ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสที่สี่ปี 2551 และทั้งปี ในด้านต่าง ๆ เป็นดังนี้
การใช้จ่ายภาคเอกชน
(%YOY) 2549 2550 2551 สัดส่วน (%) การใช้จ่ายภาคเอกชน 3.02 1.60 2.51 100 สินค้าคงทน -2.46 -4.24 9.63 11.4 สินค้ากึ่งคงทน 2.65 1.27 1.67 13.5 สินค้าไม่คงทน 5.57 3.63 0.89 48.5 - อาหาร 3.47 3.66 1.35 20.3 - มิใช่อาหาร 7.12 3.61 0.56 28.2 บริการ 1.19 0.57 3.10 26.6
- การใช้จ่ายครัวเรือน: เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 2.2 ชะลอลงเล็กน้อยจากเฉลี่ยร้อยละ 2.6 ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี โดยปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของการใช้จ่ายครัวเรือนในไตรมาสนี้ ได้แก่ การจ้างงานยังเพิ่มขึ้น รายได้เกษตรกรที่ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.1 และเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำทำให้กำลังซื้อของประชาชนปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งผลของมาตรการ “6 มาตรการ 6 เดือน” ที่ช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกซึ่งจะส่งผลต่อรายได้และโอกาสการมีงานทำในอนาคต ประกอบกับการชุมนุมทางการเมืองมีความรุนแรงมากขึ้น และการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองในระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2551 ส่งผลทางจิตวิทยาทำให้ผู้บริโภคมีการชะลอการจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไป
เครื่องชี้สำคัญของการใช้จ่ายครัวเรือนส่วนใหญ่ยังมีการขยายตัวแต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ส่วนปริมาณการจำ หน่ายรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของการใช้จ่ายของประชาชนในภูมิภาคเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 47.9 ซึ่งเป็นผลมาจากฐานการคำนวณที่ต่ำเนื่องจากในไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 ผู้บริโภคได้ชะลอการซื้อไว้ก่อนเพื่อรอซื้อรถยนต์พลังงานทางเลือก (E20) ที่ได้มีการปรับลดภาษีในเดือนมกราคมปี 2551
รายการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าคงทนร้อยละ 7.7 จากการใช้จ่ายซื้อสินค้าประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้นการใช้จ่ายซื้อสินค้าบริการ และสินค้าอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 และ 2.0 ตามลำ ดับ สำ หรับการใช้จ่ายซื้อสินค้ากึ่งคงทนลดลงร้อยละ 3.1
รวมทั้งปี 2551 การใช้จ่ายภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 แต่เป็นการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าคงทนเป็นหลัก โดยการใช้จ่ายซื้อสินค้าคงทน สินค้ากึ่งคงทนกลุ่มสินค้าไม่คงทน และกลุ่มบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 1.7 0.9 และ 3.1 ตามลำดับ สำหรับสินค้ากลุ่มไม่คงทนนั้นการจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้ออาหารเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.4 ชะลอลงจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ในปี 2550 ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ในขณะที่การใช้จ่ายสินค้าคงทนนั้นเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร่งตัวขึ้นมาก จากการซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลและเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี
- การลงทุนภาคเอกชน: หดตัวลงทั้งการลงทุนในการก่อสร้างและเครื่องมือเครื่องจักร การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสสี่หดตัวร้อยละ 1.3 ต่อเนื่องจากที่ชะลอลงมาอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 6.5 4.3 และ 3.5 ตามลำดับ ในสามไตรมาสแรก ในช่วงปลายปี 2551 แม้ว่า แรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตจะผ่อนคลายลงมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมาแต่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาลงตามลำดับ ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองที่มีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อสถานการณ์ในปัจจุบันและแนวโน้มใน 3 เดือนข้างหน้าลดลงจากระดับ 41.1 และ 47.5 ตามลำดับ ในไตรมาสที่สาม มาอยู่ที่ระดับ 36.5 และ 40.2 ตามลำดับ ในไตรมาสสุดท้ายของปี
