เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2567 และแนวโน้มปี 2568

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 17, 2025 09:43 —สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2567 และแนวโน้มปี 2568

Q4/2024

NESDCECONOMICREPORT

2024ภาวะเศรษฐกิ กิจไทยไตรมาสที่ ที่สี่ สี่ ทั้ ทั้งปี 2567และแนวโน้ น้มปี 2568

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2567 และแนวโน้มปี 2568

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.0 ในไตรมาสที่สามของปี 2567 (%YoY) เมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี 2567 ร้อยละ 0.4 (%QoQ_SA)

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2567 และแนวโน้มปี 2568

การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่ให้ต่ากว่าร้อยละ 75 ของกรอบงบลงทุนรวม

การสร้างการรับรู้มาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ลูกหนี้โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจ SMEs ได้รับความช่วยเหลือ ในการปรับโครงสร้างหนี้และสามารถช่าระหนี้ได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพ

การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความส่าคัญกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยและ การเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมด้านการท่องเที่ยว อาทิ สนามบิน/เที่ยวบิน

การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2568 ควรให้ความส่าคัญกับ

การเตรียมการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้า โดย (1) การเจรจาและเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ (2) การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม (3) การเร่งรัดการส่งเสริมการส่งออกสินค้า ที่ไทยมีศักยภาพ (4) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการ ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

การเร่งรัดการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาขยายตัว โดย (1) การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (2) การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับ การอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2565 - 2567 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว (3) การพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย (4) การเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ขั้นสูง

3

5

1

ปัจจัยสนับสนุน

? การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน

? การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชนและ การปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน

? การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง

? การขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า

ข้อจากัดและปัจจัยเสี่ยง

? ความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก

? ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง

? ความผันผวนของผลผลิตและระดับราคาสินค้าเกษตร

ด้านการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวเร่งขึ้น การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการอุปโภคภาครัฐบาลชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ด้านการผลิต สาขาเกษตรกรรมฯ กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขายส่งและการขายปลีกฯ และสาขาการก่อสร้างขยายตัวเร่งขึ้นจาก ไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง

เศรษฐกิจไทยในปี 2567

เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.0 ในปี 2566 โดยการบริโภคภาคเอกชนและการอุปโภคภาครัฐบาลขยายตัว ร้อยละ 4.4 และร้อยละ 2.5 ตามล่าดับ การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 4.8 ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 1.6 ส่วนมูลค่า การส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 5.8 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.4 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568

คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 - 3.3 (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ 2.8) โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.3 และร้อยละ 3.2 ตามล่าดับ มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 3.5 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 - 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5 ของ GDP

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567

องค์ประกอบด้านการใช้จ่าย

การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 5.1 ต่อเนื่องจากร้อยละ 5.0 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สามร้อยละ 2.1 เทียบกับ การลดลงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อน ตามการลงทุนในเครื่องจักรเครื่องมือที่ลดลง ร้อยละ 1.7 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจาก การลดลงต่อเนื่องของการลงทุนในหมวดยานยนต์ สอดคล้องกับยอดจดทะเบียน ยานยนต์ใหม่ที่ลดลงร้อยละ 18.6 ขณะที่การลงทุนในเครื่องจักรเครื่องมือประเภทอื่นขยายตัวสอดคล้องกับการเร่งขึ้นของการน่าเข้าสินค้าทุน ส่วนการลงทุนก่อสร้างลดลงร้อยละ 3.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 7.8 ขณะที่การก่อสร้างอาคารโรงงานอุตสาหกรรมขยายตัว การลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 39.4 เร่งขึ้นจากร้อยละ 25.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นการเร่งขึ้นทั้งการลงทุนก่อสร้างและเครื่องจักรเครื่องมือ ส่าหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุน ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 13.4 (ต่ากว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 37.5 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 6.3 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)

รวมทั้งปี 2567 การลงทุนรวมทรงตัว เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.2 ในปี 2566 โดยการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในปี 2566 ขณะที่การลงทุนภาครัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เทียบกับการลดลง ร้อยละ 4.2 ในปี 2566

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567

การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายในเกือบทุกหมวด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการของรัฐสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น โดยการใช้จ่าย หมวดบริการขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร การบริการ ด้านสุขภาพ และการบริการขนส่ง การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.3 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเร่งขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มอาหาร

และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และการใช้จ่ายกลุ่มไฟฟ้า ก๊าซ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ การใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อเนื่องจากร้อยละ 3.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า และการใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่ง อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 9.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 9.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของการใช้จ่าย เพื่อซื้อยานพาหนะ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่าหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 50.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 50.1 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ขยายตัวร้อยละ 5.4 ชะลอตัวจากร้อยละ 6.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยค่าตอบแทนแรงงานขยายตัวร้อยละ 2.8 ค่าซื้อสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 10.6 ส่วนรายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินส่าหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดขยายตัวร้อยละ 13.1 ส่าหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจ่าในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 36.7 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 19.9 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 30.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)

รวมทั้งปี 2567 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.4 เทียบกับร้อยละ 6.9 ในปี 2566 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.7 ในปี 2566

การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 76,660 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 10.6 สูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส เร่งขึ้นจากร้อยละ 8.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร ขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าประมงกลับมาขยายตัว ส่วนราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกขยายตัว เช่น ยางพารา (ร้อยละ 30.8) คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 118.9) ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 52.6) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 45.7) และเครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ 23.9) เป็นต้น กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง เช่น ข้าว (ลดลงร้อยละ 7.3) ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ลดลงร้อยละ 32.5) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 23.5) และรถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 13.0) เป็นต้น

รวมทั้งปี 2567 การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 297,049 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.5 ในปี 2566 โดยปริมาณและราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 และร้อยละ 1.4 ตามล่าดับ

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2567

องค์ประกอบด้านการผลิต

สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 1.2 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.0 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีการผลิตสินค้าเกษตรในหมวดพืชผลส่าคัญหลายรายการปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ กลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 4.7) อ้อย (ร้อยละ 16.9) และข้าวเปลือก (ร้อยละ 1.1) เช่นเดียวกับการผลิตสินค้าเกษตรส่าคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ กุ้งขาวแวนนาไม (ร้อยละ 15.4) และ ไก่เนื้อ (ร้อยละ 0.9) ตามล่าดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีการผลิตสินค้าเกษตรสาคัญ ๆ บางรายการปรับตัวลดลง ได้แก่ ปาล์มน่ามัน (ลดลงร้อยละ 24.6) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 0.3) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 0.2) ตามล่าดับ ในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.2 ต่อเนื่องจากร้อยละ 7.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรส่าคัญ ๆ เช่น ยางพารา (ร้อยละ 42.8) ปาล์มน่ามัน (ร้อยละ 40.0) สุกร (ร้อยละ 8.7) อ้อย (ร้อยละ 12.2) และกุ้งขาวแวนนาไม (ร้อยละ 20.3) ตามล่าดับ ขณะที่สินค้าเกษตรส่าคัญ ๆ ที่ราคาปรับตัวลดลง เช่น มันส่าปะหลัง (ลดลงร้อยละ 31.1) ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 4.7) และโคเนื้อ (ลดลงร้อยละ 12.0) ตามล่าดับ การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าเกษตรส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ร้อยละ 8.4

รวมทั้งปี 2567 สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงลดลงร้อยละ 1.0 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.0 ในปี 2566

สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการผลิตสินค้าสาคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ร้อยละ 21.2) การผลิตเครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ร้อยละ 11.4) และการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ร้อยละ 28.9) ตามล่าดับ ส่วนการผลิตสินค้าสาคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์ (ลดลงร้อยละ 23.9) การผลิต ยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 20.7) การทอผ้า (ลดลงร้อยละ 9.9) และการผลิตจักรยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 6.2) ตามล่าดับ ส่าหรับอัตราการใช้กาลังการผลิตในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ ร้อยละ 57.27 ต่ากว่าร้อยละ 58.32 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ากว่าร้อยละ 57.36 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

รวมทั้งปี 2567 สาขาการผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.5 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.7 ในปี 2566 และอัตราการใช้ก่าลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 58.44 เทียบกับร้อยละ 59.61 ในปี 2566

สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวร้อยละ 10.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 8.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมีจ่านวน 9.457 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 96.32 ของจ่านวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19) ส่งผลให้มูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้อยู่ที่ 4.103 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.8 ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ไทยเที่ยวไทย) ขยายตัวร้อยละ 5.9 สร้างรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย จ่านวน 2.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 6.83 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.5 ส่าหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 73.74 สูงกว่าร้อยละ 68.60 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าร้อยละ 73.55 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

รวมทั้งปี 2567 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ 9.5 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 19.3 ในปี 2566 โดยจ่านวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีจ่านวน 35.546 ล้านคน ส่งผลให้รายรับรวมจากการท่องเที่ยวมีมูลค่า 2.478 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.1 ส่าหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 71.88

สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.6 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการขยายตัวเร่งขึ้นของดัชนีรวมการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์

รวมทั้งปี 2567 สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ขยายตัวร้อยละ 3.8 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.9 ในปี 2566

สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 9.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยบริการขนส่งปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภทประกอบด้วย บริการขนส่งทางอากาศ (ร้อยละ 29.0) บริการขนส่งทางบกและท่อล่าเลียง (ร้อยละ 5.8) และบริการขนส่งทางน่า (ร้อยละ 3.0) ส่าหรับบริการสนับสนุนการขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 และบริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1

รวมทั้งปี 2567 สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวร้อยละ 9.0 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 8.8 ในปี 2566

สาขาการก่อสร้าง ขยายตัวละ 18.3 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 15.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการก่อสร้างภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูง ร้อยละ 40.8 เร่งขึ้นจาก 31.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของการก่อสร้างของรัฐบาลร้อยละ 67.9 และการก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนลดลงร้อยละ 3.9 ส่าหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ตามการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ (ร้อยละ 5.8) หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา (ร้อยละ 2.8) หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต (ร้อยละ 1.3) หมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ (ร้อยละ 1.5) เป็นส่าคัญ

รวมทั้งปี 2567 สาขาการก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.6 ในปี 2566 โดยการก่อสร้างภาครัฐเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.3 (การก่อสร้างของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ส่วนการก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5) และการก่อสร้างภาคเอกชนลดลงร้อยละ 2.1

องค์ประกอบด้านการผลิต

1. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2567

ด้านการใช้จ่าย

การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน: ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับตัว

ดีขึ้นของการใช้จ่ายในเกือบทุกหมวด โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการของรัฐ สอดคล้องกับความเชื่อมั่น

ที่เพิ่มขึ้น โดยการใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อนหน้า

ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร การบริการด้านสุขภาพ และการบริการ

ขนส่ง การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.3 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า

ตามการเร่งขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และการใช้จ่ายกลุ่มไฟฟ้า ก๊าซ

และเชื้อเพลิงอื่น ๆ ส่วนการใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวร้อยละ 3.7 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 3.5

ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า และการใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องเรือน

และเครื่องตกแต่ง ขณะที่การใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 9.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 9.9

ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่ม

ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินท่ามกลางคุณภาพสินเชื่อรถยนต์ที่ลดลง ส่าหรับดัชนี

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 50.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 50.1

ในไตรมาสก่อนหน้า

รวมทั้งปี 2567 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.4 ชะลอลงจากร้อยละ 6.9 ในปี 2566

การลงทุนภาคเอกชน: ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 2.1 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.5

ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือลดลงร้อยละ 1.7 ต่อเนื่องจากการลดลง

ร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงต่อเนื่องของการลงทุนหมวดยานยนต์ ขณะที่การลงทุนใน

เครื่องจักรเครื่องมือประเภทอื่นขยายตัวเร่งขึ้นสอดคล้องกับการน่าเข้าสินค้าทุน การลงทุนในหมวดการก่อสร้าง

ลดลงร้อยละ 3.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยลดลง

ร้อยละ 7.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 9.5 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงต่อเนื่องของพื้นที่

ขออนุญาตก่อสร้างคอนโดมิเนียม ทาวเฮ้าส์ บ้านเดี่ยว แฟลต และอพาร์ทเม้นท์ ส่วนการก่อสร้างอาคารประเภท

ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยลดลงร้อยละ 0.4 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของ

การก่อสร้างอาคารพาณิชย์ โรงแรม และโรงพยาบาล ขณะที่การก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง

ส่าหรับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48.2 จากระดับ 46.6 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยัง

ต่ากว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6

รวมทั้งปี 2567 การลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.1 ของปี 2566

โดยการลงทุนทั้งในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือ และหมวดการก่อสร้าง ลดลงร้อยละ 1.5 และร้อยละ 2.1 ตามล่าดับ

Economic Outlook

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สาคัญ

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ในช่วงปี 2543 -

2554 (ปีที่เกิดวิกฤตอุทกภัย) เม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นที่เข้ามาใน

ประเทศไทยอยู่ในระดับที่สูงและครอบครองสัดส่วนอันดับหนึ่งของ

วงเงินลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาโครงสร้างสัดส่วน

เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เฉพาะ 5 ประเทศผู้ลงทุนหลัก1

ในไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐฯ และฮ่องกง) พบว่า ในช่วงปี

2543 - 2554 เม็ดเงินลงทุนเฉลี่ยของญี่ปุ่นมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ

61.1 รองลงมาเป็นสัดส่วนเม็ดเงินจากสิงคโปร์ สหรัฐฯ และจีน อยู่ที่

ร้อยละ 19.7 8.9 และร้อยละ 7.7 ตามล่าดับ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากปี 2554 เป็นต้นมา เม็ดเงินลงทุนจาก

ญี่ปุ่นลดลงอย่างต่อเนื่องจนปี 2558 ซึ่งเป็นปีแรกที่ส่านักงาน

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย

การส่งเสริมการลงทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

และภายหลังจากปี 2558 พบว่า สิงคโปร์และจีน มีบทบาทในการลงทุน

ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 เม็ดเงินลงทุนของจีนและ

สิงคโปร์อยู่ที่ 49,591 ล้านบาท และ 30,139 ล้านบาท ตามล่าดับ

ในขณะที่เม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นอยู่ที่ 12,521 ล้านบาท และ

เมื่อพิจารณาโครงสร้างเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในช่วงปี

2555 - 2567 สัดส่วนเงินลงทุนเฉลี่ยของสิงคโปร์และจีนเพิ่มขึ้นเป็น

ร้อยละ 31.8 และร้อยละ 31.2 ตามล่าดับ ขณะที่สัดส่วนเงินลงทุน

เฉลี่ยของญี่ปุ่นอยู่ที่ร้อยละ 25.8 ส่วนเงินลงทุนเฉลี่ยจากสหรัฐฯ และ

ฮ่องกง มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 6.5 และร้อยละ 4.6 ตามล่าดับ

ซึ่งใกล้เคียงกับร้อยละ 8.9 และร้อยละ 2.6 ในช่วงปี 2543 - 2554

ที่ผ่านมา

1

คิดเป็นร้อยละ 50 ของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด

เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจ่าแนกตามภาคการผลิตและตามสัญชาติ พบว่า ในช่วงปี 2543 - 2554 โครงสร้าง

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 69.9 (สัดส่วนการลงทุนจาก

ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน สหรัฐฯ และฮ่องกง อยู่ที่ร้อยละ 48.7 ร้อยละ 11.1 ร้อยละ 5.3 ร้อยละ 4.2 และร้อยละ 0.3 ตามล่าดับ) ในขณะที่สัดส่วน

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคบริการอยู่ที่ร้อยละ 30.0 โดยภาคบริการที่ส่าคัญ เช่น บริการทางการเงิน การขายส่ง ขายปลีกและ

อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคเกษตรกรรมอยู่ที่ร้อยละ 0.4

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากปี 2554 เป็นต้นมา โครงสร้างการลงทุน

โดยตรงจากต่างประเทศของไทยมีการเปลี่ยนแปลงจาก

ภาคอุตสาหกรรมเป็นภาคบริการเพิ่มมากขึ้น โดยโครงสร้างการลงทุน

โดยตรงจากต่างประเทศในช่วงปี 2555 - 2567 พบว่า สัดส่วน

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศภาคอุตสาหกรรมลดลงเหลือเพียง

ร้อยละ 42.9 เมื่อพิจารณารายประเทศพบว่า สัดส่วนเงินลงทุนจาก

จีนและสิงคโปร์ในภาคการผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 17.7

และร้อยละ 10.7 ตามล่าดับ ในขณะที่สัดส่วนเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่น

ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 11.9 เท่านั้น ส่วนสัดส่วนเงินลงทุนจาก

สหรัฐฯ และฮ่องกงอยู่ที่ร้อยละ 1.6 และร้อยละ 0.8 ตามล่าดับ

ส่าหรับสัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคบริการ

เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 57.1 ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจาก

ต่างประเทศในภาคเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น

Economic Outlook

การส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. มีมูลค่า 76,660 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 10.6 สูงสุดในรอบ

11 ไตรมาส เร่งขึ้นจากร้อยละ 8.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีปริมาณการส่งออก ขยายตัวร้อยละ 9.3 เร่งขึ้น

จากร้อยละ 7.5 ในไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้า

เกษตร ขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าประมงกลับมาขยายตัว ด้านดัชนีราคาสินค้าส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2

ต่อเนื่องจากร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อนหน้า เมื่อหักการส่งออกทองคาออกแล้ว มูลค่าการส่งออกขยายตัวร้อยละ

8.1 ส่วนการส่งออกในรูปของเงินบาท มีมูลค่า 2,605 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เทียบกับร้อยละ 7.7

ในไตรมาสก่อนหน้า

รวมทั้งปี 2567 การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 297,049 ล้านดอลลาร์ สรอ. กลับมาขยายตัวร้อยละ 5.8

เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.5 ในปีก่อนหน้า ตามปริมาณการส่งออกที่กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.4 เทียบกับการ

ลดลงร้อยละ 2.7 ในปีก่อน ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 1.2 ในปีก่อน

ด้านการส่งออกในรูปเงินบาท มีมูลค่า 10,476 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.1

ในปี 2566

มูลค่าการส่งออกสินค้า

ในรูปเงินดอลลาร์ สรอ.

