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ เสนอต่อ กก.สศช. จากนั้นให้มีการคัดเลือกส่วนราชการต่างๆ ประมาณ 2-3 หน่วยงาน เพื่อจัดทำตัวอย่างการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ ในการนำไปสู่การปฏิบัติ และนำมาปรับปรุงก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการเทียบเท่าต่อไป
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-
ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงบประมาณ(สงป.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กรมบัญชีกลาง และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
รองเลขาธิการฯ กล่าวว่า พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับมาตรา 22 ให้ สศช. และสำนักงบประมาณ ร่วมกันศึกษาจัดทำแนวทางดำเนินการประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐ จึงมีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้น โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้ร่วมประชุมเป็นระยะตลอดมา จนถึงปัจจุบันได้จัดทำเอกสารแนวทางการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐใช้เป็นแนวทางการประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจด้วยตนเอง และใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานผลการประเมินความคุ้มค่า เพื่อประกอบการพิจารณาทบทวนการปฏิบัติภารกิจ และการจัดตั้งงบประมาณสำหรับปีงบประมาณต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับกรอบแนวคิด การประเมินความคุ้มค่า หมายถึง การประเมินการดำเนินภารกิจของภาครัฐเพื่อให้ได้ผลผลิต ผลลัพธ์ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลประโยชน์ที่สมดุลกับทรัพยากรที่ใช้ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นได้ทั้งผลสำเร็จที่พึงประสงค์ และผลกระทบในทางลบที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนและสังคม ทั้งที่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้และไม่ได้
วัตถุประสงค์ของการประเมินความคุ้มค่า มุ่งให้ส่วนราชการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจด้วยตนเอง (Self-assessment) เพื่อประเมินว่าการปฏิบัติภารกิจมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนและภาครัฐ มากหรือน้อยกว่าค่าใช้จ่ายและผลเสียที่เกิดขึ้นเพียงใด และเป็นข้อมูลสำหรับส่วนราชการในการทบทวนจัดลำดับความสำคัญในการเลือกปฏิบัติภารกิจ หรือเป็นข้อมูลสำหรับรัฐบาลเพื่อพิจารณายุบเลิกภารกิจ หรือปรับปรุงวิธีการปฏิบัติภารกิจ (Self-improvement) ให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นแนวทางในการพิจารณาจัดตั้งงบประมาณของส่วนราชการในปีต่อไป (Self-control)
กรอบการประเมินความคุ้มค่า ให้ความสำคัญกับประเด็นการทำงานใน 3 มิติ ได้แก่ มิติประสิทธิผล ควบคู่ไปกับมิติประสิทธิภาพ และมิติผลกระทบ ซึ่ง 1) ประสิทธิผลการปฏิบัติภารกิจ เป็นการประเมินการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการปฏิบัติภารกิจ โดยพิจารณาจากตัวชี้วัด 3 ด้าน ได้แก่ การบรรลุวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติภารกิจ ความพึงพอใจ และคุณภาพการให้บริการ 2) ประสิทธิภาพการปฏิบัติภารกิจ หมายถึง การประเมินความเหมาะสมสอดคล้องของการใช้ทรัพยากรและกระบวนการทำงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตตามวัตถุประสงค์ มีตัวชี้วัด 2 ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพการผลิต และการประหยัด 3) ผลกระทบ หมายถึง ผลอันสืบเนื่องจากการปฏิบัติภารกิจ ทั้งที่คาดหมายและไม่ได้คาดหมาย ได้แก่ ผลกระทบต่อประชาชน สังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และ ผลกระทบด้านอื่นๆ