ในองค์ประกอบของการลงทุนนั้น การลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ลดลงร้อยละ 1.4 โดยที่การจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ (ณ ราคาปี 2543) ในช่วงเดือนตุลาคม — พฤศจิกายน ลดลงร้อยละ 7.8 และปริมาณการซื้อรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ลดลงร้อยละ 32.7 อันเนื่องมาจากการเลื่อนการลงทุนของผู้ประกอบการออกไปในภาวะเศรษฐกิจหดตัวลง สำหรับการนำเข้าสินค้าทุน (ณ ราคาปี 2543) เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.3
สำหรับการลงทุนก่อสร้างนั้นหดตัวลงร้อยละ 0.7 ในไตรมาสที่สี่ ตามการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ และที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของการลงทุนด้านการก่อสร้างหดตัวร้อยละ 2.8 และ 1.2 ตามลำดับ ในขณะที่การลงทุนในการก่อสร้างอุตสาหกรรม และการก่อสร้างประเภทอื่น ๆ กลับมาขยายตัวร้อยละ 2.1 และ 1.5 ตามลำดับหลังจากที่หดตัวติดต่อกันในสองไตรมาสก่อนหน้า
รวมทั้งปี 2551 การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 โดยเป็นการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 และการลงทุนในการก่อสร้างลดลงร้อยละ 0.2
- การส่งออก: ปริมาณและมูลค่าการส่งออกลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และการชุมนุมปิดสนามบินแห่งชาติทั้ง 2 แห่งในไตรมาสที่สี่ของปี 2551 มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 9.4 โดยที่ปริมาณลดลงร้อยละ 13.4 แต่ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 การส่งออกที่ลดลงเป็นผลจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก และการชุมนุมปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ในระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน — 3 ธันวาคม 2551 ทำให้ไม่สามารถส่งสินค้าทางอากาศในช่วงดังกล่าวได้ ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกในไตรมาสที่สี่ ลดลง เมื่อคิดในรูปเงินบาทมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 7.1
- มูลค่าและปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรลดลง ในไตรมาสที่สี่ ปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 21.4 และราคาชะลอตัวลงมาก โดยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.4 เปรียบเทียบกับที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 45.3 ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี จึงมีผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 19.6 ในไตรมาสสี่ ทั้งนี้ปริมาณการส่งออกสินค้าสำ คัญที่ลดลงได้แก่ ข้าว เนื่องจากตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ชะลอการสั่งซื้อหรือหันไปสั่งซื้อข้าวนึ่ง/ข้าวขาวคุณภาพต่ำจากเวียดนามปากีสถาน และอินเดียแทน เนื่องจากประเทศคู่แข่งเหล่านี้ได้เสนอราคาขายต่ำกว่าราคาข้าวไทย ซึ่งราคาข้าวของไทยนั้นสูงกว่าราคาตลาดโลก มันสำปะหลังเนื่องจากผลผลิตภายในประเทศลดลงและอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศลดลง ยางพารา เป็นผลจากความต้องการยางพาราจากจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ชะลอตัวลง และความต้องการยางพาราเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตยางรถยนต์ลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ที่ลดลง
การส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ
2550 ------------------------- 2551 ------------------------- (%YOY) ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 ข้าว มูลค่า 34.2 121.8 108.1 155.8 134.2 -18.0 ราคา 9.4 5.5 13.6 91.0 88.4 59.6 ปริมาณ 22.7 110.2 82.7 35.1 23.4 -48.6 ยางพารา มูลค่า 4.5 51.1 33.6 30.5 47.1 -21.3 ราคา 7.8 40.4 33.8 26.9 43.8 -3.1 ปริมาณ -3.0 7.7 0.0 2.9 2.4 -20.9 มันสำปะหลัง มูลค่า 23.1 -2.2 13.5 20.0 23.3 -35.2 ราคา 18.6 61.1 58.9 61.9 39.3 13.1 ปริมาณ 3.8 -39.3 -29.3 -25.5 -11.8 -40.6 ข้าวโพด มูลค่า 48.6 110.3 229.6 -6.6 201.4 27.4 ราคา -7.0 64.3 15.0 186.1 27.2 -1.9 ปริมาณ 22.7 79.1 181.1 -43.5 136.6 22.1
ที่มา กระทรวงพาณิชย์
ปี 2551(%YOY) สัดส่วน สัดส่วนการส่งออกต่อการ (%YOY) การส่งออก ส่งออกรวมของรายการนั้นๆ ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 ปี’51 ตลาดหลัก* อื่นๆ - เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ 0.7 10.0 12.6 6.2 -21.8 17.5 75.2 24.7
- เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ -
และส่วนประกอบ 6.1 18.8 20.8 9.2 -18.0 10.3 78 22.0 - แผงวงจรไฟฟ้า -14.0 -6.2 -4.1 -4.9 -39.2 4.1 68.2 31.8 - เครื่องใช้ไฟฟ้า 6.1 14.2 14.3 16.1 -17.3 10.1 65.3 34.7 - เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 2.6 1.5 5.3 22.9 -18.4 1.8 57.6 42.4 - เสื้อผ้าสำเร็จรูป 1.2 1.5 1.3 3.9 -2.0 1.7 84.1 15.9 - เฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วน -3.8 -1.7 3.4 -2.0 -14.1 0.7 75.2 24.9 - อาหารกระป๋องและแปรรูป 23.4 20.5 34.1 28.4 13.2 2.2 60.2 39.7 - กุ้ง 4.9 -7.2 1.1 12.3 8.5 0.7 81.2 18.8 - ไก่ 62.5 66.3 69.2 70.4 48.9 0.9 97.1 2.1
- สินค้าอุตสาหกรรม: ปริมาณและมูลค่าการส่งออกลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 7.8 จากปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 12.0 แต่ราคายังเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 68 ของมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมรวม และร้อยละ 61 ของมูลค่าส่งออกรวม) ลดลงร้อยละ 13.8 ในขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง และสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรภายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 และ 11.4 ตามลำดับ
- สินค้าอุตสาหกรรมที่กระจุกตัวในตลาดหลักได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าประเภทอาหาร ทั้งนี้แม้โครงสร้างตลาดส่งออกสินค้าของไทยมีการกระจายไปสู่ตลาดอื่นมากขึ้น แต่การส่งออกประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ ยังคงกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลัก สินค้ากลุ่มนี้จึงได้รับผลกระทบรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจของตลาดหลักที่หดตัวลง ส่วนสินค้าประเภทอาหาร อาทิ อาหารกระป๋องและแปรรูป กุ้ง และไก่ แม้จะกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักเช่นกัน แต่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจหดตัวมากนัก เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบความปลอดภัยด้านอาหารที่มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป
- สินค้าส่งออกสำคัญที่มีมูลค่าลดลงได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เครื่องจักรกลและเครื่องจักรเบ็ดเตล็ด เครื่องตัดต่อวงจรไฟฟ้าผลิตภัณฑ์พลาสติกและเรซิน เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ชิ้นส่วนรถยนต์ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น สำ หรับสินค้าส่งออกที่ยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ กระดาษของเล่นและเกมส์ และไข่มุก อัญมณีและเครื่องประดับเพชรพลอย เป็นต้น สำหรับการส่งออกไข่มุก อัญมณีและเครื่องประดับเพชรพลอยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เป็นผลจากการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 770 เมื่อหักมูลค่าการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว จะทำให้มูลค่าส่งออกในกลุ่มนี้ลดลงประมาณร้อยละ 30.6 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่ง
- ตลาดส่งออก: มูลค่าการส่งออกลดลงทั้งตลาดส่งออกหลักและตลาดอื่น ๆ มูลค่าการส่งออกไปยังตลาดหลักลดลงในทุกตลาด ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น และตลาดสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 4.7 และ 10.2 ตามลำดับสำหรับตลาดอาเซียนลดลงร้อยละ 15.9 และตลาด
รวมทั้งปี 2551 มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ราคาและปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 และ 5.5 ตามลำดับ เมื่อคิดเป็นเงินบาทมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 และราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ทั้งนี้มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.0 และ 16.5 ตามลำดับ
ตลาดส่งออกสำคัญ
2550 -------------- 2551 ---------------------
(%YOY) ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 สัดส่วน ตลาดหลัก 11.8 14.2 18.2 26.5 26.2 -10.8 57.2 สหรัฐอเมริกา 12.6 11.4 8.2 9.7 15.7 -10.2 11.4 ญี่ปุ่น 11.8 11.3 7.7 21.0 25.0 -4.7 11.3 EU (15) 12.8 12.0 16.1 13.0 15.7 -7.5 12.0 อาเซียน (9) 21.4 22.6 32.8 48.4 39.4 -15.9 22.6 อื่นๆ 25.9 20.8 30.8 31.0 31.3 -5.3 42.8 ฮ่องกง 5.6 5.6 49.9 37.6 12.5 -16.7 5.6 ไต้หวัน 2.2 1.5 -26.0 -12.3 -3.3 -29.9 1.5 เกาหลีใต้ 1.9 2.1 17.2 15.4 63.6 1.1 2.1 ตะวันออกกลาง 4.9 5.3 26.4 33.2 48.1 5.4 5.3 อินเดีย 1.8 1.9 24.5 32.4 25.5 28.7 1.9 จีน 9.7 9.1 34.7 22.1 14.7 -24.2 9.1 ที่มา ธปท. (ยังมีต่อ).../- การนำเข้า: ..