ขยายตัวในเกณฑ์สูง

ร้อยละ 10.6 สูงสุด

ในรอบ 11 ไตรมาส

มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ร้อยละ 9.5 โดยดัชนีปริมาณการส่งออก

และราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 และร้อยละ 3.8 ตามล่าดับ สอดคล้องกับความต้องการในตลาดโลกที่ยัง

อยู่ในเกณฑ์สูง โดยมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรส่าคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยาง เพิ่มขึ้นในเกณฑ์สูงร้อยละ 30.8

โดยราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.2 ขณะที่ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 11.7 ตามการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น

สหรัฐฯ และมาเลเซีย เป็นส่าคัญ ทุเรียน กลับมาขยายตัวร้อยละ 2.3 โดยราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2

ขณะที่ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 3.7 ขณะที่ข้าว ลดลงร้อยละ 7.3 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของปริมาณ

ส่งออกร้อยละ 8.2 ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 1.0 ตามการส่งออกไปยังตลาดฟิลิปปินส์

อินโดนีเซีย และอิรัก เป็นส่าคัญ มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3

ร้อยละ 7.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 5.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของปริมาณการส่งออก

ร้อยละ 6.4 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 5.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ร้อยละ 0.7 สินค้าอุตสาหกรรมสาคัญที่ขยายตัว เช่น คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 118.9) ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ

52.6) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 45.7) และเครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ 23.9) เป็นต้น

ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสาคัญที่ลดลง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ลดลงร้อยละ 32.5)

ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 23.5) และรถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 13.0) เป็นต้น

มูลค่าการส่งออกสินค้าประมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 ขณะที่สินค้าส่งออกอื่น ๆ ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ

118.1 ตามการเพิ่มขึ้นของการส่งออกทองค่าที่ยังไม่ขึ้นรูปร้อยละ 123.9 เป็นส่าคัญ

ตลาดส่งออก: การส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ จีน กลุ่มประเทศ CLMV และสหภาพยุโรป (27) โดยการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 6 ร้อยละ 17.2 ตามการขยายตัวของการส่งออกคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นส่าคัญ ตลาดจีน ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 13.5 ตามการขยายตัวของการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ เป็นส่าคัญ ตลาดอาเซียน (9) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 10.1 ตามการขยายตัวของการส่งออกไปยังตลาดกัมพูชา สิงคโปร์ และเวียดนาม เป็นส่าคัญ ตลาดสหภาพยุโรป (27) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 17.3 ตามการขยายตัวของการส่งออกคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นส่าคัญ ตลาดสหราชอาณาจักร ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 35.3 ตามการขยายตัวของการส่งออกเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ไก่แปรรูป และโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นส่าคัญ ตลาดอินเดีย ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 35.4 ตามการขยายตัวของการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นส่าคัญ และตลาดญี่ปุ่น กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 1.2 ตามการขยายตัวของ การส่งออกยางพารา คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก เป็นส่าคัญ สาหรับตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกลดลง อาทิ ตลาดออสเตรเลีย ลดลงต่อเนื่องร้อยละ 11.7 ตามการลดลงของการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นส่าคัญ ขณะที่การส่งออกคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี และอาหารส่าเร็จรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง ยังคงขยายตัว และตลาดฮ่องกง ลดลงต่อเนื่องร้อยละ 19.2 ตามการลดลงของการส่งออกคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นส่าคัญ ขณะที่การส่งออกแผงวงจรไฟฟ้ายังคงขยายตัว

การนาเข้าสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. มีมูลค่า 71,309 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 10.7 ต่อเนื่อง

จากร้อยละ 11.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการน่าเข้าที่ขยายตัวในทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับการขยายตัว

ของการส่งออกและอุปสงค์ภายในประเทศ โดยปริมาณการน่าเข้าขยายตัวร้อยละ 9.1 ต่อเนื่องจาก

การขยายตัวร้อยละ 9.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของปริมาณการน่าเข้าสินค้าทุน

และการกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสของปริมาณการน่าเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะที่

ปริมาณการน่าเข้าในหมวดสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางชะลอลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่าหรับ

ราคาน่าเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เท่ากับในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ หากไม่รวมการน่าเข้าทองค่า มูลค่าการน่าเข้า

ขยายตัวร้อยละ 7.8 เทียบกับร้อยละ 8.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ในรูปของเงินบาท การน่าเข้าสินค้ามีมูลค่ารวม

2,423 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.5 ชะลอลงจากร้อยละ 10.2 ในไตรมาสก่อนหน้า

รวมทั้งปี 2567 การน่าเข้าสินค้ามีมูลค่า 277,775 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เทียบกับการลดลง

ร้อยละ 3.8 ในปีก่อน โดยปริมาณน่าเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.1 ในปีก่อนหน้า และ

ราคาน่าเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เทียบกับร้อยละ 0.4 ในปีก่อน ขณะที่การน่าเข้าในรูปของเงินบาทมีมูลค่า

9,824 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.5 ในปีก่อนหน้า

ในรายหมวด มูลค่าการนาเข้าหมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ขยายตัวร้อยละ 5.1 ต่อเนื่องจากร้อยละ 8.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการน่าเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 เทียบกับร้อยละ 9.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ราคาน่าเข้าลดลงร้อยละ 1.4 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.6 ในไตรมาสก่อนหน้า สินค้าส่าคัญที่มีมูลค่าการน่าเข้าเพิ่มขึ้น เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และวัสดุที่ท่าด้วยโลหะ เป็นต้น มูลค่าการนาเข้าหมวดสินค้าทุน ขยายตัวร้อยละ 12.5 ต่อเนื่องจากร้อยละ 9.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณและราคาน่าเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 และร้อยละ 3.6 ตามล่าดับ สินค้าส่าคัญที่มีมูลค่าการน่าเข้าเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องจักรกลอื่น ๆ และชิ้นส่วน หม้อแปลง เครื่องก่าเนิดไฟฟ้า มอเตอร์ และเครื่องเก็บประจุไฟฟ้า และอากาศยาน เรือ แท่น และรถไฟ เป็นต้น และมูลค่าการนาเข้าหมวดอุปโภคบริโภค ขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการน่าเข้ากลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส ร้อยละ 4.0 ส่วนราคาน่าเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 สินค้าส่าคัญที่มีมูลค่าการน่าเข้าเพิ่มขึ้น เช่น อาหาร เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์นม โทรศัพท์มือถือ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์และประมง เป็นต้น ขณะที่มูลค่าการนาเข้าหมวดสินค้าอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 69.4 ต่อเนื่องจากการขยายตัว ร้อยละ 78.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของการน่าเข้าสินค้ากลุ่มทองค่า (ไม่รวมทองรูปพรรณ) และสินค้าน่าเข้าเบ็ดเตล็ดที่ร้อยละ 85.7 และร้อยละ 26.4 ตามล่าดับ

อัตราการค้า (Term of Trade) ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 โดยเป็นผลจากราคาน่าเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาส่งออกที่ร้อยละ 1.2 ส่งผลให้อัตราการค้าอยู่ที่ระดับ 97.8 เท่ากับไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลงจากระดับ 98.0 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเป็นอัตราการค้าที่ต่ากว่าระดับ 100 ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 12

รวมทั้งปี 2567 อัตราการค้าอยู่ที่ระดับ 98.0 เทียบกับระดับ 97.6 ในปี 2566 โดยราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน่าเข้าร้อยละ 1.0

ดุลการค้า ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ดุลการค้าเกินดุล 5.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ต่ากว่าการเกินดุล 5.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าการเกินดุล 4.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เมื่อคิดในรูปเงินบาท ดุลการค้าเกินดุล 182.3 พันล้านบาท ต่ากว่าการเกินดุล 198.5 พันล้านบาท ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าการเกินดุล 174.4 พันล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

รวมทั้งปี 2567 ดุลการค้าเกินดุล 19.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ใกล้เคียงกับการเกินดุล 19.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2566 เมื่อคิดในรูปเงินบาท ดุลการค้าเกินดุล 678.2 พันล้านบาท เทียบกับการเกินดุล 683.2 พันล้านบาท ในปีก่อนหน้า

ด้านการผลิต

สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง: กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 1.2

เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.0 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศและปริมาณน้า

ที่เอื้ออานวย สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรร้อยละ 1.0 โดยการผลิตสินค้าเกษตร

ในหมวดพืชผลส่าคัญเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตในหลายรายการ

อาทิ กลุ่มไม้ผล อ้อย และข้าวเปลือก เช่นเดียวกับหมวดปศุสัตว์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิต

ไก่เนื้อ โคเนื้อ และสุกร เป็นส่าคัญ และหมวดประมงกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส โดยการผลิต

สินค้าเกษตรส่าคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ (1) กลุ่มไม้ผล เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 (2) อ้อย เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9

(3) กุ้งขาวแวนนาไม เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 (4) ข้าวเปลือก เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 และ (5) ไก่เนื้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ

0.9 ตามล่าดับ อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าเกษตรส่าคัญ ๆ บางรายการปรับตัวลดลง ได้แก่ ปาล์มน่ามัน

(ลดลงร้อยละ 24.6) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 0.3) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 0.2) ส่วน ดัชนีราคา

สินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 ต่อเนื่องจากร้อยละ 7.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า

เกษตรส่าคัญ ๆ ได้แก่ (1) ยางพารา เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.8 (2) ปาล์มน้ามัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.0 (3) สุกร

เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 (4) อ้อย เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 และ (5) กุ้งขาวแวนนาไม เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 ตามล่าดับ

ขณะที่สินค้าเกษตรส่าคัญ ๆ ที่ราคาปรับตัวลดลง เช่น มันส่าปะหลัง (ลดลงร้อยละ 31.1) ข้าวเปลือก (ลดลง

ร้อยละ 4.7) และโคเนื้อ (ลดลงร้อยละ 12.0) ตามล่าดับ การเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร และดัชนี

ราคาสินค้าเกษตรส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ร้อยละ 8.4

รวมทั้งปี 2567 การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงลดลงร้อยละ 1.0 เทียบกับการเพิ่มขึ้น

ร้อยละ 2.0 ในปี 2566

การผลิต บริโภค นาเข้า และส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทย

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความส่าคัญชนิดหนึ่งของไทย

เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้เป็นอาหารของสัตว์ในการท่า

ปศุสัตว์และอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ อาทิ ไก่เนื้อ ไก่ไข่ และสุกร โดยมี

สัดส่วนถึงร้อยละ 91.26 ของการผลิตข้าวโพดรวม1

ในปี 2567 ประเทศไทยมีเนื้อที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ 6.46

ล้านไร่ ลดลงร้อยละ 1.4 จากปีก่อน และลดลงร้อยละ 8.8 จากปี 2563

เนอื่ งจากการแพรร่ บาดของโรคหนอนกระทขู้ วโพดลายจุด (Fall Armyworm)

ในหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมทั้งต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ

ราคาปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืชและวัชพืช และเมล็ดพันธุ์ ท่าให้เกษตรกร

เริ่มปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ใช้ปุ๋ยน้อยกว่า มีความต้องการอุปโภค

บรโ ภคทขี่ ยายตวั ตอ่ เนอื่ ง และราคาอยใ นเกณฑส์ งู เชน่ มันส่าปะหลงั และออ้ ย

โรงงาน เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้เพียง

4.74 ล้านตัน หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 53.20 ของความต้องการอุปโภคบริโภค

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ที่ผลิตได้ภายในประเทศยังมีปริมาณน้อยกว่าความต้องการอุปโภคบริโภค

การผลิต บริโภค นาเข้า และส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทย (ต่อ)

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ท่าให้ต้องน่าเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนในอุปสงค์ส่วนที่ขาด

จากประเทศผู้ส่งออก ประกอบกับเมื่อพิจารณาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของประเทศผู้ส่งออกข้าวโพด

เลี้ยงสัตว์รายส่าคัญ อาทิ สหรัฐฯ จีน และบราซิล พบว่าต่ากว่าราคาขายในประเทศ โดยในปี 2567

ไทยน่าเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเมียนมาและลาวในสัดส่วนร้อยละ 84.95 และร้อยละ 11.35

ตามล่าดับ จากการมูลค่าการน่าเข้าทั้งหมด และมีแนวโน้มจะน่าเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศ

ในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน

(ASEAN Free Trade Area: AFTA) ว่าด้วยเรื่องการน่าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามา

ในราชอาณาจักร โดยผู้น่าเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากรและการยกเว้น

ค่าธรรมเนียมพิเศษในการน่าเข้ามาในราชอาณาจักร ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่

31 ธันวาคม 2568 ในขณะที่ไทยมีสัดส่วนการน่าเข้าจากประเทศนอกภูมิภาคทั้งหมดเพียงร้อยละ 2.26

โดยน่าเข้าจากอินเดีย (สัดส่วนร้อยละ 1.29) สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 0.49) และแอฟริกาใต้

(สัดส่วนร้อยละ 0.44) ตามล่าดับ

สาขาอุตสาหกรรม: ขยายตัวร้อยละ 0.2 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 0.3 ในไตรมาสก่อนหน้า

สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของการส่งออก ซึ่งส่งผลให้การผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก

(สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 โดยการผลิตสินค้าส่าคัญ ๆ ที่ปรับตัว

เพิ่มขึ้น ได้แก่ การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ร้อยละ 21.2) การผลิตเครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป

(ร้อยละ 11.4) และการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ยกเว้นร้านตัดเย็บเสื้อผ้า) (ร้อยละ 28.9) ตามล่าดับ

ส่วนการผลิตสินค้าส่าคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง อาทิ การผลิตเฟอร์นิเจอร์ (ลดลงร้อยละ 23.9) ในขณะที่การผลิต

อุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 - 60 ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 โดยการผลิตสินค้า

ส่าคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 20.7) การทอผ้า (ลดลงร้อยละ 9.9 ) และ

การผลิตจักรยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 6.2) ตามล่าดับ อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าส่าคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ได้แก่ การผลิตน่าตาล (ร้อยละ 18.9) และการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องก่าเนิดไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า

และอุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟฟ้า (ร้อยละ 15.1) และการผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภค

ภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส โดยการผลิตสินค้า

ส่าคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ (ลดลงร้อยละ 7.2)

และการผลิตสายไฟฟ้าและเคเบิลส่าหรับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ (ลดลงร้อยละ 35.1) ขณะที่

การผลิตพลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2

ส่าหรับอัตราการใช้กาลังการผลิตในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 57.27 ต่ากว่าร้อยละ 58.32 ในไตรมาสก่อนหน้า

และต่ากว่าร้อยละ 57.36 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในอุตสาหกรรมส่าคัญ 30 รายการ

มีอุตสาหกรรมที่มีการใช้ก่าลังการผลิตสูงกว่าร้อยละ 80.00 จ่านวน 3 รายการ ได้แก่ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก

การกลั่นปิโตรเลียม (ร้อยละ 88.32) การฆ่าสัตว์ปีกและการผลิตเนื้อสัตว์ปีกสด แช่เย็น หรือแช่แข็ง

(ร้อยละ 81.43) และการผลิตพลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น (ร้อยละ 81.27) ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีการใช้

ก่าลังการผลิตต่ากว่าร้อยละ 50.00 มีจ่านวน 11 รายการ ที่ส่าคัญ เช่น การผลิตยานยนต์ (ร้อยละ 49.63)

การแปรรูปและการถนอมผลไม้และผัก (ร้อยละ 48.50) และการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ยกเว้นร้านตัดเย็บ

เสื้อผ้า) (ร้อยละ 48.22) เป็นต้น

รวมทั้งปี 2567 การผลิตสาขาการผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.5 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.7 ในปี

2566 และอัตราการใช้ก่าลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 58.44 เทียบกับร้อยละ 59.61 ในปี 2566

สาขาที่พักแรมและ

บริการด้านอาหาร

ขยายตัวต่อเนื่องเป็น

ไตรมาสที่ 12 ร้อยละ

10.2 โดยมีปัจจัย

สนับสนุนจากการขยายตัว

ต่อเนื่องของจานวน

นักท่องเที่ยวต่างประเทศ

และการขยายตัวจาก

การทอ่ งเทยี่ วภายในประเทศ

(ไทยเทยี่ วไทย)

รายรบั รวมจากการทอ่ งเทยี่ ว

ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 6.83

แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น

ร้อยละ 27.5

อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่

ที่ร้อยละ 73.74 สูงกว่า

ร้อยละ 68.60 ในไตรมาส

ก่อนหน้า และสูงกว่า

ร้อยละ 73.55 ในไตรมาส

เดียวกันของปีก่อน

สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร: ขยายตัวร้อยละ 10.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 8.4 ในไตรมาส

ก่อนหน้า สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของจานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และการขยายตัวของ

การท่องเที่ยวภายในประเทศ (ไทยเที่ยวไทย) โดยในไตรมาสนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามา

ท่องเที่ยวในประเทศไทยจานวน 9.457 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 96.32 ของจ่านวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 21.1

ในไตรมาสก่อนหน้า โดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางมาไทยสูงที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย จีน 1.478

ล้านคน (สัดส่วนร้อยละ 15.63) มาเลเซีย 1.210 ล้านคน (สัดส่วนร้อยละ 12.79) อินเดีย 0.593 ล้านคน (สัดส่วน

ร้อยละ 6.27) รัสเซีย 0.586 ล้านคน (สัดส่วนร้อยละ 6.19) และเกาหลีใต้ 0.486 ล้านคน (สัดส่วนร้อยละ 5.14)

ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขยายระยะเวลาและจ่านวนประเทศในการด่าเนินมาตรการยกเว้นวีซ่า1 ประกอบกับ

การมีวันหยุดยาวในหลายประเทศช่วงสิ้นปี ส่าหรับมูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยว2 ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 4.103

แสนล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 84.25 ของมูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ

โรคโควิด-19) เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.8 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 45.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนการท่องเที่ยว

ภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ไทยเที่ยวไทย) มีจานวน 70.643 ล้านคน-ครั้ง ขยายตัวร้อยละ 5.9

ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 6.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากช่วงวันหยุดยาวในช่วงสิ้นปี

ประกอบกับการด่าเนินมาตรการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดที่มีผู้เยี่ยมเยือน

คนไทยสูงที่สุด 5 อันดับแรก (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) ได้แก่ ชลบุรี 5.070 ล้านคน-ครั้ง (สัดส่วนร้อยละ 7.18)

กาญจนบุรี 3.750 ล้านคน-ครั้ง (สัดส่วนร้อยละ 5.31) ประจวบคีรีขันธ์ 2.665 ล้านคน-ครั้ง (สัดส่วนร้อยละ 3.77)

เพชรบุรี 2.621 ล้านคน-ครั้ง (สัดส่วนร้อยละ 3.71) และพระนครศรีอยุธยา 2.519 ล้านคน-ครั้ง (สัดส่วนร้อยละ

3.57) ส่าหรับรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย3 ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7

เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 10.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยจังหวัดที่มีรายรับที่แท้จริงจากผู้เยี่ยมเยือนคนไทยสูง

ที่สุด 5 อันดับแรก (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) ได้แก่ ชลบุรี (สัดส่วนร้อยละ 12.63) เชียงใหม่ (สัดส่วนร้อยละ 6.98)

เชียงราย (สัดส่วนร้อยละ 4.37) ประจวบคีรีขันธ์ (สัดส่วนร้อยละ 4.21) และเพชรบุรี (สัดส่วนร้อยละ 3.15)

ตามล่าดับ การเพิ่มขึ้นของทั้งมูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวและมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวไทย

1 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567 รัฐบาลได้ประกาศขยายระยะเวลาและจ่านวนประเทศในการด่าเนินการยกเว้นวีซ่าส่าหรับนักท่องเที่ยวจากเดิม 61 ประเทศ

เป็น 93 ประเทศ และมาตรการให้สิทธิ Visa on Arrival จากเดิม 19 ประเทศเป็น 31 ประเทศ

2 มูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยว จากตารางดุลการช่าระเงิน ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

3 รายรับจากนักท่องเทยี่ วชาวไทย จากตารางสรปุ สถานการณ์พกั แรม จ่านวนผเ ยยี่ มเยือน และรายไดจ้ กผเ ยยี่ มเยือน ของ กระทรวงการท่องเทยี่ วและกฬี (กก.)

