- ฐานะการคลัง : ไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2552 ขาดดุลเงินสดค่อนข้างสูง ในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ(ตุลาคม — ธันวาคม
ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 การจัดเก็บของรัฐบาลจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 16.1คิดเป็นจำนวน 52,334 ล้านบาท เนื่องจากการจัดเก็บภาษีหลักเกือบทุกประเภทจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ และช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อน โดยเฉพาะภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีน้ำมันฯ ภาษีรถยนต์และอากรขาเข้า รวมทั้งรายได้จากรัฐวิสาหกิจ ประกอบกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรค่อน ข้างสูง ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และภาษีเบียร์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการและช่วงเดียวกันปีก่อนสำหรับการเบิกจ่ายงบ ประมาณ 2552 คิดเป็นร้อยละ 19.8 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 22.5 เนื่องจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2552 ล่าช้ากว่าปกติไปสองสัปดาห์ ทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 เบิกจ่ายได้เพียงร้อยละ 6.9 ของวงเงินงบ ลงทุน ทั้งนี้ทางรัฐบาลได้ให้ส่วนราชการต่าง ๆ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุนให้สูงขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการเบิกจ่าย ของทั้งปีงบประมาณที่ตั้งไว้ร้อยละ 94 หนี้สาธารณะคงค้าง : ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2551 มีจำนวน 3,415,565 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37 ของ GDP (ร้อยละ 36.92 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2551) โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงประมาณร้อยละ 23 ทั้งนี้หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 231,322 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.3 จากยอดหนี้คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2551 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบัน การเงิน
- ภาวะการเงิน: อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงและส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินปรับลดตาม แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังเพิ่มขึ้น
ในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่า เงินฝากในระบบขยายตัวในขณะที่สินเชื่อขยายตัวในอัตราชะลอลงทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน สภาพคล่องส่วน
เกินจึงเพิ่มขึ้น ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสสาม ส่วนตลาดตราสารหนี้ปรับเพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ
ประเทศ Q1 Q2 Q3 Q4 ม.ค.-ก.พ. อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ
ปัจจุบัน(ร้อยละ) ณ สิ้น ม.ค.52
ไทย - - +0.50 -1.00 -0.75 2.00 -0.4 สหรัฐฯ -0.75 -0.25 - -0.75 - 0.25 0.09 (ธ.ค.) ยูโร - - +0.25 -1.75 - 2.00 1.58 (ธ.ค.) จีน - - -0.27 -1.89 - 5.31 1.0 ญี่ปุ่น - - - -0.4 - 0.1 0.4 (ธ.ค.) ไต้หวัน +0.125 +0.125 -0.125 -1.5 -0.5 1.5 1.59 มาเลเซีย - - - -0.25 - 3.25 4.39 (ธ.ค.)
- อัตราดอกเบี้ยนโยบาย กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธันวาคม จากร้อยละ 3.75 ต่อปี เป็นร้อยละ
ในช่วงปี 2551 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในไตรมาสสาม รวม 50 bps เนื่อง จากมีความเห็นว่ามีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้นในภาวะที่แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูง ขึ้นมาก แต่ก็ได้ปรับลดลง 100 bps ในไตรมาสสี่ เมื่อพิจารณาเห็นว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทำให้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม อัตราดอกเบี้ย นโยบายอยู่ที่ร้อยละ 2.75 ลดลง 50 bps จากสิ้นปี 2550และในเดือนมกราคม 2552 ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 75 bps มาอยู่ที่ร้อย ละ 2.00
- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่อัตราเงินเฟ้อที่ลด
สำหรับทั้งปี 2551 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลดลง 44 และ 12 bps ตามลำดับ จากการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 100 bps ในเดือนธันวาคม ต่อมาในเดือนมกราคม 2552 เมื่อได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายอีก 75 bps ก็ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 และ 12 เดือนลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.25 และ 1.5 ตามลำ ดับ และอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีแบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดมาอยู่ที่ร้อยละ 6.25 ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมกราคมลดลงมาเป็นร้อยละ -0.4 ทำ ให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราเงินกู้ที่แท้จริงปรับเป็นอัตราบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม
- เงินฝากธนาคารพาณิชย์ปรับตัวสูงขึ้น ณ สิ้นไตรมาสสี่ เงินฝากเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 เทียบกับที่หดตัวร้อยละ 0.2 ในไตร
โดยภาพรวมในปี 2551 เงินฝากหดตัวในไตรมาสสองและสาม ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นผลจากการโยกย้ายเงินฝากมาจากฐานการซื้อตั๋วแลกเงิน (B/E) ในสถานการณ์เริ่มมีความกังวลว่าตลาดเงินและเศรษฐกิจโดยรวมมีความเสี่ยง มากขึ้น จะเห็นได้ว่าความต้องการ B/E ชะลอตัวลงมาก จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 190 ในเดือนมกราคม มาเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 19 ในเดือน ธันวาคม
- สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงทั้งสินเชื่อภาคธุรกิจและสินเชื่อผู้บริโภค สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ (ที่นับรวมการกู้ยืมผ่าน
สำหรับสินเชื่อโดยรวมของสถาบันรับฝากเงินทั้งหมด (ที่รวมธุรกรรม R/P) ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ 11.2 ณ สิ้นไตรมาสสาม มาเป็นการขยายตัวร้อยละ 9.3 ณ สิ้นไตรมาสสี่ จำแนกเป็นการขยายตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจร้อยละ 11.2 และสินเชื่อภาคครัวเรือน ร้อยละ 8.1 เมื่อพิจารณารายสาขาธุรกิจพบว่า สินเชื่อเกือบทุกภาคธุรกิจชะลอตัวหรือหดตัวอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นสินเชื่อภาคธนาคารและสถาบันการ เงินที่เพิ่มถึงร้อยละ 101 ณ สิ้นไตรมาสสี่ สอดคล้องกับการขยายตัวของสินเชื่อในธนาคารพาณิชย์และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการความ เสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันรับฝากเงินที่เข้มงวดขึ้น จากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงปริมาณ การใช้จ่ายบัตรเครดิตลดลงอย่างมากและการเบิกเงินสดล่วงหน้าหดตัวลงจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและโอกาสการหารายได้ ยอดคงค้างบัตร เครดิตชะลอตัวที่ร้อยละ 5.6 โดยรวมทั้งปี 2551 สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสามไตรมาสแรกของปี ก่อนที่จะชะลอตัวลงในช่วงไตร มาสที่สี่จากการหดตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจเป็นสำคัญ
- สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์และสภาพคล่องส่วนเกินของระบบธนาคารพาณิชย์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น สัดส่วนสินเชื่อ (ไม่
- สัดส่วน NPLs ต่อยอดคงค้างสินเชื่อในระบบลดลงเล็กน้อย NPLs ในระบบสถาบันการเงินที่ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจ
- ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิรวม 15.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 7.5 พันล้านบาท จาก
- ค่าเงินบาทและดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงอ่อนค่าลงค่าเงินบาทไตรมาสที่สี่เฉลี่ยเท่ากับ 34.78 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อน
- ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามภาวะตลาดหุ้นโลกและเสถียรภาพทางการเมืองไตรมาสสี่มีมูลค่าการซื้อขาย
- มูลค่าซื้อขายตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ในไตรมาสที่สี่ มี
ภาพรวมปี 2551 มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 70.29 พันล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 42.99 พันล้านบาทต่อวัน ในปี 2550 นักลง ทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่องทั้งปีรวม 68.37 พันล้านบาท ในขณะที่ปี 2550 มียอดขายสุทธิ 40.27 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการย้ายพอร์ตการลง ทุนมาจากตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง อัตราผลตอบแทนเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวนตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นการสะท้อนการรับรู้ของตลาดต่อทิศทางอัตรา ดอกเบี้ย ในช่วงครึ่งปีแรก อัตราผลตอบแทน (Yield) สูงขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลังทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในขาลง ทำให้อัตรา ผลตอบแทนลดลง เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2550 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทุกช่วงอายุลดลง 99-225 basis points และดัชนีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปี 2550
ปริมาณเงินทุนเคลื่อนย้าย และปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
2549 | 2550 | 2551 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- ณ วันสิ้นงวด ทั้งปี | Q1 Q2 Q3 Q4 | Q1 Q2 Q3 Q4 เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ | | (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 5.7 | -2.70 0.73 0.35 -1.36 | 13.2 -3.1 0.69 na ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- มูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ | | ในตลาดหลักทรัพย์ (พันล้านบาท) 55.02 | 30.62 66.90 -2.19 -40.29 | -13.89 -36.07 -74.78 -37.23 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- มูลค่าการซื้อขายตราสารหนี้สุทธิ | | ของนักลงทุนต่างชาติ(พันล้านบาท) 35.53 | -34.16 -18.66 7.95 4.61 | 29.08 26.48 8.78 4.04 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย ,ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย
- การระดมทุนของภาคเอกชนลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสสี่ การระดมทุนของภาคเอกชนมีมูลค่า
รวม 267.26 พันล้านบาท ลดลงจาก 382.32 พันล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนซึ่งมีมูลค่ารวม 266.78
พันล้านบาท ลดลงจาก 334.08 พันล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นหุ้นกู้ที่มาจากธุรกิจภาคการเงินเป็นหลัก ขณะที่มีการออกหุ้นเพิ่มทุน
เพียง 0.48 พันล้านบาท ลดลงจาก 48.24 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์ของตลาดหลักทรัพย์ไม่เอื้ออำนวยต่อการ
ระดมทุนและภาวการณ์ดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ชะลอตัวลง ภาพรวมปี 2551 การระดมทุนของภาคเอกชนมีมูลค่ารวม 1,231.91 พันล้านบาท ลดลงจาก
1,274.75 พันล้านบาท ในปี 2550 โดยร้อยละ 96.4 เป็นการระดมทุนจากหุ้นกู้เอกชนซึ่งเป็นไปตามการลดลงของภาวะการลงทุนของประเทศ
โดยรวม