ความเชื่อมโยงระหว่างการประเมินความคุ้มค่าฯ กับการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ มีความเชื่อมโยงกันดังนี้ 1) การประเมินผลการปฏิบัติราชการ ยึดเป้าประสงค์และยุทธศาสตร์ของหน่วยงานเป็นกรอบในการประเมิน เน้นใน 4 มิติ คือ ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ คุณภาพการให้บริการ และการพัฒนาองค์กร ตามหลักการประเมินแบบสมดุล การประเมินในส่วนนี้ ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการ 2) การประเมินความคุ้มค่า เป็นการประเมินในระดับผลกระทบและผลลัพธ์ ซึ่งเชื่อมโยงต่อยอดจากการประเมินการปฏิบัติราชการ การประเมินความคุ้มค่าฯ จะดำเนินการทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงาน การประเมินผลในส่วนนี้ สศช. และ สงป. ร่วมกันกำหนดกรอบแนวทางการประเมิน
ตัวชี้วัดในการประเมินความคุ้มค่า เนื่องจากภารกิจของหน่วยงานมีความแตกต่างกัน จึงกำหนดตัวชี้วัดในการประเมินความคุ้มค่า 2 ลักษณะ โดยตัวชี้วัดหลัก เป็นตัวชี้วัดที่ทุกหน่วยงานสามารถใช้ร่วมกันได้ ส่วนตัวชี้วัดเสริม ใช้ในกรณีที่ภารกิจของหน่วยงานไม่สามารถประเมินผลประโยชน์เป็นตัวเลขชัดเจน หรือเป็นภารกิจที่จัดทำเป็นโครงการซึ่งมีข้อจำกัดในการประเมินผลประโยชน์เป็นมูลค่าที่ชัดเจนได้โดยตรง
ตัวชี้วัดหลัก ในมิติการประเมินประสิทธิภาพ ประกอบด้วย ต้นทุนต่อหน่วย สัดส่วนผลผลิตต่อทรัพยากร สัดส่วนค่าใช้จ่ายจริงต่อค่าใช้จ่ายตามแผน มิติการประเมินประสิทธิผล ประกอบด้วย ระดับความสำเร็จในการบรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมาย ระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ประโยชน์ และคุณภาพการให้บริการ และในมิติการประเมินผลกระทบ หน่วยงานจะต้องประเมินผลกระทบต่อประชาชนภายหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติภารกิจ โดยกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน และถ้าการปฏิบัติภารกิจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ต่อสังคม หรือต่อสิ่งแวดล้อม ก็ให้กำหนดตัวชี้วัดและทำการประเมินผลด้วย รวมทั้งต้องมีการวิเคราะห์ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานจากการใช้งบประมาณ โดยหน่วยงานจะต้องนำผลการวิเคราะห์ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานจากการใช้งบประมาณ มาประกอบการอธิบายความคุ้มค่าของการปฏิบัติภารกิจด้วย
ส่วนตัวชี้วัดเสริม ได้แก่ การวัดต้นทุน-ผลตอบแทน(Cost — Effectiveness) เป็นตัวชี้วัดเสริมสำหรับภารกิจที่ไม่สามารถประเมินผลประโยชน์เป็นตัวเลขได้ชัดเจน และ ต้นทุน-ประสิทธิภาพ (benefit-cost Ratio) ใช้ในกรณีที่ภารกิจของหน่วยงานเป็นการดำเนินโครงการ ถ้าโครงการไม่สามารถคำนวณผลประโยชน์หรือผลเสียเป็นมูลค่าได้ ให้ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบและขนาดของผลกระทบให้ชัดเจน
กลไกการประเมินความคุ้มค่า กลไกที่เกี่ยวข้องในการประเมินและรายงานผลการประเมินความคุ้มค่า ประกอบด้วยกลไก 2 ระดับ 1) กลไกระดับนโยบาย คือ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ เป็นกลไกในรูปคณะกรรมการระดับชาติที่มีรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นประธาน สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นฝ่ายเลขานุการ ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับการประเมินความคุ้มค่า และ 2) กลไกระดับหน่วยงาน โดยเป็นการตั้งคณะทำงานขึ้นภายในหน่วยงาน โดยมีกลุ่มงาน ก.พ.ร. ของหน่วยงานเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงาน และเป็นตัวหลักรับผิดชอบการประสานผลักดันการประเมินความคุ้มค่าฯ ภายในหน่วยงานซึ่งรวมถึงการจัดทำและรายงานผลต่อคณะกรรมการระดับนโยบาย
ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐจะต้องประเมินความคุ้มค่าในการทำงาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ ก่อนการดำเนินงาน ระหว่างการดำเนินงาน และภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินงาน
รองเลขาธิการฯ กล่าวในที่สุดว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้นำร่างแนวทางการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ เสนอต่อ กก.สศช. จากนั้นให้มีการคัดเลือกส่วนราชการต่างๆ ประมาณ 2-3 หน่วยงาน เพื่อจัดทำตัวอย่างการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของรัฐ ในการนำไปสู่การปฏิบัติ และนำมาปรับปรุงก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการเทียบเท่าต่อไป
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-