GDP สาขาอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและ

อัตราการใช้กาลังการผลิตในไตรมาสนี้ต่ากว่าไตรมาสก่อนหน้า

ที่มา: ส่านักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และ สศช.

50.00

55.00

60.00

65.00

70.00

Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4

65 66 67

-6.0

-3.0

0.0

3.0

6.0

9.0 Cap U (แกนขวา) GDP สาขาอุตสาหกรรม

%YoY ร้อยละ

อัตราการใช้กาลังการผลิต

เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 57.27

ต่ากว่าร้อยละ 58.32

ในไตรมาสก่อนหน้า และ

ต่ากว่าร้อยละ 57.36

ในไตรมาสเดียวกันของ

ปีก่อน

มูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวในไตรมาสที่สี่

ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว4อยู่ที่ 6.83 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.5 เทียบกับ การขยายตัวร้อยละ 29.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่าหรับอัตราการเข้าพักในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 73.74 สูงกว่าร้อยละ 68.60 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าร้อยละ 73.55 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

รวมทั้งปี 2567 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ 9.5 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 ในปี 2566 โดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีจ่านวน 35.546 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.3 และมูลค่ารายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.504 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.8) เมื่อรวมกับรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 0.975 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5) ส่งผลให้รายรับรวมจากการท่องเที่ยวมีมูลค่า 2.478 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.1) ส่าหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 71.88 สูงกว่าร้อยละ 69.22 ในปีก่อน

สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์: เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เร่งขึ้นจาก การขยายตัวร้อยละ 3.6 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีรวมการขายส่งและ การขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ โดย (1) ดัชนีการขายส่ง (ยกเว้นยานยนต์และจักรยานยนต์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เร่งขึ้นจากร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นในหมวดการขายส่งเครื่องใช้ในครัวเรือน และหมวดการขายส่งอาหารเครื่องดื่มและยาสูบ เป็นส่าคัญ (2) ดัชนีการขายปลีก (ยกเว้นยานยนต์และจักรยานยนต์) ขยายตัวร้อยละ 10.1 เทียบกับร้อยละ 17.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของหมวดร้านขายปลีกสินค้าประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะหมวดร้านขายปลีกในร้านค้าทั่วไป และหมวดร้านขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ ตามล่าดับ ในขณะที่ (3) ดัชนีการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และจักรยานยนต์ ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 11.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 5.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงในหมวดการขายยานยนต์ หมวดการขายชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมของยานยนต์ และหมวดการขายการบ่ารุงรักษาและการซ่อมจักรยานยนต์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวเนื่อง เป็นส่าคัญ ในขณะที่หมวด การบ่ารุงรักษาและการซ่อมยานยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้น

รวมทั้งปี 2567 สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 เทียบกับร้อยละ 3.9 ในปี 2566

สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า: ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 9.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวในเกณฑ์สูงของบริการขนส่งทางอากาศ และการขยายตัวต่อเนื่องของบริการขนส่งทางบกและท่อลาเลียง เป็นสาคัญ โดยในไตรมาสนี้ บริการขนส่งเพิ่มขึ้นทุกประเภท ประกอบด้วย (1) บริการขนส่งทางอากาศ เพิ่มขึ้นในเกณฑ์สูงร้อยละ 29.0 ต่อเนื่องจากร้อยละ 28.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของปริมาณการขนส่งทางอากาศ ทั้งผู้โดยสารและสินค้า (2) บริการขนส่งทางบกและท่อลาเลียง เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.8 เทียบกับร้อยละ 5.6 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณผู้ใช้บริการ รถสาธารณะ ปริมาณการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้า ปริมาณการใช้น่ามันเบนซินและน่ามันดีเซล และปริมาณการจดทะเบียนรถบรรทุก และ (3) บริการขนส่งทางน้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของการส่งออกและน่าเข้าสินค้าทางน่า ส่าหรับบริการสนับสนุนการขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เทียบกับร้อยละ 11.4 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เทียบกับร้อยละ 6.1 ในไตรมาสก่อนหน้า

รวมทั้งปี 2567 สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เทียบกับร้อยละ 8.8 ในปี 2566 โดยบริการขนส่ง ประกอบด้วย บริการขนส่งทางอากาศขยายตัวร้อยละ 26.9 บริการขนส่งทางบกและท่อล่าเลียงขยายตัวร้อยละ 5.5 และบริการขนส่งทางน่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ตามล่าดับ ส่วนบริการสนับสนุน การขนส่งขยายตัวร้อยละ 11.3 และบริการไปรษณีย์ขยายตัวร้อยละ 7.0

สาขาการก่อสร้าง: ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 18.3 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 15.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นในเกณฑ์สูงของการก่อสร้างภาครัฐ โดยเฉพาะการก่อสร้างของรัฐบาล ในขณะที่ การก่อสร้างภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาสนี้ การก่อสร้างภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 40.8 เร่งขึ้นจากร้อยละ 31.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการก่อสร้างของรัฐบาลขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 67.9 ตามการเพิ่มขึ้นของการก่อสร้างโครงการส่าคัญ ๆ ของกระทรวงคมนาคม (คค.) อาทิ โครงการโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน โครงข่ายทางหลวงชนบทได้รับการบ่ารุงรักษา และโครงการพัฒนาทางและสะพานโครงข่ายทางหลวงชนบทสนับสนุนด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ส่วนการก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11 ร้อยละ 3.4 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนในการพัฒนา

โครงสร้างพื้นฐานที่ส่าคัญ ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (รฟม.) และโครงการพัฒนาระบบส่งและจ่าหน่ายระยะที่ 2 (กฟภ.) ตามล่าดับ ในขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 3.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับตัวลดลง อย่างต่อเนื่องของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกประเภท การก่อสร้างอื่น ๆ และการก่อสร้างอาคารที่มิใช่ที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการก่อสร้างอาคารโรงงานอุตสาหกรรมที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่าหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.4 ตามการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ (ร้อยละ 5.8) หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา (ร้อยละ 2.8) หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต (ร้อยละ 1.3) หมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ (ร้อยละ 1.5) เป็นส่าคัญ ในขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างส่าคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง อาทิ หมวดเหล็ก (ลดลงร้อยละ 2.8) และหมวดซีเมนต์ (ลดลงร้อยละ 0.9)

รวมทั้งปี 2567 สาขาการก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.6 ในปี 2566 โดยการก่อสร้างภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 (การก่อสร้างของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ส่วนการก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5) และการก่อสร้างภาคเอกชนลดลงร้อยละ 2.1

ผู้มีงานทา: จานวนผู้มีงานทาปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ตามการลดลงของผู้มีงานทาใน ภาคเกษตร เป็นสาคัญ ในขณะที่ผู้มีงานทานอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11 ส่วนอัตรา การว่างงานต่ากว่าไตรมาสก่อนหน้าแต่สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ผู้มีงานท่ามีจ่านวนทั้งสิ้น 40.11 ล้านคน ลดลงร้อยละ 0.4 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.1 ในไตรมาสก่อนหน้า จ่าแนกเป็น ผู้มีงานท่าชาวไทยจ่านวน 36.75 ล้านคน (สัดส่วนร้อยละ 91.64) ลดลงร้อยละ 2.3 เทียบกับ การลดลงร้อยละ 1.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และผู้มีงานท่าชาวต่างด้าวจ่านวน 3.35 ล้านคน (สัดส่วนร้อยละ 8.36) เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.3 เทียบกับร้อยละ 22.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยผู้มีงานทาภาคเกษตร (สัดส่วนร้อยละ 29.65) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 3.6 สอดคล้องกับการลดลงของผลผลิตสินค้าเกษตรส่าคัญ บางรายการ เช่น ปาล์มน่ามัน ยางพารา และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ในขณะที่ผู้มีงานทานอกภาคเกษตร (สัดส่วนร้อยละ 70.35) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11 ร้อยละ 1.1 ตามการเพิ่มขึ้นของผู้มีงานท่าในสาขาพักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม และสาขาก่อสร้าง เป็นส่าคัญ ส่วนสาขาขายส่ง และการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ปรับตัวลดลง ส่าหรับอัตราการว่างงานในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 0.88 ต่ากว่าร้อยละ 1.02 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 0.81 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมี ผู้ว่างงานเฉลี่ยจ่านวน 3.58 แสนคน ต่ากว่าผู้ว่างงานจ่านวน 4.14 แสนคน ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่า ผู้ว่างงานจ่านวน 3.29 แสนคน ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า

เฉลี่ยทั้งปี 2567 ผู้มีงานท่าลดลงร้อยละ 0.3 ตามการลดลงของผู้มีงานท่าในภาคเกษตรเป็นส่าคัญ และอัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00

สถานการณ์ด้านแรงงานในระบบประกันสังคม: จานวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสัดส่วนผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์กรณีว่างงานตามมาตรา 33 ต่ากว่าไตรมาสก่อนหน้าแต่สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ผู้ประกันตน ในระบบประกันสังคมรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบด้วย ผู้ประกันตนภาคบังคับตามมาตรา 33 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหน้า และผู้ประกันตนตามความสมัครใจ (มาตรา 40) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ ผู้ประกันตนตามความสมัครใจ (มาตรา 39) ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 10 ร้อยละ 4.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่าหรับสัดส่วนผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์กรณีว่างงานตามมาตรา 33 ในไตรมาสนี้ อยู่ที่ร้อยละ 1.81 ต่ากว่าร้อยละ 1.93 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 1.74 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีจานวนผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์กรณีว่างงานตามมาตรา 33 เฉลี่ยจ่านวน 2.18 แสนคน ต่ากว่าจ่านวน 2.33 แสนคน ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าจ่านวน 2.06 แสนคน ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ตามที่คณะกรรมการค่าจ้างได้ออกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่า (ฉบับที่ 13) ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เพื่อก่าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่าให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไปนั้น ส่งผลให้อัตราค่าแรงขั้นต่าเฉลี่ยอยู่ที่ 355.58 บาทต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน และเมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดจังหวัดที่ได้รับอัตราค่าแรงขั้นต่า 400.00 บาท ได้แก่ ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และอ่าเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอัตราค่าแรงขั้นต่า 380 บาท ได้แก่ เฉพาะอ่าเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และอ่าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยทั้ง 7 พื้นที่นี้ปรับขึ้นค่าแรงส่วนต่างเพิ่มขึ้น 30 ถึง 55 บาทต่อวัน ขณะที่พื้นที่อื่นได้ปรับเพิ่มขึ้น 7 และ 9 บาทต่อวันเมื่อเทียบกับปีก่อน

เมื่อพิจารณาจ่านวนผู้มีงานท่าในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 มีจ่านวน 40.11 ล้านคน ผู้ที่มีรายได้ต่ากว่าอัตราค่าแรงขั้นต่า1 มีจ่านวน 8.15 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.32 และเมื่อจ่าแนกตามสาขาการผลิต พบว่า ผู้ที่มีรายได้ต่ากว่าอัตราค่าแรงขั้นต่า ได้แก่ การเพาะปลูกและ การเลี้ยงสัตว์ การล่าสัตว์ และกิจกรรมบริการที่เกี่ยวข้อง มีจ่านวน 4,594.28 พันคน (สัดส่วนร้อยละ 56.38 ของผู้ที่มีรายได้ต่ากว่าอัตราค่าแรง ขั้นต่าทั้งหมด) คิดเป็นร้อยละ 40.16 ของผู้มีงานท่าในสาขานี้ เป็นผลมาจากผู้มีงานท่าในสาขานี้มีบางช่วงนอกเวลาเพาะปลูกที่ท่าให้ไม่มีรายได้ ขณะที่การก่อสร้างอาคาร การบริการอาหารและเครื่องดื่มกิจกรรมบริการส่วนบุคคลอื่น ๆ และการขายปลีก (ยกเว้นยานยนต์และจักรยานยนต์) เป็นสาขาที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labor Intensive) ดังนั้น การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในสาขาเหล่านี้ เนื่องจาก มีสัดส่วนแรงงานที่ได้รับค่าจ้างต่ากว่าเป็นจ่านวนมาก

ด้านการคลัง

การจัดเก็บรายได้รัฐบาล ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม - ธันวาคม 2567) รัฐบาลจัดเก็บ

รายได้สุทธิ 614,557.3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.4 โดย (1) การน่าส่งรายได้ของ

รัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 18.4 จากการน่าส่งเงินปันผลระหว่างกาลปี 2567 ล่วงหน้าของบริษัท ปตท. จ่ากัด

(มหาชน) ก่อนก่าหนดน่าส่งในเดือนตุลาคม 2567 (2) การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตลดลงร้อยละ 1.4

เนื่องจาก (i) ภาษีรถยนต์ลดลงร้อยละ 34.4 ตามปริมาณการจ่าหน่ายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงและนโยบาย

การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (ii) ภาษีสุราฯ ลดลงร้อยละ 28.4 ตามปริมาณ

การบริโภคที่ปรับตัวลดลง และ (iii) ภาษียาสูบ ลดลงร้อยละ 24.3 เนื่องจากผู้ประกอบอุตสาหกรรม

มีการปรับเปลี่ยนแผนการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณการบริโภคในปัจจุบัน และ (3) การจัดเก็บภาษีเงินได้

นิติบุคคลลดลงร้อยละ 1.8 สอดคล้องกับผลประกอบการของภาคธุรกิจที่ปรับตัวลดลง

การใช้จ่ายของรัฐบาล ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม - ธันวาคม 2567) รัฐบาลมีการใช้จ่าย

รวมทั้งสิ้น 1,354,847.0 ล้านบาท5 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28.9 ประกอบด้วย

(1) การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จ่านวน 1,160,507.9 ล้านบาท

เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27.5 จ่าแนกเป็น (i) รายจ่ายประจ่า จ่านวน 1,035,366.9 ล้านบาท

เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.5 คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 36.7 เทียบกับร้อยละ 30.7

ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและร้อยละ 19.9 ในไตรมาสก่อนหน้า และ (ii) รายจ่ายลงทุน จ่านวน 125,141.0

ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 145.1 จากฐานที่ต่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความล่าช้าของการประกาศใช้

พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจ่าปี พ.ศ. 2567 คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 13.4 เทียบกับ

ร้อยละ 6.3 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและร้อยละ 37.5 ในไตรมาสก่อนหน้า

(2) การเบิกจ่ายงบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปี จ่านวน 101,152.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ร้อยละ 88.6 โดยมีอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 36.8 และ (3) การเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ (รวมบริษัท

ปตท. จ่ากัด (มหาชน) และบริษัทในเครือที่ลงทุนในประเทศ) จ่านวน 104,033.5 ล้านบาท6 เพิ่มขึ้นจาก

ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.6 โดยเป็นผลมาจากการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ

จ่ากัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จ่ากัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ และ

การท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นส่าคัญ ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี รัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าการเบิกจ่ายสูงสุด

5 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จ่ากัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

แห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้านครหลวง

หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนธันวาคม 2567) มีมูลค่าทั้งสิ้น

11,845,610.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.9 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63.3 ณ สิ้นไตรมาสที่สี่ของ

ปีงบประมาณ 2567 โดยเป็นเงินกู้ภายในประเทศ 11,726,329.0 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 99.0 ของ

หนี้สาธารณะคงค้าง และเงินกู้จากต่างประเทศ 119,281.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.0 ของหนี้สาธารณะ

คงค้าง โดยจ่าแนกเป็น หนี้ของรัฐบาล 10,510,067.1 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน

1,051,502.1 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค่าประกัน) 172,126.1 ล้านบาท และ

หนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 111,914.9 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 88.7 ร้อยละ 8.9 ร้อยละ 1.5 และร้อยละ 0.9

ของหนี้สาธารณะคงค้าง ตามล่าดับ

ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ

649,004 ล้านบาท เมื่อรวมกับการเกินดุลเงินนอกงบประมาณ 21,725 ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อชดเชย

การขาดดุล 412,753 ล้านบาท ท่าให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดหลังกู้ 214,526 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินคงคลัง

ต้นงวด จ่านวน 514,101 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 มีจ่านวนทั้งสิ้น 299,575

ล้านบาท

ภาวะการเงิน

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลดลงร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี

ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.50 ต่อปี เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบ 17 ไตรมาส เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชน ก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ การดาเนินนโยบายการเงินของไทยสอดคล้องกับธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลัก อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐฯ สหภาพยุโรป อังก ษ และแคนาดา ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีสัญญาณที่จะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายอย่างชัดเจนมากขึ้น เช่นเดียวกับธนาคารกลางของประเทศในภูมิภาค อาทิ ธนาคารกลางเกาหลีใต้และฟิลิปปินส์ ที่ลดดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศและรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางของประเทศในภูมิภาคหลายแห่งคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม อาทิ ธนาคารกลางเวียดนาม และมาเลเซีย ที่คงอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากประเมินว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และธนาคารกลางอินโดนีเซียคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากยังมีความกังวลต่อเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและเศรษฐกิจภายในประเทศ

ในเดือนมกราคม 2568 ธนาคารกลางแคนาดาและอินโดนีเซียปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสนับสนุน การขยายตัวของเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรปที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (มีผลตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568) เพื่อลดแรงกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเข้าสู่เป้าหมาย อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบ 17 ปี นับตั้งแต่ปี 2551

ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ ในขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ในไตรมาสที่สี่ของ ปี 2567 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจ่า 12 เดือน จากร้อยละ 1.65 และร้อยละ 1.58 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นร้อยละ 1.55 และร้อยละ 1.53 ตามล่าดับ พร้อมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) จากร้อยละ 7.25 และร้อยละ 8.30 เป็นร้อยละ 7.11 และร้อยละ 8.18 ตามล่าดับ ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้ที่ร้อยละ 1.73 แต่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ จากร้อยละ 6.88 เป็นร้อยละ 6.68 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ ที่แท้จริงเฉลี่ยทุกธนาคารปรับลดลง ตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

Economic Outlook NESDC

ในเดือนมกราคม 2568 ธนาคารพาณิชย์คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่ระดับเดิม

ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง จากร้อยละ 1.73 เป็นร้อยละ 1.63 แต่คงอัตรา

ดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่ระดับเดิม

ณ สิ้นไตรมาสที่สี่ของปี 2567 เงินให้กู้ยืมคงค้างภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงินลดลงร้อยละ 0.04 เทียบกับ

การขยายตัวร้อยละ 0.21 ในไตรมาสที่แล้ว เป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2546 ตามการลดลงของเงินให้

กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์และการชะลอลงของเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

เงินให้กู้ยืมภาคเอกชนในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลงร้อยละ 1.67 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 1.42 ในไตรมาส

ก่อนหน้า และเป็นการลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 โดยเงินให้กู้ยืมในภาคธุรกิจลดลงร้อยละ 0.55

ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.77 ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของเงินให้กู้ยืมแก่ธุรกิจ SMEs

ที่ลดลงร้อยละ 3.04 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 3.28 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะเงินให้กู้ยืมในสาขา

การขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ สาขาการผลิต และสาขากิจกรรม

อสังหาริมทรัพย์ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่กลับมาขยายตัวร้อยละ 1.58 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.63

ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของเงินให้กู้ยืมในสาขาการเงินและการประกันภัย สาขาการผลิต และสาขา

การขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ทั้งนี้ สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับ

หลักทรัพย์ค่าประกันต่อเนื่องตามคุณภาพสินเชื่อโดยรวมที่ยังด้อยลง โดยเฉพาะในสาขากิจกรรม

อสังหาริมทรัพย์ สาขาก่อสร้าง และสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์

สาหรับเงินให้กู้ยืมภาคครัวเรือน ลดลงร้อยละ 2.84 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.11 ในไตรมาสก่อนหน้า

ตามการลดลงของสินเชื่อเพื่อการซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล

อื่น ๆ เป็นส่าคัญ ซึ่งเป็นผลจากภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และคุณภาพสินเชื่อที่ลดลง ประกอบกับ

ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อภาคครัวเรือนในทุกประเภท โดยปรับเพิ่มมูลค่าของหลักทรัพย์

ค่าประกัน (margin) ส่าหรับลูกค้ากลุ่มเสี่ยง และปรับเกณฑ์รายได้ให้เข้มงวดมากขึ้น เป็นต้น

เงินให้กู้ยืมภาคเอกชนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในไตรมาสที่สี่ ของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 2.21 ชะลอตัวลง

จากการขยายตัวร้อยละ 2.64 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของทั้งสินเชื่อภาคธุรกิจและสินเชื่อครัวเรือน

โดยเฉพาะสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาระหนี้ของภาคครัวเรือน

ที่อยู่ในระดับสูงและคุณภาพสินเชื่อที่ลดลงต่อเนื่อง

ผลการดาเนินงานของธนาคารพาณิชย์ไทยเฉลี่ย ในไตรมาสที่สี่ ของปี 2567 ธนาคารพาณิชย์มี รายได้เพิ่มขึ้น

ร้อยละ 6.66 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.32 ในไตรมาสก่อนหน้า และมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.54 เทียบกับ

การเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.87 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย

(NIM) อยู่ที่ร้อยละ 3.24 เทียบกับร้อยละ 3.32 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 3.20 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. เฉลี่ยแข็งค่าขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยในไตรมาสที่สี่ของปี 2567

ค่าเงินบาทอยู่ที่เฉลี่ย 34.00 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.34 จากค่าเฉลี่ยในไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางผันผวนตลอดทั้งไตรมาส โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายนอ่อนค่าลง

สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าการปรับลด

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะล่าช้าออกไป ภายหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะ

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากมีแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่อาจท่าให้แรงกดดันเงินเฟ้อของ

สหรัฐฯ สูงขึ้น ขณะที่ในช่วงเดือนธันวาคม ค่าเงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย สอดคล้องกับ

การปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของราคาทองค่า และดุลรายรับภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับประเทศ

คู่ค้า/คู่แข่ง พบว่า เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าขึ้น โดยดัชนีค่าเงินบาท (NEER) เฉลี่ยอยู่ที่ 126.25

เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.62 จากไตรมาสก่อนหน้า

ส่าหรับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. เฉลี่ยแข็งค่าขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าในทิศทาง

เดียวกันกับค่าเงินบาท อาทิ เงินริงกิตของมาเลเซีย (ร้อยละ 1.43) เงินดอลลาร์ฮ่องกง (ร้อยละ 0.32) และ

เงินรูเปียร์ของอินโดนีเซีย (ร้อยละ 0.25) อย่างไรก็ดี ค่าเงินของประเทศในภูมิภาคที่อ่อนค่าลง ได้แก่ เงินวอน

ของเกาหลีใต้ (ร้อยละ 2.76) เงินเยนของญี่ปุ่น (ร้อยละ 1.90) เงินเปโซของฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 1.41) เงินรูปี

ของอินเดีย (ร้อยละ 0.83) เงินดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 0.83) เงินหยวนของจีน (ร้อยละ 0.59) เงินดอลลาร์

ไต้หวันใหม่ (ร้อยละ 0.16) และเงินดองของเวียดนาม (ร้อยละ 0.12)

รวมทั้งปี 2567 ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.29 - 37.10 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. (ค่าเฉลี่ย 34.70

บาทต่อดอลลาร์ สรอ.) แข็งค่าขึ้นร้อยละ 0.32 จากปี 2566 โดยมีปัจจัยที่ส่าคัญมาจากการปรับลด

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้เงินดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวอ่อนค่าลง

ในเดือนมกราคม 2568 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.27 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงร้อยละ 0.24 จากค่าเฉลี่ย

ในเดือนธันวาคม 2567 แต่เคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าตลอดทั้งเดือน สอดคล้องกับการอ่อนค่าลงของ

เงินดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากการคลายความกังวลเกี่ยวกับนโยบายขึ้นภาษีน่าเข้าของสหรัฐฯ ที่คาดว่า

น่าจะด่าเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ณ สิ้นไตรมาสที่สี่ของปี 2567

ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,400.21 จุด ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 3.4 สอดคล้องกับการลดลง

ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยมีปัจจัยส่าคัญมาจาก (1) ความกังวลเกี่ยวกับนโยบาย

ทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครอง

สินทรัพย์เสี่ยง (2) ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ ( FOMC) ประจ่าเดือนธันวาคม

ที่ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในปี 2568 อย่างค่อยเป็นค่อยไป (3) การฟื้นตัวของ

เศรษฐกิจจีนที่ยังคงมีความไม่แน่นอน แม้จะด่าเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และ (4) ความกังวล

ของนักลงทุนเกี่ยวกับปัญหาด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจัดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยนักลงทุน

ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย 52.4 พันล้านบาท เทียบกับสถานะซื้อสุทธิ 21.5 พันล้านบาทใน

ไตรมาสก่อนหน้า ส่าหรับดัชนีฯ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (ลดลงร้อยละ

14.3) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (ลดลงร้อยละ 14.0) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (ลดลงร้อยละ 12.9)

กลุ่มบริการ (ลดลงร้อยละ 9.9) กลุ่มทรัพยากร (ลดลงร้อยละ 9.3) กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร

(ลดลงร้อยละ 7.2) และ กลุ่มธุรกิจการเงิน (ลดลงร้อยละ 1.4) ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยี เป็นกลุ่มอุตสาหกรรม

เดียวที่ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น (ร้อยละ 19.5) สาหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในภูมิภาคที่ปรับตัว

ลดลงในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (ลดลงร้อยละ 10.2) อินเดีย (ลดลง

ร้อยละ 8.4) เกาหลีใต้ (ลดลงร้อยละ 7.5) อินโดนีเซีย (ลดลงร้อยละ 6.0) ฮ่องกง (ลดลงร้อยละ 5.1)

จีน (ลดลงร้อยละ 2.1) เวียดนาม (ลดลงร้อยละ 1.6) และ มาเลเซีย (ลดลงร้อยละ 0.4) ขณะที่ดัชนีหลักทรัพย์

ของประเทศในภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สิงคโปร์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6) ญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2) และ

ไต้หวัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6)

รวมทั้งปี 2567 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,400.21 จุด ลดลงร้อยละ 1.1 จากปี 2566 โดยนักลงทุนต่างชาติ

ขายสุทธิ 147.9 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 99.1 พันล้านบาท และ

48.9 พันล้านบาท ตามล่าดับ

ในเดือนมกราคม 2568 ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 1,314.50 จุด ลดลงจาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567

ร้อยละ 6.1 สอดคล้องกับการลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยมีปัจจัยส่าคัญมาจาก

(1) ความกังวลด้านการด่าเนินนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ (2) ความไม่แน่นอนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ของธนาคารสหรัฐฯ (3) การขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหลังครบก่าหนดการถือครองเพื่อสิทธิประโยชน์

ทางภาษี และ (4) การขายหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจาก

การเข้ามาของบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัทต่างประเทศที่มีต้นทุนต่า และ

กลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับการร่วมลงทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการกับบริษัทในต่างประเทศ

ความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนภายหลังการเข้ารับตาแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์

ตั้งแต่ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับต่าแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2568 นั้น ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกเผชิญ

ความผันผวนทันที เนื่องจากในการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้มีการประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีน่าเข้าเฉพาะจากประเทศ

เม็กซิโกและแคนาดา ที่ร้อยละ 25 ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เท่านั้น แต่ยังไม่มีการประกาศเรียกเก็บภาษีจากประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ

ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลว่ามาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะไม่รุนแรงดังที่ประธานาธิบดีทรัมป์

ได้หาเสียงไว้ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ดังนั้น ในช่วงวันที่ 20 - 21 มกราคม 2568 ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. (DXY) จึงเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงร้อยละ

1.2 ส่วนค่าเงินเม็กซิกันเปโซและดอลลาร์แคนาดาอ่อนค่าลงร้อยละ 0.25 และ 0.62 ตามล่าดับ ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศต่าง ๆ

ในภูมิภาคกลับมาเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นทันที โดยเงินบาทของไทยปรับตัวแข็งค่ามากที่สุดที่ร้อยละ 0.73

อย่างไรก็ดี ในช่วงวันที่ 31 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2568 หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ลงนามในค่าสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order)

ก่าหนดอัตราภาษีน่าเข้าร้อยละ 25 ส่าหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และร้อยละ 10 ส่าหรับสินค้าจากจีน โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่

4 กุมภาพันธ์ 2568 ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกเกิดความผันผวนขึ้นอีกครั้ง นักลงทุนส่วนใหญ่ปรับลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและ

เพิ่มการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับตัวลดลง ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้น และค่าเงิน

ของประเทศต่าง ๆ อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี ในช่วงวันที่ 3 กุมภาพันธ์รัฐบาลเม็กซิโกและแคนาดาได้ประกาศให้ความร่วมมือในการจัดการปัญหา

ในด้านยาเสพติดและผู้อพยพผิดกฎหมาย1 ส่งผลให้สหรัฐฯ ขยายระยะเวลาการเรียกเก็บภาษีน่าเข้าออกไปอีก 30 วัน นักลงทุนจึงเริ่มคลาย

ความกังวลและราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ เคลื่อนไหวสวนทางจากเดิม โดยนักลงทุนกลับมาถือครองสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง

Economic Outlook

นอกจากนี้ การประกาศแนวนโยบายในเรื่องต่าง ๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังส่งผลให้ราคาสินทรัพย์อื่น ๆ มีความผันผวนเช่นเดียวกัน

โดยในช่วงวันที่ 17 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2568 ราคาน่ามันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานและ

ลดข้อจ่ากัดที่เกี่ยวกับการผลิตและการบริโภคน่ามัน ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนด้านนโยบายเกี่ยวกับการสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัล

ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์ (Bitcoin) เคลื่อนไหวผันผวน นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้

ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Asset) เพิ่มสูงขึ้น เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอ้างอิงอายุ 2 ปี และ 10 ปีของ

สหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลง และราคาทองค่าที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ

ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ของไทยและประเทศในภูมิภาค ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจ่าเป็นต้องติดตามสถานการณ์

ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลง ในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2567 อัตราผลตอบแทนพันธบัตร

รัฐบาลปรับตัวลดลงทุกช่วงอายุ ซึ่งเป็นผลจาก (1) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบาย

การเงินในเดือนตุลาคม 2567 (2) ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่ม

การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย และ (3) การเข้าซื้อตราสารหนี้ของกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในช่วงสิ้นปี โดยอัตรา

ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอ้างอิงอายุ 2 ปี และอายุ 10 ปี อยู่ที่ร้อยละ 2.02 ต่อปี และร้อยละ 2.31 ต่อปี

ลดลงจากร้อยละ 2.14 ต่อปี และร้อยละ 2.48 ต่อปี ณ สิ้นไตรมาสก่อนหน้า ตามล่าดับ ส่าหรับการระดมทุนใหม่

ผ่านตลาดตราสารหนี้มีมูลค่าทั้งสิ้น 346.2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนของธุรกิจในกลุ่มเงินทุนและ

หลักทรัพย์ กลุ่มก่อสร้าง และกลุ่มการสื่อสารและขนส่ง

รวมทั้งปี 2567 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงจากสิ้นปี 2566 ทุกช่วงอายุ โดยอัตราผลตอบแทน

พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (อายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป) ปรับตัวลดลงมากกว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ

สั้น (อายุ 1 ปีลงไป) จากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่อาจเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลาง

อัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวในระดับต่า

ในเดือนมกราคม 2568 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (อายุ 1 ปีลงไป)

ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย

ดุลบัญชีเดินสะพัด ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 5.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (192.1

พันล้านบาท) เทียบกับการเกินดุล 3.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (130.5 พันล้านบาท) ในไตรมาสเดียวกันของปี

ก่อน และการเกินดุล 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (74.5 พันล้านบาท) ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจาก

การเกินดุลการค้า 5.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (182.3 พันล้านบาท) (เทียบกับการเกินดุล 4.9 พันล้านดอลลาร์

สรอ. (174.4 พันล้านบาท) ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ต่ากว่าการเกินดุล 5.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ.

(198.5 พันล้านบาท) ในไตรมาสก่อนหน้า) ขณะที่ดุลบริการ รายได้ปฐมภูมิ และรายได้ทุติยภูมิกลับมาเกินดุล

ครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส 0.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (ปรับตัวดีขึ้นจากการขาดดุล 1.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.

ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และการขาดดุล 3.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสก่อนหน้า)

รวมทั้งปี 2567 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 12.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (429.4 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก

การเกินดุล 7.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (266.7 พันล้านบาท) ในปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการเกินดุลการค้า

19.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (678.2 พันล้านบาท) ขณะที่ดุลบริการขาดดุล 6.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (248.8

พันล้านบาท)

เงินสารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ 237.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจาก 224.5

พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 เมื่อคิดในรูปเงินบาท เงินส่ารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน

ธันวาคม 2567 อยู่ที่ 8,051.3 พันล้านบาท สูงกว่า 7,677.3 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566

ดุลบัญชีเดินสะพัด

เกินดุลต่อเนื่องเป็น

ไตรมาสที่ 6

เงินสารองระหว่าง

ประเทศ ณ สิ้นเดือน

ธันวาคม 2567 อยู่ที่

237.0 พันล้านดอลลาร์

สรอ. เพิ่มขึ้นจาก

ช่วงเดียวกันของปีก่อน

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่

ร้อยละ 1.0 ตามการ

เพิ่มขึ้นของดัชนีหมวด

อาหารและเครื่องดื่ม

ไม่มีแอลกอฮอล์ และ

หมวดที่มิใช่อาหารและ

เครื่องดื่ม

-15,000

-10,000

-5,000

0

5,000

10,000

15,000

20,000

Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4

62 63 64 65 66 67

ล้านดอลลาร์ สรอ.

ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลการค้า

และดุลบริการ รายได้ปฐมภูมิ และรายได้ทุติยภูมิ

ดุลบัญชีเดินสะพัด

ดุลการค้า

ดุลบริการ รายได้ปฐมภูมิ และรายได้ทุติยภูมิ

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

อัตราเงินเ อ ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.0 ต่อเนื่องจากร้อยละ 0.6

ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5

ตามดัชนีราคาเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อาหารส่าเร็จรูป และเครื่องประกอบอาหารที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2

ร้อยละ 2.3 และร้อยละ 1.4 เป็นส่าคัญ ส่วนดัชนีราคาหมวดที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6

ตามดัชนีราคากลุ่มพลังงานที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานราคาที่ต่าในปีก่อนหน้า ขณะที่

อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.8 ต่อเนื่องจากร้อยละ 0.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของดัชนี

ราคาค่าโดยสารสาธารณะ และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เป็นส่าคัญ

รวมทั้งปี 2567 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ชะลอลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 1.2 ในปี 2566

ตามการชะลอตัวของราคาข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์ ไข่และผลิตภัณฑ์นม และผักและผลไม้ เป็นส่าคัญ

ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.6 ชะลอลงจากร้อยละ 1.3 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับ

การชะลอตัวของราคาค่าโดยสารสาธารณะ และหมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล เป็นส่าคัญ

ในเดือนมกราคม 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.3 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาอาหารและ

เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงราคาน่ามันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นผลจากฐานราคาที่ต่าในปีที่ผ่านมา ส่วนอัตรา

เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.8

ดัชนีราคาผู้ผลิต ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ดัชนีราคาผู้ผลิตลดลงร้อยละ 0.3 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6

ในไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีราคาหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.7 สอดคล้องกับดัชนีราคา

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และโลหะขั้นมูลฐาน ที่ลดลง

ร้อยละ 16.4 ร้อยละ 3.7 และร้อยละ 3.6 ตามล่าดับ เป็นส่าคัญ และหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองลดลง

ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ร้อยละ 12.6 ตามการลดลงของดัชนีราคากลุ่มปิโตรเลียมดิบและก๊าซธรรมชาติร้อยละ

15.0 ขณะที่หมวดผลิตภัณฑ์เกษตรและการประมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 ตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคา

ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรร้อยละ 8.1

รวมทั้งปี 2567 ดัชนีราคาผู้ผลิตเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.4 ในปี 2566 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมและการประมง เป็นส่าคัญ

ในเดือนมกราคม 2567 ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจากดัชนีราคากลุ่มผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติกเนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ขณะที่ความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และดัชนีราคากลุ่มเครื่องจักรและเครื่องมือ และกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงดัชนีราคาหมวดผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมและ การประมงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ราคาน้ามันดิบในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าและอยู่ในระดับต่ากว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยราคาน่ามันดิบในตลาดโลกเฉลี่ย 4 ตลาด (ดูไบ เบรนท์ โอมาน และเวสต์เท็กซัส) อยู่ที่ 72.8 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 6.3 จากราคาเฉลี่ย 77.7 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในไตรมาสก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 11.6 เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ย 82.4 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากการชะลอตัวของความต้องการน่ามันดิบในตลาดโลกโดยเฉพาะจากจีน สะท้อนจากมูลค่าการน่าเข้าน่ามันดิบของจีนในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 อยู่ที่ 76,001.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 14.8 เทียบกับมูลค่าการน่าเข้า 89,253.5 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับอุปทานน่ามันในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง

รวมทั้งปี 2567 ราคาน่ามันดิบในตลาดโลกเฉลี่ย 4 ตลาดอยู่ที่ 78.5 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 2.8 จากค่าเฉลี่ย 80.8 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในปี 2566

ในเดือนมกราคม 2568 ราคาน่ามันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 78.5 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากค่าเฉลี่ย 77.8 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในเดือนมกราคม 2567 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 72.2 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในเดือนธันวาคม 2567 เนื่องจากความกังวลต่อภาวะตึงตัวของอุปทานน่ามันดิบในตลาดโลกภายหลังสหรัฐฯ คว่าบาตรบริษัทขนส่งน่ามันของรัสเซีย รวมถึงน่ามันดิบคงคลังของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 415.6 ล้านบาร์เรล ลดลงร้อยละ 2.5 จากระดับ 426.2 ล้านบาร์เรล ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันความต้องการใช้น่ามันเพิ่มขึ้นจากอากาศที่หนาวจัด

3. เศรษฐกิจโลกไตรมาสที่สี่ของปี 2567

เศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจหลักทั้งสหรัฐฯ และยูโรโซน รวมทั้งเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวเร่งขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบ 6 ไตรมาส โดยมีแรงขับเคลื่อนสาคัญจากการขยายตัวดีขึ้นของการบริโภคภายในประเทศสอดคล้องกับการขยายตัวของภาคบริการ ท่ามกลางตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่งและการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่แท้จริง ประกอบกับ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ7 ขณะที่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่เฉลี่ย 49.7 อยู่ในระดับต่ากว่า 50 เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน สาหรับเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ (NIEs) และเศรษฐกิจอาเซียนขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามการส่งออกที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลของการเร่งการส่งออกไปยังประเทศเศรษฐกิจหลักก่อนการดาเนินมาตรการกีดกันทางการค้าโดยการขึ้นภาษีนาเข้าที่คาดว่าจะเริ่มมีการประกาศใช้ภายหลังการเข้าดารงตาแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2568 สอดคล้องกับยอดสินค้าคงคลังในประเทศเศรษฐกิจหลักที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงในหลายประเทศส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.5 (Advanced Estimate) ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก การขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนสะท้อนจากมูลค่าการค้าปลีกที่ขยายตัวร้อยละ 4.4 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.1 ในไตรมาส ก่อน เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง8 ประกอบกับตลาดแรงงานยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี9 อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนนอกภาคที่อยู่อาศัย (Non-residential investment) ชะลอตัว โดยขยายตัวร้อยละ 2.5 ชะลอลงจากร้อยละ 4.1 ขณะเดียวกัน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 49.2 ต่ากว่าระดับ 50 เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มทรงตัวจาก ช่วงก่อนหน้า (Sticky Inflation) โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE price index) ในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวร้อยละ 2.4 ใกล้เคียงกับร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม 2567 มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 3 ของปี ต่อเนื่องจากการปรับลดในเดือนกันยายนและพฤศจิกายน10 รวมทั้งปี 2567 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.8 ชะลอลงจากร้อยละ 2.9 ในปีก่อนหน้า

เศรษฐกิจยูโรโซน ขยายตัวร้อยละ 0.9 เท่ากับในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการขยายตัวของภาคบริการ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการที่ระดับ 50.9 สูงกว่าระดับ 50.0 เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน และการบริโภคภายในประเทศที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่าที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 6.3 อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมที่ระดับ 45.4 ต่ากว่าระดับ 50.0 เป็นไตรมาสที่ 10 ติดต่อกัน เป็นผลมาจากต้นทุนพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูงรวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศที่พึ่งพิงภาคอุตสาหกรรมยังคงปรับตัวลดลง โดยเฉพาะเยอรมนี ออสเตรีย และฟินแลนด์ ขณะที่ ธนาคารกลางยุโรปยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ11 รวมทั้งปี 2567 เศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวร้อยละ 0.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 0.5 ในปี 2566

เศรษฐกิจญี่ปุ่น มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวตามการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้างที่แท้จริง12 และการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้าง ภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัวรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 4 ยังคงทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.9 เทียบกับร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อน สูงสุดในรอบ 4 ไตรมาส ส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นส่งสัญญาณปรับทิศทางดาเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่เป้าหมายการเงินระยะปานกลาง รวมทั้งลดแรงกดดันของการอ่อนค่าของค่าเงินเยน ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่มูลค่า 39 ล้านล้านเยน (ประมาณ

3. เศรษฐกิจโลกไตรมาสที่สี่ของปี 2567

7 โดยธนาคารกลางของประเทศที่ลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 4 ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อังกฤษ แคนาดา เกาหลีใต้ ฮ่องกง อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น

8 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) ในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ระดับ 110.6 เทียบกับระดับ 102.7 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business Optimism Index) อยู่ที่ระดับ 100.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 91.1 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

9 จานวนผู้มีงานทานอกภาคเกษตรในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 158.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับอัตราว่างงาน (ปรับผลของฤดูกาล) ยังอยู่ในระดับต่าที่ร้อยละ 4.1 เทียบกับร้อยละ 4.2 ในไตรมาสก่อนหน้า

10 การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee: FOMC) เมื่อวันที่ 17-18 ธันวาคม 2567 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาอยู่ที่ช่วงร้อยละ 4.25-4.50 ซึ่งเป็นการปรับลดติดต่อกันเป็นครั้งที่สามหลังจากการปรับลดร้อยละ 0.5 และร้อยละ 0.25 ในการประชุมในเดือนกันยายนและเดือนพฤศจิกายน

11 ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 และวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ธนาคารกลางยุโรปได้มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ทั้งสองครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Refinancing Operations Rate อัตราดอกเบี้ย Marginal Lending Facility และดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ของแต่ละประเทศที่ฝากไว้กับธนาคารกลาง ณ สิ้นปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.15 ร้อยละ 3.40 และ ร้อยละ 3.00 ตามลาดับ ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.2 และร้อยละ 2.7 เทียบกับร้อยละ 2.2 และร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อนหน้า

12 อัตราค่าจ้างที่แท้จริงในเดือนพฤศจิกายน 2567 ขยายตัวร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยเป็นผลมาจากการปรับขึ้นค่าจ้างร้อยละ 5.1 ตามการต่อรองในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (Shunto) ที่เป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

Economic Outlook

8.68 ล้านล้านบาท) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาสินค้าและพลังงานที่สูงขึ้น และอุดหนุนครัวเรือนที่มีรายได้ต่า รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ13 รวมทั้งปี 2567 เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 0.1 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 1.5 ในปี 2566

เศรษฐกิจจีน ขยายตัวร้อยละ 5.4 เร่งขึ้นจากร้อยละ 4.6 ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงสุดในรอบ 6 ไตรมาส โดยได้รับ แรงสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนที่ฟื้นตัว สะท้อนจากยอดค้าปลีกที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และสูงสุดในรอบ 3 ไตรมาส เช่นเดียวกับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่ขยายตัวร้อยละ 2.3 สูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส ประกอบกับการขยายตัวดีของภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการส่งออกสินค้าซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งส่งออกสินค้าของผู้ผลิตก่อนที่จะมีการดาเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทาให้มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 9.9 สูงสุดในรอบ 10 ไตรมาส สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการ ฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 50.2 สูงกว่า 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลจีนยังคงดาเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน รวมทั้งปี 2567 เศรษฐกิจจีนขยายตัวร้อยละ 5.0 ต่อเนื่องจากร้อยละ 5.3 ในปีก่อนหน้า และบรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ร้อยละ 5.0

เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIEs) ยังคงขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ในขณะที่ ภาคการส่งออกและภาคการผลิตชะลอตัวลง14 เศรษฐกิจเกาหลีใต้ และเศรษฐกิจสิงคโปร์ ขยายตัวร้อยละ 1.2 และร้อยละ 4.3 ชะลอลงจากร้อยละ 1.5 และร้อยละ 5.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามลาดับ ขณะที่เศรษฐกิจไต้หวัน เศรษฐกิจฮ่องกงขยายตัว ร้อยละ 1.8 และร้อยละ 2.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 4.2 และ 1.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายอย่างต่อเนื่องตามการลดลงของราคาอาหารและพลังงาน15 ส่งผลให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศเริ่มดาเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย16 รวมทั้งปี 2567 เศรษฐกิจเกาหลีใต้ เศรษฐกิจไต้หวัน เศรษฐกิจสิงคโปร์ และเศรษฐกิจฮ่องกง ขยายตัวร้อยละ 2.0 ร้อยละ 4.3 ร้อยละ 4.0 และร้อยละ 2.5 เทียบกับร้อยละ 1.4 ร้อยละ 1.1 ร้อยละ 1.1 และร้อยละ 3.2 ตามลาดับ

เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอาเซียน ส่วนใหญ่ขยายตัวต่อเนื่องตามการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการเร่งตัวขึ้นของการส่งออกสินค้า17 โดยเศรษฐกิจอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามขยายตัวร้อยละ 5.0 ร้อยละ 5.2 และร้อยละ 7.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.9 ร้อยละ 5.2 และร้อยละ 7.4 ในไตรมาสก่อน ตามลาดับ ส่วนเศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวร้อยละ 5.0 ชะลอลงจากร้อยละ 5.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการลดลงของการผลิตภาคเกษตรและการขุดเจาะน้ามันดิบ ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเข้าสู่ระดับเป้าหมายนโยบายการเงิน18 ส่งผลให้ธนาคารกลางมาเลเซียและอินโดนีเซียยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 6.25 ในการประชุมเดือนธันวาคม 2567 รวมทั้งปี 2567 เศรษฐกิจอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามขยายตัวร้อยละ 5.0 ร้อยละ 5.1 ร้อยละ 5.6 และร้อยละ 7.1 เทียบกับร้อยละ 5.0 ร้อยละ 3.6 ร้อยละ 5.5 และร้อยละ 5.1 ในปี 2566 ตามลาดับ

4. แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568

เศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากการชะลอตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สอดคล้องการส่งออกสินค้าที่ชะลอตัว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวตามการบริโภคภายในประเทศและการลงทุน ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวจากการขยายตัวในเกณฑ์ต่าในปี 2567 โดยมีแรงสนับสนุนจาก การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศเนื่องจากการขยายตัวของค่าจ้างที่แท้จริงและตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ส่วนเศรษฐกิจประเทศกาลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและภาคการส่งออกสินค้า ทั้งนี้ ทิศทางการดาเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักจะมีแนวโน้มที่จะแตกต่างกันมากขึ้นในปี 2568 โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวังและชะลอลงเมื่อเทียบกับในปี 2567 ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มทรงตัวมากขึ้น (Sticky Inflation) โดยมีผลมาจากตลาดแรงงานที่ตึงตัว ประกอบกับการดาเนินมาตรการขึ้นภาษีนาเข้าที่จะส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ขณะที่ธนาคารกลางสหภาพยุโรปมีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงอันเป็นผลเนื่องมาจากการปรับขึ้นค่าจ้างและการอ่อนค่าของค่าเงินเยน ภายใต้ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจจากการดาเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการปรับเปลี่ยนทิศทางการดาเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่แตกต่างกันอาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินโลก รวมทั้งเพิ่มแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และกาลังพัฒนา

ทั้งนี้ การคาดการณ์ในกรณีฐานอยู่ภายใต้สถานะของการบังคับใช้มาตรการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 256819 และไม่มีการยกระดับความเข้มข้นของมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติม รวมทั้งสมมติฐานที่คาดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคยังอยู่ในวงจากัดและไม่ได้ยกระดับความรุนแรงมากขึ้นจากในปัจจุบันจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและระบบการเงินโลกอย่างมีนัยสาคัญ ภายใต้สมมติฐานในกรณีฐานดังกล่าวคาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 3.0 เทียบกับร้อยละ 3.2 ในปี 2567 โดยมีรายละเอียดแนวโน้มเศรษฐกิจรายประเทศ ดังนี้

เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.4 ชะลอลงจากการขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 2.8 ในปี 2567 ตามการชะลอตัวลงของ การอุปโภคบริโภคภายในประเทศ สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Sentiment Index) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 67.8 เทียบกับ 71.1 ในเดือนก่อนหน้า และต่าสุดในรอบ 7 เดือน เช่นเดียวกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการอยู่ที่ 52.9 เทียบกับ 56.8

ในเดือนก่อนหน้า และต่าสุดในรอบ 9 เดือน เช่นเดียวกับ การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลง ตามการชะลอตัวของอุปสงค์ ประกอบกับ การรอการลงทุนของกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มทรงตัว20 อีกทั้งแรงกดดันด้านราคาสินค้าจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนาเข้าที่ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง21

เศรษฐกิจยูโรโซน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ฟื้นตัวขึ้นจากการขยายตัวในเกณฑ์ต่าที่ร้อยละ 0.7 ในปี 2567 ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของ อุปสงค์ภายในประเทศที่ได้รับแรงสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้าง ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนเศรษฐกิจผ่านมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน22 รวมทั้งแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป23 อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังมีความแตกต่างกันในภาคการผลิตและภาคบริการ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในเดือนมกราคม 2568 ที่ระดับ 46.6 และระดับ 51.3 ตามลาดับ ส่งผลให้เศรษฐกิจที่มีสัดส่วนภาคอุตสาหกรรมสูง อาทิ เยอรมนี มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคบริการเป็นหลัก เช่น สเปน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศแผนเข็มทิศการแข่งขัน (The Competitiveness Compass) เพื่อเป็นแนวทางการแก้ปัญหาความเปราะบางในการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง อย่างต่อเนื่อง24

เศรษฐกิจญี่ปุ่น คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ฟื้นตัวจากร้อยละ 0.1 ในปี 2567 โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับอานิสงค์จากการเพิ่มขึ้นของฐานรายได้ที่แท้จริงรวมถึงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการเพิ่มขึ้นของผลประกอบการบริษัทเอกชนรวมถึงอุตสาหกรรม ยานยนต์ที่สามารถกลับมาดาเนินการผลิตได้ตามปกติ ประกอบกับแรงสนับสนุนจากนโยบายการคลังในการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการอุดหนุนค่าไฟฟ้าให้กับครัวเรือนที่จะช่วยในการรักษาแรงส่งจากการใช้จ่ายภายในประเทศ อย่างไรก็ตามแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยัง ทรงตัวอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายนโยบายการเงินเนื่องจากราคาสินค้าหมวดอาหารและพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น มีแนวโน้มที่จะดาเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อเดือนมกราคม 2568 ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีมติปรับเพิ่ม อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 0.5 นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี

เศรษฐกิจจีน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.4 ในปี 2568 ชะลอลงจากร้อยละ 5.0 ในปี 2567 โดยเป็นผลมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จากการปรับขึ้นภาษีนาเข้าสินค้าจีน25 ที่คาดว่าจะส่งผลให้การผลิตอุตสาหกรรมและการส่งออกสินค้าชะลอตัว ขณะที่ความยืดเยื้อของปัญหาหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการดาเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางจีนเพื่อป้องกันและบรรเทาความเสี่ยงจากผลกระทบของการดาเนินมาตรการกีดกันทางการค้าควบคู่ไปกับการดาเนินนโยบายการคลังขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ26

เศรษฐกิจอินเดีย คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.5 ในปี 2568 เท่ากับปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนสาคัญจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากรายได้ของภาคเกษตรกรรม รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล27 เช่นเดียวกับธนาคารกลางอินเดียที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พฤษภาคม 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ28 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงโดยในเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 โดยหมวดอาหารอยู่ที่ร้อยละ 6.0 เทียบกับร้อยละ 5.2 และร้อยละ 8.4 ในเดือนก่อนหน้า ตามลาดับ

20 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 3.0 เทียบกับร้อยละ 2.9 ในเดือนก่อนหน้า โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 3.3 และเทียบกับร้อยละ 3.2 ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อในภาคบริการที่ยังขยายตัวสูงตามตลาดแรงงานที่ตึงตัวมากขึ้น

21 คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 - 29 มกราคม 2568 มติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ช่วงร้อยละ 4.25 - 4.50 ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกภายหลังจากการปรับลดลง 3 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่การประชุมในเดือนกันยายน 2567

22 ผลสาเร็จของการดาเนินมาตรการภายใต้โครงการ The NextGeneration EU (NGEU) ซึ่งมีงบประมาณสูงถึง 8.069 แสนล้านยูโร

23 ธนาคารกลางยุโรปได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในการประชุมในเดือนมกราคม 2568 โดยธนาคารกลางยุโรปคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง เข้าสู่เป้าหมายที่ร้อยละ 2.0 ได้ในปี 2568

24 แผนเข็มทิศการแข่งขัน (The Competitiveness Compass) จะให้ความสาคัญกับ (1) การพัฒนานวัตกรรม โดยจะเน้นการลงทุนใน AI เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีอวกาศ พร้อมมาตรการส่งเสริมแรงงานมีฝีมือ (2) กระบวนการลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และความสามารถในการแข่งขัน โดยได้กาหนกแผนยุทธศาสตร์พลังงานราคาถูก (Affordable Energy Action Plan) นอกจากนี้ยังมีมาตรการลดขั้นตอนต่าง ๆ ของในการดาเนินกิจการ โดยเฉพาะ SMEs รวมไปถึงการควบรวมข้อกาหนด ระเบียบ ข้อบังคับ ในการประกอบธุรกิจของประเทศสมาชิกให้เป็นหนึ่งเดียว และ (3) การเพิ่มมั่นคงและมีสเถียรภาพของเศรษฐกิจโดยลดการพึ่งพาต่างประเทศ รวมถึง การเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงิน โดยได้จัดตั้งสหภาพการออมและการลงทุน (European Savings and Investments Union) เพื่อเป็นตัวกลางทางการเงินของประเทศสมาชิก

25 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศจัดเก็บภาษีร้อยละ 10 สาหรับสินค้าจีนทั้งหมดที่นาเข้าสู่สหรัฐฯ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ส่งผลให้กระทรวงการคลังของจีนประกาศว่าจะจัดเก็บภาษีสหรัฐในอัตราร้อยละ 15 สาหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และอัตราร้อยละ 10 สาหรับน้ามันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์บางรุ่น โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568

26 รัฐบาลจีนประกาศแผนเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ โดยออกพันธบัตรพิเศษในปี 2568 มูลค่า 14 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัว พร้อมเตรียมรับแรงกดดันจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น

27 รัฐบาลอินเดียได้ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีนโยบายสาคัญ ได้แก่ การปรับขึ้นอัตรารายได้ขั้นต่าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็น 700,000 รูปีต่อปี และการปรับขึ้นเพดานการอุดหนุนเกษตรกรจาก 300,000 รูปีต่อครัวเรือนเป็น 500,000 รูปีต่อครัวเรือน

28 ธนาคารกลางอินเดีย เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 6.5 เป็นร้อยละ 6.25

เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIEs) มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางตามการลดลงของแรงกดดันเงินเฟ้อ29 อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง30 ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ยังเผชิญกับความเสี่ยงสาคัญจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเนื่องจากเป็นประเทศที่มีการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจทั้งสองประเทศในระดับที่สูง ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจเกาหลีใต้และเศรษฐกิจฮ่องกงมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.2 และร้อยละ 2.5 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.1 และร้อยละ 2.5 ในปีก่อนหน้า ขณะที่ เศรษฐกิจสิงคโปร์ และเศรษฐกิจไต้หวันมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.5 และร้อยละ 2.5 ชะลอลงจากการขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 4.0 และร้อยละ 4.4 ในปีก่อนหน้า ตามลาดับ

เศรษฐกิจอาเซียน มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ของธนาคารกลาง31 รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี32 และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ยังขยายตัวได้ดีสอดคล้องกับการฟื้นตัวของการค้าโลก ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามมีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 4.8 ร้อยละ 4.2 ร้อยละ 5.8 และร้อยละ 6.0 เทียบกับร้อยละ 4.9 ร้อยละ 5.0 ร้อยละ 5.7 และร้อยละ 7.1 ในปีก่อนหน้า ตามลาดับ

29 อัตราเงินเฟ้อในเดือนมกราคม 2568 ของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ ไต้หวัน อยู่ที่ร้อยละ 2.2 และร้อยละ 2.7 เทียบกับร้อยละ 1.9 และร้อยละ 2.1 ตามลาดับ

30 ในการประชุมครั้งล่าสุดในเดือนมกราคม 2568 ทั้งธนาคารกลางเกาหลีใต้ ธนาคารกลางฮ่องกง และธนาคารกลางไต้หวันต่างมีมติที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังจากมีการปรับลดมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า

31 ธนาคารกลางอินโดนิเซีย เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 6.0 เป็นร้อยละ 5.75

32 ความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Ipsos) ของอินโดนีเซียและมาเลเซียยังอยู่ในระดับมากกว่า 50 อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมกราคม 2568 มีค่าอยู่ที่ 62.3 และ 55.4 เทียบกับ 66.5 และ 53.5 ในเดือนก่อนหน้า และ 63.9 และ 46.1 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

33 ไม่รวมงบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงินรวม 187,700 ล้านบาท

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสาคัญจากการเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนภายในประเทศ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญความเสี่ยงและข้อจากัดสาคัญซึ่งอาจทาให้เศรษฐกิจขยายตัวต่ากว่าที่คาดการณ์ไว้ในกรณีฐาน อันเป็นผลเนื่องจากความเสี่ยงจากการดาเนินนโยบายเศรษฐกิจ ของสหรัฐฯ และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงและอาจยกระดับความรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกขยายตัวต่ากว่าที่คาด รวมทั้งภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงจากแนวโน้มความผันผวนของผลผลิตและระดับราคาสินค้าเกษตรที่สาคัญ

5. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568

ปัจจัยสนับสนุน

1) การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจาปีและงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปีประจาปีงบประมาณ 2568 ดังนี้ (1) การเพิ่มขึ้นของกรอบงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ 2568 ในวงเงินรวม 3.57 ล้านล้านบาท33 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 จากปีงบประมาณก่อนหน้า โดยเมื่อพิจารณาจากสมมติฐานอัตราเบิกจ่ายที่คาดไว้ในกรณีฐาน สาหรับงบประมาณรายจ่ายประจาปีที่ร้อยละ 93.0 แบ่งเป็น งบรายจ่ายประจาร้อยละ 98.0 และรายจ่ายลงทุนร้อยละ 75.0 ตามลาดับ ส่งผลให้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินงบประมาณที่มีการเบิกจ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรวม 3.32 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากปีก่อน โดยแบ่งเป็น รายจ่ายประจา 2.73 ล้านล้านบาท (ลดลงร้อยละ 3.4) และรายจ่ายลงทุน 5.81 แสนล้านบาท (ขยายตัวร้อยละ 30.8) และ (2) กรอบงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมประจาปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 2.75 แสนล้านบาท ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.9 จากปีงบประมาณก่อนหน้า เนื่องจากความล่าช้าในกระบวนการจัดทางบประมาณรายจ่ายประจาปี 2567 โดยแบ่งเป็น รายจ่ายประจา 4.18 หมื่นล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 2.33 แสนล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 50.0 และร้อยละ 76.5 ตามลาดับ

2) การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนภายในประเทศตามแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชนและการขยายตัวต่อเนื่องของ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน โดยคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาขยายตัวได้ในช่วงปี 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สาคัญ ประกอบด้วย (1) การขยายตัวของการนาเข้านับตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ทั้งการเพิ่มขึ้นของปริมาณการนาเข้าสินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและขั้นกลางที่ขยายตัวร้อยละ 7.7 เทียบกับร้อยละ 0.8 ในช่วงครึ่งแรกของปี (2) การเพิ่มขึ้นของมูลค่ายอดการขอรับ การอนุมัติ และการออกบัตรส่งเสริมการลงทุน ในปี 2567 ที่ขยายตัวร้อยละ 34.5 ร้อยละ 29.7 และร้อยละ 72.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลาดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะกิจการ Data Center และ Cloud Service อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปอาหาร สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุน

โดยตรงไหลเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่ารวม 1.1 ล้านล้านบาทในปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.5 จากปีก่อนหน้า และ (3) การขยายตัวของพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเงินลงทุน และการซื้อพื้นที่/เช่าพื้นที่ ในนิคมอุตสาหกรรม มีมูลค่าทั้งสิ้น 1.75 ล้านล้านบาท และพื้นที่รวม 110,869 ไร่ ณ เดือนธันวาคม 2567 เทียบกับ 1.32 ล้านล้านบาท และ 103,694 ไร่ ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.6 และร้อยละ 6.9 ตามลาดับ ขณะเดียวกัน การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนยังมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของการบริโภคสินค้าในหมวดไม่คงทนและหมวดบริการเป็นสาคัญ สอดคล้องกับการขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ ขณะเดียวกัน การบริโภคยังมีปัจจัยสนับสนุนสาคัญจากตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตรา การว่างงานที่อยู่ในระดับต่าที่ร้อยละ 0.78 ในเดือนธันวาคม 2567 ต่าที่สุดในรอบ 8 ปี รวมทั้งแนวโน้มการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจานวน การจ้างงานนอกภาคเกษตร ประกอบกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่า นอกจากนี้ การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนยังมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการดาเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

3) การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สอดคล้องกับ (1) แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น สะท้อนจากจานวนนักท่องเที่ยวจากประเทศต้นทางส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-1934 เช่นเดียวกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสาคัญมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก และการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินระหว่างประเทศมายังประเทศไทย35 รวมถึงการดาเนินมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติของภาครัฐผ่านมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่ออานวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า รวมทั้งการจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งจะส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และ (2) แนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากกิจกรรมสนับสนุนการท่องเที่ยวอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง36 โดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวดังกล่าวส่งผลให้ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ภาคการขนส่ง ภาคบริการที่พักและร้านอาหาร รวมถึงภาคการค้ามีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง

4) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออกตามแรงส่งของการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกที่อยู่ในเกณฑ์สูงนับตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยเฉพาะในสินค้าส่งออกสาคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ รวมถึง โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สอดคล้องกับการขยายตัวของยอดคาสั่งซื้อใหม่ (New orders) ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก ดังจะเห็นได้จากข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม หมวดยอดคาสั่งซื้อใหม่ของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 55.1 จากระดับ 52.1 ในเดือนก่อนหน้า และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งนาเข้าก่อนที่จะมีการยกระดับความรุนแรงของการดาเนินมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าในระยะต่อไป ขณะเดียวกัน การส่งออกในกลุ่มสินค้าเกษตร เกษตรแปรรูปและอาหารของไทยซึ่งถือเป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดโลกที่ยังสูง อย่างไรก็ดี แนวโน้มการขยายตัวของการส่งออกสินค้าของไทยในระยะต่อไปยังคงมีความอ่อนไหวสูงมากต่อทิศทางการดาเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

2568

ในไตรมาสแรกของปี 2568 รัฐบาลได้ดาเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภายในประเทศ ประกอบด้วย การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ และโครงการ Easy E-Receipt ซึ่งคาดว่าจะทาให้มีการใช้จ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 98,000 ล้านบาท และในไตรมาสที่สองของปีรัฐบาลได้เตรียมดาเนินมาตรการ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศอย่างต่อเนื่องผ่าน โครงการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2568 โครงการ ?เอสเอ็มแอล? และโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 ซึ่ง คาดว่าจะมีเม็ดเงินการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 177,700 ล้านบาท

ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่า 337 400 บาทโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุโครงการ Easy E-Receipt ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2568โครงการ เอสเอ มแอล โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล ต 10 000 บาท เฟส 3ที่มา: สานักงานเศรษฐกิจการคลัง และรวบรวมโดย สศช.การกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่าปี 2568 พิจารณาจากค่าครองชีพของลูกจ้าง ความสามาร ในการจ่ายของนายจ้าง และสภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 68 ภาครัฐได้โอนเงิน 10 000 บาท ให้แก่กลุ่มเป้าหมายสาเร จแล้วรวมทั้งสิ้น 2 825 076 ราย ทาให้มีเม ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจานวน 28 250.76 ล้านบาท แบ่งเป น2 ส่วน คือ (1) ลดหย่อนได้ 30 000 บาท เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการจด VAT หรือไม่ได้จด VAT และ (2) ลดหย่อนได้ 20 000 บาท สาหรับค่าซื้อสินค้า OTOP หรือค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจชุมชนหรือวิสาหกิจเพื่อสังคม ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิประมาณ 1.4 ล้านคน คิดเป นค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคประมาณ 70 000 ล้านบาทเป นการใช้จ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล ต วงเงินประมาณ 1.5 1.6 แสนล้านบาท โดยจะต้องเป นผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นทางรัฐสาเร จ และมีเงื่อนไขรายได้ตามที่กาหนดไว้คาดมีผู้ลงทะเบียนกว่า 25 ล้านคน [ผู้ที่มีสิทธิเดิม 14.5 ล้านคน และผู้ลงทะเบียนกลุ่มใหม่ 10 ล้านคน] ในปีงบประมาณ 2567 มีผลการเบิกจ่ายบัตรสวัสดิการ จานวน 61 907.41 ล้านบาทโครงการ SML ได้รับจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจาปี 2568 จานวน 11 900 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการเริ่มทาประชาคมหมู่บ้านในช่วงประมาณเดือน ก.พ. 68 และชุมชน หมู่บ้านจะได้เงินก้อนแรกลงไปยังชุมชนประมาณเดือน มี.ค. 681 ม.ค. 6827 ม.ค. 6816 ม.ค. 28 ก.พ. 68 45 วัน มี.ค. 68มี.ค. 68เม.ย. มิ.ย. 68 บุคคลธรรมดาสามาร หักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50 000 บาท จากการซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่มี e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เท่านั้น [จัดสรรเงินให้กับกองทุนหมู่บ้านตามเกณฑ์ของโครงการในวงเงินหมู่บ้านละ

Economic Outlook NESDC

การลงทุนภาครัฐขยายตัวต่อเนื่องและมีบทบาทสาคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568

การลงทุนภาครัฐโดยรวมในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2567 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกรอบงบลงทุนภาครัฐ

ที่เพิ่มขึ้น และการเร่งรัดการเบิกจ่ายอย่างต่อเนื่อง ในปีงบประมาณ 2568 มีวงเงินลงทุนภาครัฐรวม 1,387.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน

ร้อยละ 16.1 โดยการลงทุนของรัฐบาลจากงบประมาณรายจ่ายประจาปี พ.ศ. 2568 และงบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6

และร้อยละ 76.5 ตามลาดับ ขณะที่งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 0.5 ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานว่าอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนจาก

งบประมาณรายจ่ายประจาปี 2568 จะอยู่ที่ร้อยละ 75.0 สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 70.4 ในปีก่อนหน้า ส่วนอัตราเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนจาก

งบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปีจะอยู่ที่ร้อยละ 90.0 ต่ากว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 91.4 ในปีก่อนหน้า ขณะที่งบลงทุนรัฐวิสาหกิจจะมีอัตร

เบิกจ่ายอยู่ที่ร้อยละ 80.0 ต่ากว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 93.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

กรอบและวงเงินลงทุนภาครัฐ

(หน่วย: พันล้านบาท) ปีงบประมาณ 2567 ปีงบประมาณ 2568 % YoY

งบประมาณรายจ่ายประจาปี1/ 682.4 775.3 13.6

งบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปี 132.3 233.4 76.5

งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ2/ 380.1 378.3 -0.5

วงเงินลงทุนภาครัฐรวม 1 194.8 1 387.1 16.1

ที่มา: เอกสารงบประมาณ กรอบและวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจาปีงบประมาณ 2567 - 2568 และคานวณโดย สศช.

หมายเหตุ: 1/ ไม่รวมงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ

2/ งบลงทุนรัฐวิสาหกิจรวมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจประเภทบริษัทมหาชนจากัดและบริษัทในเครือ และข้อมูลการลงทุนของ

บริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) และบริษัทในเครือเป็นการลงทุนในประเทศ

ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 ในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 69.3 แต่ต่ากว่าเป้าหมาย

เนื่องจากการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนในงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ 2568 มีอัตราเบิกจ่ายเพียงร้อยละ 13.4 ต่ากว่าเป้าหมายที่ร้อยละ

17.0 อย่างไรก็ตาม การเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนในงบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปีและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจอยู่ในเกณฑ์ดี

ดังนั้น จึงควรให้ความสาคัญต่อการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุน และการติดตามความคืบหน้าของ 20 โครงการลงทุนสาคัญของรัฐวิสาหกิจ

ในปี 2568 ให้เป นไปตามแผนที่กาหนดไว้ โดยการเร่งรัดโครงการที่อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้างให้สามารถลงนามในสัญญาโดยเร็ว ทั้งนี้

โครงการลงทุนสาคัญดังกล่าวมีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนประมาณ 90,282.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 34.2 ของกรอบงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ

ปี 2568 โดยมีโครงการลงทุนซึ่งมีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนในปี 2568 สูงกว่า 10,000 ล้านบาท 2 โครงการ ได้แก่ โครงการความร่วมมือระหว่าง

รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค

ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน -

ราษฎร์บูรณะ

Economic Outlook

1) ความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยมีเงื่อนไขความเสี่ยงที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย (1) ความไม่แน่นอนจากการดาเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างมีนัยสาคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการยกระดับความเข้มข้นของมาตรการกีดกันทางการค้าไปยังประเทศคู่ค้าสาคัญและนามาซึ่งมาตรการตอบโต้จากประเทศที่ได้รับผลกระทบจนส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานการผลิตโลกและทิศทางการลงทุน (2) ความยืดเยื้อของสานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค ทั้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความขัดแย้งในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน ซึ่งหากมีการยกระดับความรุนแรงจะส่งผลต่อราคาพลังงาน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และต้นทุนการขนส่งโลจิสติกส์ในตลาดโลก (3) การดาเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสาคัญที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อในแต่ละประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจ สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้ออันอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มดาเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะดาเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ภายใต้ทิศทางการปรับนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของประเทศเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศกาลังพัฒนาและเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งความผันผวนของตลาดการเงินโลก และ (4) ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เนื่องจากการลงทุนภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่า โดยเฉพาะการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดสภาพคล่องและระดับหนี้สิน ประกอบกับแนวโน้มการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศท่ามกลาง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ที่ลดลงและตลาดแรงงานยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงผลกระทบจากความไม่แน่นอนของการดาเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจยกระดับความรุนแรงมากขึ้นในระยะต่อไป ทั้งนี้ ทิศทางการฟื้นตัวที่ล่าช้าของอุปสงค์ภายในประเทศของจีนส่งผลให้ภาคการผลิตยังคงเผชิญกับปัญหากาลังการผลิตส่วนเกิน (Industrial overcapacity) สะท้อนจากระดับสินค้าคงคลังที่สูงขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในหมวดสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และยานยนต์ ซึ่งนาไปสู่การส่งออกสินค้าของจีนไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกและก่อให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคา จนส่งผลกระทบต่อหลายประเทศที่ผู้ประกอบการไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจากจีนที่มีราคาต่อหน่วยต่ากว่าโดยเปรียบเทียบได้

2) ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงภายใต้มาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 89.0 เทียบกับร้อยละ 91.0 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงสูงกว่าร้อยละ 83.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะเดียวกัน คุณภาพของสินเชื่อยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) และสัดส่วนสินเชื่อจัดชั้นพิเศษ (Special Mention Loans: SMLs) ต่อสินเชื่อรวมของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 3.3 และร้อยละ 7.5 ของมูลค่าสินเชื่อทั้งหมด สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกัน คุณภาพสินเชื่อภาคธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับต่าโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีสัดส่วน NPLs และ SMLs ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ในระดับสูงที่ร้อยละ 7.7 และร้อยละ 12.4 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.6 และร้อยละ 11.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามลาดับ ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดกับการให้สินเชื่อธุรกิจต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพิจารณาหลักทรัพย์ค้าประกัน ซึ่งเป็นผลจากคุณภาพสินเชื่อโดยรวมที่ยังด้อยลง ขณะเดียวกันยังเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อภาคครัวเรือนในทุกประเภท ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ยอดสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่ยังลดลงต่อเนื่องที่ร้อยละ 2.2

3) ความเสี่ยงความผันผวนในภาคการเกษตรทั้งผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรที่สาคัญ ๆ โดยคาดว่าในปี 2568 ผลผลิตเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปี 2567 เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออานวยมากขึ้น สะท้อนจากปริมาณน้าที่มีแนวโน้มเพียงพอกับการเพาะปลูก โดยข้อมูลปริมาณน้า ในเขื่อนล่าสุด ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 สถานการณ์ปริมาณน้าในอ่างเก็บน้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศทั้งสิ้น 35 แห่ง พบว่า มีปริมาตรน้าจานวน 52,770 ล้านลูกบาศก์เมตรคิดเป็นร้อยละ 74.40 ของความจุทั้งหมด และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ระดับราคาสินค้าเกษตรมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง สอดคล้องกับแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลงท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตข้าวจากผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกทั้งอินเดียและเวียดนามที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ขณะเดียวกันมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมรวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสาคัญที่อาจส่งผลให้ราคาวัตถุดิบทางการเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร

ข้อจากัดและปัจจัยเสี่ยง

เราช่วย? เป็นมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ประกอบด้วยมาตรการย่อย 2 มาตรการ ได้แก่ (1) มาตรการ ?จ่ายตรง คงทรัพย์? และมาตรการ ?จ่าย ปิด จบ? ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ1 และ (2) มาตรการ ?ลดผ่อน ลดดอก? และมาตรการ "จ่าย ปิด จบ" ของ Non-Bank2 โดยหลักการสาคัญของมาตรการคือการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระทางการเงินให้กับประชาชนและ SMEs ในกลุ่มเปราะบางที่ประสบความยากลาบากในการชาระหนี้ ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อผู้ประกอบธุรกิจรายเล็ก เพื่อให้สามารถกลับมาชาระหนี้ได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระการผ่อนชาระต่องวดอย่างมีนัยสาคัญในช่วงที่เข้าร่วมมาตรการ ทั้งนี้ ลูกหนี้สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 - 30 เมษายน 2568 (ขยายระยะเวลาจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568)

สาหรับประมาณการจานวนลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการ ?จ่ายตรง คงทรัพย์? และมาตรการ ?จ่าย ปิด จบ? ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ไม่รวม Non-Bank) รวมทั้งสิ้นจานวน 2.0 ล้านบัญชี หรือ 1.8 ล้านราย และมียอดหนี้ รวมทั้งสิ้น 8.1 แสนล้านบาท ดังนี้

จากข้อมูลล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่า มีประชาชนผู้ลงทะเบียนโครงการ คุณสู้ เราช่วย รวมทั้งสิ้น 7.7 แสนราย หรือจานวน 9.2 แสนบัญชี3 คิดเป็นร้อยละ 42.78 ของจานวนลูกหนี้ 1.8 ล้านรายที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมได้ และคิดเป็นร้อยละ 46.00 ของจานวนบัญชี 2.0 ล้านบัญชีที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งจะเห็นว่ายังมีลูกหนี้อีกกว่าครึ่งที่มีคุณสมบัติ แต่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้ การขยายระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ จากเดิมวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ 30 เมษายน 2568 จะเพิ่มโอกาสให้ลูกหนี้ที่มีสภาพคล่องเพียงพอสามารถเข้าร่วมมาตรการและกลับมาชาระหนี้ได้ตามปกติในระยะข้างหน้าเมื่อสภาพคล่องกลับฟื้นตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

สภาพคล่องภาคครัวเรือนและความคืบหน้ามาตรการ คุณสู้ เราช่วย

เกณฑ์การประเมินความเสี่ยงจากการดาเนินนโยบายของทรัมป์

ภายหลังเข้ารับตาแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จัดทานโยบายการค้าอเมริกามาก่อน (American First Trade Policy) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทารายงานเสนอภายในวันที่ 1 เมษายน 2568 ครอบคลุมประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล (Unfair & Unbalanced Trade) ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับจีน รวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม (Economic Security) เพื่อกาหนดกรอบนโยบายด้านต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยมาตรการที่ดาเนินต่อประเทศต่าง ๆ จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเป็นธรรมทางการค้าต่อสหรัฐฯ ทั้งนี้ สานักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จะมีการจัดทารายงานผลการประเมินการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้า (National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers: NTE) เป็นประจาทุกปี มีเนื้อหาสาคัญระบุถึงอุปสรรคทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า โดยในรายงานฉบับปี 2567 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เผยแพร่เมื่อ 29 มีนาคม 2567 มีการระบุถึงมาตรการกีดกันทางการค้าของไทยที่สาคัญ ได้แก่ อัตราภาษีนาเข้าที่อยู่ในระดับสูง โดยอัตราภาษีนาเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอื่น ๆ เฉลี่ยของไทยอยู่ที่ร้อยละ 27.0 และร้อยละ 7.1 เทียบกับร้อยละ 5.0 และร้อยละ 3.1 ของสหรัฐฯ ตามลาดับ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าของไทยที่ไม่ใช่ภาษี ได้แก่ การต้องขอบัตรอนุญาตให้นาเข้าสินค้าบางประเภท เช่นการนาเข้าเชื้อเพลิงชีวภาพ ไม้ เครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องสาอาง รวมถึงหลักสุขอนามัยของสินค้าประเภทปศุสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ใช้มาตรฐานสูงเกินไปจากหลักสากลหรือผลทางวิทยาศาสตร์ เช่น การใช้สารเร่งเนื้อแดงในหมู รวมถึงข้อจากัดในการลงทุนในประเทศไทยที่ยังจากัดสัดส่วนผู้ถือหุ้น ไม่เกินร้อยละ 50 ในหลาย ๆ ธุรกิจ เช่น โทรคมนาคม การขนส่ง และธนาคาร นอกจากนี้ บางสาขาอาชีพยังมีไว้ให้สาหรับคนไทยโดยเฉพาะ ทั้งนี้ รายงาน NTE ยังให้ความสาคัญกับความเข้มงวดของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิแรงงานของไทยอีกด้วย

เมื่อพิจารณาร่วมกับงานศึกษาของสถาบันต่าง ๆ ถึงเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยงของประเทศคู่ค้าของสหรัฐ ฯ ทั้งเกณฑ์ด้านการค้า ความมั่นคง ภาครัฐบาล การลงทุน และผู้อพยพ โดยเมื่อพิจารณาจากมิติดุลการค้าพบว่าไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีเกณฑ์ความเสี่ยงจาก ทุกสถาบัน สอดคล้องกับข้อมูลดุลการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2567 อยู่ในลาดับที่ 11 เมื่อเทียบกับคู่ค้าสาคัญ

ช่องทางการส่งผ่านผลกระทบการดาเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อการค้าของไทย

การดาเนินมาตรการกีดกันทางการค้ารอบใหมร่ หว่างสหรฐั ฯ และจนี เรมิ่ ตน้ อยา งเป็นทางการเมอื่ ประธานาธิบดสี หรฐั ฯ ไดล้ งนามคาสงั่ ฝา ยบรหิ ร

ที่ 14195 เรื่อง ?การกาหนดอากรเพิ่มเติมสาหรับสินค้านาเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (Imposing Duties to Address the Synthetic Opioid

Supply Chain in the People's Republic of China)? ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีเนื้อหาสาคัญว่า สหรัฐฯ จะเก บภาษีนาเข้าสินค้าทุกชนิด

ที่เป นผลิตภัณฑ์ของจีนเพิ่มเติมร้อยละ 10 ของมูลค่าสินค้า (ad valorem duty) โดยมีผลตั้งแต่ เวลา 12:01 น. ของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

ซึ่งหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศการเก็บภาษีจากจีนเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 จีนก็ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านาเข้าจากสหรัฐฯ

หลายประเภท เพื่อตอบโต้มาตรการของสหรัฐฯ ในหลายรายการ ได้แก่ กลุ่มถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และน้ามันดิบ เครื่องจักรทาง

การเกษตร และสินค้ารถยนต์บางประเภทเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 นี้เป็นต้นไป

ทิศทางการดาเนินมาตรการในระยะต่อไปยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่สูง จึงจาเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบและ

เตรียมการในการรับมือผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ จากการประเมินช่องทางการส่งผ่านของผลกระทบต่อ

เศรษฐกิจไทยในเบื้องต้น คาดว่า ผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะถูกส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยใน 4 ช่องทางสาคัญ

ได้แก่ (1) ผลกระทบผ่านการส่งออกสินค้าของไทยผ่านห่วงโซ่การผลิต (2) ผลกระทบผ่านการระบายสินค้าส่งออกของจีนมายังไทย (3) ผลกระทบจาก

การที่ไทยอาจจะเสียส่วนแบ่งตลาดจากตลาด ASEAN และ (4) ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนาเข้าโดยตรงจากไทย โดยมีรายละเอียดแต่ละช่องทาง ดังนี้

1. ผลกระทบผ่านการส่งออกของไทยผ่านห่วงโซ่การผลิต เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนาเข้า

กับจีน จะส่งผลให้จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งจะทาให้ความต้องการสินค้าของไทย

โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นสินค้าขั้นกลางในห่วงโซ่การผลิตของจีนมีโอกาสที่จะลดลงด้วย

โดยสินค้าสาคัญที่ไทยเป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของจีน ได้แก่ ร ยนต์นั่งและ

คอมพิวเตอร์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 พบว่า ภายหลังจากที่จีนส่งออกยานยนต์ไป

สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 8.7 พบว่า ไทยส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังจีนลดลงร้อยละ

19.5 โดยที่ชิ้นส่วนยานยนต์สาคัญ ๆ ที่ไทยส่งออกไปจีนลดลง เช่น ยางรถยนต์ (ลดลง

ร้อยละ 12.8) Airbag (ลดลงร้อยละ 14.4) แผงหน้าปัด (ลดลงร้อยละ 30.0) ตัวถัง

(ลดลงร้อยละ 14.5) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบว่า จีนส่งออกคอมพิวเตอร์ไปสหรัฐฯ

ลดลงร้อยละ 22.2 ส่วนไทยก็ส่งออกสินค้าที่เป็นส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ไปจีนลดลง

ร้อยละ 9.1 เช่นกัน โดยส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ที่ไทยส่งออกไปจีนลดลง เช่น Hard

Disk Drive (ลดลงร้อยละ 14.4) เครื่องแปลงไฟฟ้า (ลดลงร้อยละ 34.0) และพัดลม

สาหรับคอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 2.3) เป็นต้น

2. ผลกระทบจากการที่จีนระบายสินค้าส่งออกมายังไทย1 เมื่อจีนส่งออกไปสหรัฐฯ

ลดลง ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ส่งผลให้มีแนวโน้ม

ที่จีนจะระบายสินค้าที่ผลิตไว้ไปยังประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทย โดยอาศัยความได้เปรียบ

ของการแข่งขันด้านราคาที่ต่า สะท้อนจากราคานาเข้าของไทยที่ลดลง ขณะที่ปริมาณ

การนาเข้าสินค้าสูงขึ้น สินค้าที่คาดว่าจีนจะมีการระบายออกมายังไทย แบ่งออกเป็น

3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้าย เช่น ลาโพง โทรทัศน์ พัดลม

กระเป๋า เป็นต้น 2) สินค้าส่วนประกอบขั้นกลาง เช่น ชิ้นส่วนพลาสติก ชิ้นส่วน

เครื่องปรับอากาศ พวงมาลัยรถยนต์ ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ เป็นต้น และ

3) วัต ดิบ เช่น เหล็กม้วนกลม เหล็กโครงสร้าง อะลูมิเนียม ท่อเหล็ก เป็นต้น

3. ผลกระทบจากการที่ไทยอาจจะเสียส่วนแบ่งตลาดจากตลาด ASEAN เมื่อจีน

ส่งออกไปยังสหรัฐฯ น้อยลง จึงมีแนวโน้มที่จีนจะส่งออกสินค้าไปยังตลาด ASEAN

ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกหลักของไทย โดยสินค้าที่คาดว่าจะเข้าข่ายที่ไทยอาจจะต้อง

เสียส่วนแบ่งตลาด ASEAN ให้จีน เช่น รถยนต์นั่งและชิ้นส่วน รถกระบะและชิ้นส่วน

แผงวงจรรวม เป็นต้น

4. ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนาเข้าโดยตรงจากไทย เนื่องจากในระยะถัดไป มีแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนาเข้าตอบโต้ในอัตราที่ประเทศต่าง ๆ

เรียกเก็บต่อสหรัฐ (reciprocal tariffs) ซึ่งหากดาเนินการเช่นนั้นจริง คาดว่าสินค้าไทยน่าจะมีแนวโน้มถูกเก็บภาษีเพิ่มหลายรายการ ที่สาคัญ อาทิ

1) กลุ่มอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล กทรอนิกส์ 2) กลุ่มเครื่องจักรเครื่องมือ 3) สินค้าในกลุ่มยานยนต์ 4) กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก และ

5) กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์จากเหล ก โดยสัดส่วนมูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ของสินค้าทั้ง 5 กลุ่มนี้ รวมอยู่ที่ร้อยละ 65.5 ของมูลค่าการส่งออก

ไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด (จาแนกรายกลุ่มสินค้าเป็นร้อยละ 32.0 ร้อยละ 24.8 ร้อยละ 4.2 ร้อยละ 2.6 และร้อยละ 2.1 ตามลาดับ)

ภายใต้ทิศทางการดาเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าสาคัญ ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่สูงและอาจ

ยกระดับความรุนแรงมากขึ้นจากในปัจจุบันที่เริ่มมีการดาเนินการบังคับใช้มาตรการบางส่วนแล้วผ่านการขึ้นภาษีนาเข้า จึงจาเป็นต้องติดตามพัฒนา

การของสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบและเตรียมการในการรับมือผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยได้อย่างทันท่วงที

การขึ้นอัตราภาษีนาเข้าสินค้ากลุ่มเหล กและผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์1 และนัยของอุตสาหกรรมเหล กของไทย

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ลงนามในคาสั่งประธานาธิบดีโดยมีเนื้อหาว่าจะมีการประกาศปรับขึ้นภาษีนาเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมสู่ระดับร้อยละ 25 (จากเดิมร้อยละ 10) โดยไม่มีข้อยกเว้นและยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศและข้อตกลงตามโควตา รวมทั้งยกเลิกการยกเว้นภาษีเฉพาะผลิตภัณฑ์ (product-specific tariff) ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2568 ผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากมาตรการนี้ คาดว่าจะเกิดเป็นวงกว้างสาหรับอุตสาหกรรมเหล็ก อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ รวมถึงไทยด้วย

จากข้อมูลของ UNITED STATES INTERNATIONAL TRADE COMMISSION พบว่า ในปัจจุบัน อัตราภาษีที่แท้จริงที่สหรัฐฯ มีการจัดเก็บ กับทุกประเทศในสินค้า เหล็กและเหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก และอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ อยู่ที่ร้อยละ 2.4 ร้อยละ 7.7 และ ร้อยละ 7.2 ตามลาดับ โดยประเทศผู้นาเข้าสาคัญ ๆ ของสหรัฐฯ เช่น แคนาดา เม็กซิโก และเกาหลีใต้ มีระดับอัตราภาษีนาเข้าที่สหรัฐฯ จัดเก็บจริงอยู่ในระดับต่า (รายละเอียดตามตารางที่ 1) ซึ่งเมื่อมีการขึ้นอัตราภาษีนาเข้า เพิ่มอีกร้อยละ 25 คาดว่าน่าจะส่งผลให้อัตราภาษีที่แท้จริง ที่สหรัฐฯ ที่มีการจัดเก็บกับกลุ่มสินค้าดังกล่าว เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญ และอาจจะส่งผลกระทบกับราคาสินค้ากลุ่มนี้ภายในประเทศสหรัฐฯ ได้

การขึ้นอัตราภาษีนาเข้าสินค้ากลุ่มเหล กและผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ และนัยของอุตสาหกรรมเหล กของไทย (ต่อ)

สาหรับผลกระทบต่อไทยนั้น คาดว่าจะสงผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่

1. ผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเหล กและผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียมและ

ผลิตภัณฑ์ ของไทยไปยังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็น

ผลจากความต้องการสินค้าทั้ง 3 กลุ่มของไทยในตลาดสหรัฐฯ

มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา สอดคล้องกับ

การลดลงของระดับราคานาเข้าสินค้าทั้ง 3 กลุ่ม ซึ่งส่งผลให้มูลค่า

การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในสินค้ากลุ่มนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เดมิ อัตราภาษที แ ทจ้ รงิ ทสี่ หรฐั ฯ เกบ็ กบั ไทยในสนิ คา ทงั้ 3 กลมุ่ นี้

อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศผู้นาเข้าในตลาดสหรัฐฯ อื่น ๆ

(รายละเอียดตามตารางที่ 1) ซึ่งหากมีการขึ้นอัตราภาษีนาเข้าร้อยละ 25

คาดว่าระดับราคาสินค้าของไทยทั้ง 3 กลุ่มที่เข้าไปขายในตลาดสหรัฐฯ

มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถ

ในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

2. ผลกระทบจากการนาเข้าสินค้าจากจีนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผลผลิตเหล็กภายในประเทศของจีนยังคงอยู่ในระดับสูง โดย

ในปี 2567 จีนผลิตเหล็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทาให้ผลผลิตเหล็กจากจีนอยู่ที่ระดับ 2,053,977 ตัน ซึ่งอยู่ในระดับที่ยังสูงมาก

อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยก็มีความพยายามที่จะลดระดับการนาเข้าสินค้ากลุ่มเหล็กและผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์จากจีน

ลง โดยจะเห็นได้ว่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มเหล็กและเหล็กกล้า จากจีนมาไทยนั้นลดลงร้อยละ 15.0 อย่างไรก็ดี ในส่วนของการส่งออกในกลุ่มของ

ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก (HS73) และกลุ่มอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 และร้อยละ 17.6 ตามลาดับ

การดาเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้าของจีน

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 จีนประกาศมาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ ภายหลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการขึ้นภาษีนาเข้าสินค้าทั่วไป

จากจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ส่งผลให้จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้านาเข้าจากสหรัฐฯ โดยขึ้นอัตราภาษีร้อยละ 15 กับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)

และภาษรี อ้ ยละ 10 กบั น้ามนั ดบิ อุปกรณท์ งการเกษตร และรถยนตบ์ งประเภท และให้มผี ลบังคบั ใช้ในวนั ที่ 10 กมุ ภาพนั ธ 2568 เป็นตน้ ไป ทงั้ นี้

เมื่อพิจารณาข้อมูลการค้าในกลุ่มสินค้าดังกล่าว พบว่า จีนนาเข้าสินค้าดังกล่าวมูลค่าประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. จากสหรัฐฯ ประกอบด้วย

ถ่านหินและก๊าซมูลค่าประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และน้ามันดิบมูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์สรอ. ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 8.5 ของการนาเข้าสินค้า

จากสหรัฐฯ ทั้งหมดในปี 2567 และคิดเป็นร้อยละ 0.5 ของการนาเข้ารวมของจีน ทั้งนี้ จีนไม่ได้นาเข้ากลุ่มสินค้าดังกล่าวจากสหรัฐฯ เป็นหลัก อาทิ

ถ่านหิน (Coal) ส่วนใหญ่มีการนาเข้าจากออสเตรเลีย อินโดนีเซีย รัสเซีย และมองโกเลีย สะท้อนว่ามาตรการกีดกันทางการค้าของจีนต่อสหรัฐฯ

มีผลอย่างจากัดต่อเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาการส่งออกของสหรัฐฯ พบว่าสัดส่วนการส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีนในกลุ่มสินค้าดังกล่าว

คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.2 ของการส่งออกไปจีน และร้อยละ 0.1 ของการส่งออกรวมของสหรัฐฯ จึงมีผลต่อสหรัฐฯ อย่างจากัดเช่นกัน

นอกจากนี้ ในวนั ที่ 4 กมุ ภาพนั ธ 2568 จนี ไดป้ ระกาศมาตรการควบคมุ การส่งออกสินคา แรธ่ ตสุ คญั 5 ชนิด ไดแ ก่ ทังสเตน เทลลูเรยี ม บสิ มทั

โมลิบดีนัม และอินเดียม รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยแร่ธาตุดังกล่าวเป็นวัตถุดิบสาคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ พลังงานสะอาด และ

อุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยแม้ว่าจีนจะยังไม่ยกระดับมาตรการถึงการระงับการส่งออก แต่ผู้ประกอบการจาเป็นต้องขอใบอนุญาตส่งออก ซึ่งรัฐบาลจีน

สามารถควบคุมการส่งออกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไปยังสหรัฐฯ นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา จีนได้ประกาศห้ามส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง

(Dual-use items: DUI) หรือสินค้าที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งทางด้านพาณิชย์และทางทหาร อาทิ แร่ธาตุแกลเลียม เจอร์เมเนียม แอนทิโมนีหรือ

พลวง และวัสดุแข็งพิเศษไปยังสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ภายหลังจากสหรัฐฯ ประกาศใช้นโยบายควบคุมการค้าในภาค

เซมิคอนดักเตอร์ต่อจีน

เมื่อพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับประกาศทั้งสองฉบับ พบว่า ประเทศคู่ค้าสาคัญ 5 อันดับแรกของจีนที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มสินค้า

แร่สาคัญ1 สูงสุดในปี 2567 ได้แก่ ฮ่องกง (ร้อยละ 30.7) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 23.7) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 8.0) ไต้หวัน (3.6) และสหรัฐฯ (ร้อยละ 3.4)

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการนาเข้ากลุ่มสินค้าดังกล่าวของสหรัฐฯ พบว่า ประเทศคู่ค้าสาคัญ 5 อันดับแรกของสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนการนาเข้า

กลุ่มสินค้าแร่สาคัญสูงสุดในปี 2567 ได้แก่ เม็กซิโก (ร้อยละ 31.6) แคนาดา (ร้อยละ 12.5) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 8.7) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 8.3) และจีน

(ร้อยละ 7.2) โดยสัดส่วนดังกล่าวสะท้อนว่า แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้มีการนาเข้าแร่ธาตุกลุ่มนี้จากจีนในสัดส่วนจานวนมากที่สุด แต่ก็นับเป็นคู่ค้า

5 อันดับแรก เนื่องจากแร่ธาตุดังกล่าวนับเป็นวัตถุดิบสาคัญสาหรับการผลิตวัตถุดิบต้นน้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ จากข้อมูลของ

สานักงานสารวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) พบว่าในปี 2567 จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายาก (Rare earths)2 คิดเป็นประมาณร้อยละ

69.2 ของการผลิตทั้งโลก และมีสัดส่วนการสารองแร่หายากประมาณร้อยละ 48.9 ในขณะที่สหรัฐฯ มีสัดส่วนการผลิตแร่หายากเพียงร้อยละ 11.5

ดังนั้น มาตรการควบคุมแร่หายากของจีนจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมสินค้าที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์

อย่างมีนัยสาคัญ

1 Products: 284180 (Tungstates (Wolframates)), 282590 (Inorganic Bases; Other Metal Oxides, Hydroxides And Peroxides, Nesoi), 284990 (Carbides, Nesoi,

Whether Or Not Chemically Defined), 810194 (Tungsten, Unwrought, Including Bars And Rods Obtained Simply By Sintering), 810199 (Tungsten, Wrought,

Nesoi), 710691 (Silver, Unwrought Nesoi (Other Than Powder)), 710692 (Silver, Semimanufactured), 280450 (Boron; Tellurium), 284290 (Salts Of Inorganic

Acids Or Peroxoacids, Excluding Azides, Nesoi), 381800 (Chemical Elements Doped For Use In Electronics, In The Form Of Discs, Wafers Or Similar Forms;

Chemical Compounds Doped For Use In Electronics) and 15 more

2 https://pubs.usgs.gov/periodicals/mcs2025/mcs2025.pdf หน้า 144-145 ประมวลผลโดย สศช.

การนาเข้ากลุ่มสินค้าที่ขึ้นอัตราภาษีร้อยละ 10 ของจีน

จากประเทศคู่ค้าสาคัญ

สหรัฐฯ รัสเซีย ซาอุดิอาราเบีย มาเลเซีย อิรัก โอมาน อื่น ๆ

การนาเข้ากลุ่มสินค้าที่ขึ้นอัตราภาษีร้อยละ 15 ของจีน

จากประเทศคู่ค้าสาคัญ

สหรัฐฯ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย รัสเซีย การ์ตา มองโกเลีย อื่น ๆ

6.4

2.8

4.5

การนาเข้ารวม

กลุ่มเพิ่มภาษี 10%

กลุ่มเพิ่มภาษี 15%

สัดส่วนการนาเข้าสินค้าของจีน แยกตามประเทศต้นทาง

สหรัฐฯ ประเทศอื่น

7.3

1.5

4.5

ส่งออกรวม

กลุ่มเพิ่มภาษี 10%

กลุ่มเพิ่มภาษี 15%

สัดส่วนการส่งออกสินค้าของสหรัฐฯ

จีน อื่นๆ

ที่มา: Global Trade Atlas, ประมวลผลโดย สศช. หมายเหตุ: ข้อมูลล่าสุดของสหรัฐฯ ปี 2566

0

5,000

10,000

15,000

20,000

25,000

ข้อสมมติฐานการประมาณการเศรษฐกิจปี 2568

1) เศรษฐกิจโลกในปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 3.0 ชะลอลงจากร้อยละ 3.2 ในปี 2567 ตามแนวโน้มการชะลอตัวของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนท่ามกลางแนวโน้มแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนที่ยังคงเผชิญปัญหาหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นข้อจากัดของการขยายตัวของการลงทุนภายในประเทศ ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะเผชิญความเสี่ยงด้านต่าจากความไม่แน่นอนของการดาเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าสาคัญ ที่อาจยกระดับความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความยืดเยื้อของ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ สมมติฐานของการประมาณการในกรณีฐานครั้งนี้ประเมินอยู่บนพื้นฐานของการดาเนินมาตรการกีดกัน ทางการค้าเฉพาะในส่วนที่ประกาศบังคับใช้ในปัจจุบัน (ก่อนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568) โดยไม่ได้รวมมาตรการทางการค้าที่อาจมีเพิ่มเติมซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูง ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวคาดว่าปริมาณการค้าโลกในปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 3.0 ชะลอลงจากร้อยละ 3.4 ในปีก่อนหน้า

2) ค่าเงินบาทเฉลี่ยในปี 2568 อยู่ในช่วง 34.5 - 35.5 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข งค่าขึ้นเล กน้อยจากเฉลี่ย 35.3 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในปี 2567 และเท่ากับสมมติฐานการประมาณการครั้งก่อน โดยข้อมูลล่าสุด ค่าเงินบาทเฉลี่ยในช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 34.15 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. และคาดว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งแรกของปี ตามแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. สอดคล้องกับการส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลให้เงินลงทุนมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ามากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการอ่อนค่า ของค่าเงินหยวนตามทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าเงินบาทจะปรับแข็งค่าขึ้นอย่างช้า ๆ ในช่วงหลังของปี ตามแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการเกินดุลอย่างต่อเนื่องของดุลบัญชีเดินสะพัดที่ได้รับ แรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้าและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2568 เงินบาทยังมีแนวโน้ม ที่จะผันผวนในเกณฑ์สูงตามความไม่แน่นอนของการดาเนินมาตรการกีดกันทางการค้าและมาตรการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมทั้งการปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสาคัญ

3) ราคาน้ามันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2568 ในช่วงร้อยละ 75.0 - 85.0 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ทรงตัวใกล้เคียงกับระดับเฉลี่ย 79.3 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในปี 2567 และเท่ากับการประมาณการครั้งก่อน โดยมีปัจจัยเสี่ยงทางบวกที่ทาให้ราคาน้ามันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ (1) ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่อาจส่งผลต่ออุปทานน้ามันดิบในตลาดโลก และ (2) การคว่าบาตรบริษัทผลิตและจาหน่ายน้ามันรัสเซียโดยสหรัฐฯ37 อย่างไรก็ตาม ราคาน้ามันในปี 2568 ยังมีโอกาสที่จะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านต่าที่ส่งผลให้ราคาน้ามันปรับตัวลดลง ได้แก่ (1) แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศสาคัญทั้งสหรัฐฯ และจีน (2) แนวโน้มการปรับเพิ่มกาลังการผลิตน้ามันของสหรัฐฯ จากการเพิ่มแท่นขุดเจาะน้ามันภายใต้แนวนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ (3) แนวโน้มการปรับเพิ่มกาลังการผลิตของกลุ่มประเทศ OPEC+38 ที่จะส่งผลให้อุปทานและสต็อกน้ามันโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปี 2568 และ 2569 และ (4) ความต้องการใช้น้ามันดิบลดลงจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเพื่อความเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

Economic Outlook

4) ราคาสินค้าส่งออกและราคาสินค้านาเข้าในรูปดอลลาร์ สรอ. ในปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.0 - 1.0 และร้อยละ 0.0 - 1.0 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 1.4 และร้อยละ 1.0 ในปี 2567 แต่เป็นการปรับเพิ่มจากสมมติฐานการประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ (-0.2) - 0.8 และร้อยละ (-0.2) - 0.8 ตามลาดับ ตามแนวโน้มการบังคับใช้มาตรการกีดกันทางการค้าและสถานการณ์ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดว่าจะ ส่งผลให้ทาให้ต้นทุนการนาเข้าและขนส่งสินค้าเพิ่มสูงขึ้น

5) รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2568 จานวน 1.69 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.50 ล้านล้านบาทในปี 2567 ตามการเพิ่มขึ้นของจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามาทั้งสิ้น 38.0 ล้านคน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 35.5 ล้านคนในปี 2567 และเท่ากับสมมติฐานการประมาณการครั้งก่อน และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 44,484 บาทต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 42,301 บาทต่อคนต่อทริปในปี 2567 และใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดที่เฉลี่ย 45,584 บาทต่อคนต่อทริปในปี 2562 ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และรัสเซีย

6) การเบิกจ่ายงบประมาณ ประกอบด้วย (1) อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ 2568 คาดว่าจะมีอัตรา การเบิกจ่ายงบประมาณอยู่ที่ร้อยละ 93.0 ของงบประมาณเทียบกับร้อยละ 94.1 ในปีงบประมาณ 2567 แบ่งเป็น รายจ่ายประจาร้อยละ 98.0 และรายจ่ายลงทุนร้อยละ 75.0 เทียบกับร้อยละ 101.1 และร้อยละ 65.2 ในปีงบประมาณก่อนหน้า ตามลาดับ ซึ่งเป็น การคงสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจาปี 2568 จากการประมาณการครั้งก่อน ทั้งนี้ สมมติฐานการประมาณการครั้งนี้ ยังไม่รวมงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงินรวม 187,700 ล้านบาท39 ส่งผลให้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจาปี 2568 อยู่ที่ 3.57 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณรายจ่ายประจา 2.79 ล้านล้านบาท และงบรายจ่ายลงทุน 0.776 ล้านล้านบาท ตามลาดับ (2) อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณเหลื่อมปีในปีงบประมาณ 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 90.8 ของงบประมาณทั้งหมด เทียบกับร้อยละ 91.4 ในปีงบประมาณ 2567 และเท่ากับสมมติฐานในการประมาณการครั้งก่อน แบ่งเป็น รายจ่ายประจาร้อยละ 95.0 และรายจ่ายลงทุนร้อยละ 90.0 ตามลาดับ และ (3) การเบิกจ่ายงบลงทุนในประเทศของรัฐวิสาหกิจในปี 2568 (15 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 - ธันวาคม 2568) คาดว่าจะอัตราการเบิกจ่ายที่ร้อยละ 80.0 ของงบประมาณ คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 3.41 แสนล้านบาท และลดลงร้อยละ 12.8 จากปีก่อนหน้า

39 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจคาดว่าจะมีการใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ระยะที่สามคิดเป็นวงเงิน 30,000 ล้านบาท และ 157,000 ล้านบาท ตามลาดับ

ประมาณการเศรษฐกิจปี 2568

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 2.3 - 3.3 (ค่ากลางการประมาณการที่ร้อยละ 2.8) เทียบกับร้อยละ 2.5 ในปี 2567 อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 - 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5 ของ GDP

ในการแถลงข่าววันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวร้อยละ 2.3 - 3.3 โดยมีค่ากลางการประมาณการอยู่ที่ร้อยละ 2.8 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในปี 2567 และเท่ากับ การประมาณการในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 แต่มีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและการปรับเปลี่ยนสมมติฐานประมาณการที่สาคัญ ๆ ดังนี้

1) การปรับสมมติฐานการเบิกจ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนการดาเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ประกอบด้วย โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ และ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ระยะที่สาม วงเงินรวมทั้งสิ้น 187,700 ล้านบาท39 โดยเป็น การปรับเปลี่ยนสมมติฐานการเบิกจ่ายจากเดิมที่กาหนดไว้ภายใต้กรอบงบประมาณประจาปี 2568 ในส่วนของงบกลาง รายการค่าใช้จ่าย ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ปรับเปลี่ยนให้เป็นเงินโอนสาหรับประชาชนในการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้ในการประมาณการครั้งนี้คาดว่าการอุปโภคภาครัฐบาลและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวร้อยละ 1.3 และร้อยละ 4.7 ปรับลดลงจากร้อยละ 2.1 และร้อยละ 6.5 ตามลาดับ ในขณะที่คาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.3 ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.0 ในการประมาณการครั้งก่อน

2) การปรับอัตราการขยายตัวของการส่งออกและการนาเข้าสินค้าและบริการ ให้สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวดีกว่าที่คาดนับตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ซึ่งปริมาณการส่งออกและปริมาณการนาเข้าขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 9.3 และร้อยละ 9.1 ตามลาดับ และคาดว่าแรงส่งของการขยายตัวดังกล่าวจะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ตามการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการค้าโลกและ วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งแนวโน้มการกลับมาขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศ

องค์ประกอบของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อเนื่องจากร้อยละ 4.4 ในปี 2567 และเป็นการปรับเพิ่มจากการประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 3.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่อยู่ในเกณฑ์ดี และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่า ขณะที่ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาลคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.3 ชะลอลงจากร้อยละ 2.5 ในปี 2567 และลดลงจากร้อยละ 2.1 ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากการปรับสมมติฐานที่เปลี่ยนกรอบการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณประจาปี 2568 ในส่วนของงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ไปใช้สาหรับการดาเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงการปรับลดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ 2569

2) การลงทุนรวม คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.6 เทียบกับร้อยละ 0.0 ในปี 2567 โดย (1) การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2 ฟื้นตัวจากการลดลงร้อยละ 1.6 และเป็นการปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ร้อยละ 2.8 สอดคล้องกับการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และ การขยายตัวต่อเนื่องของปริมาณการนาเข้าสินค้าทุน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ (2) การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.7 ต่อเนื่องจากร้อยละ 4.8 ในปี 2567 และเป็นการปรับลดลงจากร้อยละ 6.5 ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากการปรับสมมติฐานที่เปลี่ยนกรอบการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจาปี ในส่วนของงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ไปใช้สาหรับการดาเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

3) มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.5 ต่อเนื่องจากร้อยละ 5.8 ในปี 2567 ตามแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของปริมาณการค้าโลกและการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ขณะที่ราคาส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงร้อยละ 0.0 - 1.0 ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ (-0.2) - 0.8 ชะลอลงจากร้อยละ 1.4 ในปี 2567 เมื่อรวมกับการส่งออกบริการที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 5.3 เทียบกับร้อยละ 7.8 ในปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.2 ในการประมาณการครั้งก่อน

4) มูลค่าการนาเข้าสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.0 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 6.3 ในปี 2567 สอดคล้องกับแนวโน้มการขยายตัวของการลงทุนและการส่งออกสินค้า ในขณะที่ราคานาเข้าคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.0 -1.0 ชะลอลงจากร้อยละ 1.0 ในปี 2567 และปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ (-0.2) - 0.8 ในการประมาณการครั้งก่อน เมื่อรวมกับการนาเข้าบริการคาดว่าปริมาณการนาเข้าสินค้าและบริการในปี 2568 จะขยายตัวร้อยละ 3.5 เทียบกับร้อยละ 6.3 ในปี 2567 และปรับลดลงจากร้อยละ 3.2 ในการประมาณการครั้งก่อน

5) ดุลการค้า คาดว่าจะเกินดุล 1.87 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. เทียบกับการเกินดุล 1.93 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2567 เมื่อรวมกับดุลบริการคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 จะเกินดุล 1.40 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นการเกินดุลร้อยละ 2.5 ของ GDP เทียบกับการเกินดุล 1.23 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 2.3 ของ GDP ในปี 2567

6) เสียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 - 1.5 (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ 1.0) เทียบกับร้อยละ 0.4 ในปี 2567 และปรับขึ้นจากร้อยละ 0.3 - 1.3 (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ 0.8) ในการประมาณการครั้งก่อน ตามการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อพื้นฐาน

6. ประเด นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค

การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2568 ควรให้ความสาคัญกับ

1) การเตรียมการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้าที่สาคัญ โดย (1) การให้ความสาคัญกับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้า (2) การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป นธรรม โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านาเข้าให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น การยกระดับมาตรการกากับดูแลผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศ และการติดตามเร่งรัดกระบวนการไต่สวนการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุน และมาตรการปกป้องจากการนาเข้า (AD/CVD/AC) รวมทั้งการดาเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทาความผิดลักลอบนาเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ (3) การเร่งรัดการส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่ไทย มีศักยภาพและคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้า ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กาลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสาคัญใหม่ ๆ และ (4) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่ไปกับการอานวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก

2) การเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาขยายตัว โดยให้ความสาคัญกับ (1) การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบของกิจการร่วมค้า (Joint venture) เพื่อสร้างโอกาส ในการส่งเสริมการสร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่องของไทยในช่วงของการย้ายฐานการลงทุนของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกัน ทางการค้า รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตขยายการผลิตในประเทศไทย (2) การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2565 - 2567 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร ว เพื่อช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่มีศักยภาพ (3) การพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับลดอุปสรรคด้านขั้นตอนกระบวนการ และข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต และการพัฒนาผลิตภาพแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมและภาคบริการเป้าหมาย และ (4) การเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อนาไปสู่การผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพและมีมูลค่าสูงขึ้นที่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาและมีมาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาดและข้อกาหนดของประเทศผู้นาเข้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศ ให้มีความพร้อมและสามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกมากขึ้น

3) การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่ให้ต่ากว่าร้อยละ 75 ของกรอบงบลงทุนรวม โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการที่สาคัญทั้งโครงการลงทุนขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สาคัญ รวมทั้งโครงการลงทุนด้านการจัดการทรัพยากรน้าเพื่อวางรากฐานปัจจัยการผลิตและ เพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการน้าระดับพื้นที่ให้กระจายไปสู่ชุมชน

4) การสร้างการตระหนักรู้งมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ลูกหนี้โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจ SMEs ได้รับความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้และสามารถชาระหนี้ได้อย่างเหมาะสม ตามศักยภาพ

5) การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสาคัญกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว รวมถึงการเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวที่สาคัญ อาทิ สนามบิน/เที่ยวบิน กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอานวยความสะดวก รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่และสิ่งแวดล้อม

ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