ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงเตือนคนไทยรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ด้วยการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็น "ภูมิคุ้มกัน" ระดมคณะทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงทุกภาคส่วนขยายผล ชวนคนไทยทั้งประเทศยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เฉลิมพระเกียรติในวโรกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในปี 2550
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวแถลงข่าวเกี่ยวกับ "ทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง" ว่า ปัจจุบันประชาชนต้องดำรงชีวิตอยู่ในยุคของวิกฤตพลังงานที่มีการคาดหมายว่าราคาน้ำมันจะมีระดับที่สูงต่อไป รวมทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอน เรื่องของการเปลี่ยนแปลงของภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น และการระบาดของโรค และภาวะสงคราม
ภาวะดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกกลุ่มอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง ข้าราชการ ผู้ประกอบการ รวมทั้งกลุ่มเกษตรกร คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงเห็นว่า เพื่อบรรเทาหรือป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ประชาชนทุกภาคส่วนควรนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต การปฏิบัติงาน และการดำเนินกิจการต่างๆ ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และระดับประเทศ
"เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆจึงอยากเสนอแนะให้ทุกภาคส่วน ยึดหลักการง่ายๆคือ หลักของ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข คือทำอะไรก็แล้วแต่ ขอให้คิดถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกัน บนพื้นฐานของการใช้ความรู้และคุณธรรมตลอดเวลา ก็จะช่วยให้สังคมไทยสามารถอยู่ได้ ลงทุนอย่างสมดุล พอประมาณ บริโภคอย่างมีสติ และหาทางป้องกันความเสี่ยงในการใช้ชีวิต"
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงอยากเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกภาคส่วนนอกจากจะนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตและกิจการแล้ว ในปี 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ปฏิบัติเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสนี้ ซึ่งพระองค์ทรงศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย และทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงแก่พสกนิกรชาวไทยมานานกว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งแม้แต่องค์การสหประชาชาติก็ได้เล็งเห็นและประกาศสดุดีพระเกียรติของพระองค์ที่ทรงสร้างแนวทางที่เป็นคุณูปการต่อการพัฒนาของโลก และจะมีการนำไปเป็นแนวทางพัฒนาของหลายประเทศ
ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวต่อไปว่า สำหรับการดำเนินงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 โดยปี พ.ศ. 2547-2548 ได้ขับเคลื่อนให้มีการสร้างการรู้จักและรับรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จนถึงปัจจุบันแม้ว่าจะมีการเผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นที่รู้จัก แต่ยังเกิดความเข้าใจเพียงด้านเดียวว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องเฉพาะที่ทำได้กับภาคการเกษตร ซึ่งความจริง พระองค์ท่านพระราชทานแนวทางเพื่อให้ทุกภาคส่วนนำไปใช้ปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล ระดับองค์กร หรือระดับประเทศ และไม่เพียงใช้ในภาคการเกษตร แต่ยังใช้ได้กับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต อุตสาหกรรม การค้า การลงทุน
ด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และยังใช้ได้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และทุกภาคส่วน
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ ได้ตั้งคณะทำงานด้านต่างๆ ขึ้นมาช่วยกันขับเคลื่อน เช่น ด้านธุรกิจ ด้านประชาสังคม ด้านผู้นำความคิด ด้านการศึกษา ด้านหน่วยงานรัฐ ด้านวิชาการ ด้านการเมือง รวมทั้งด้านสื่อมวลชนและประชาชน เพื่อทำหน้าที่ประสานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดเป็นรูปธรรมและเกิดการขยายผลในวงกว้าง โดยปี 2549 จะมุ่งเน้นการขยายเครือข่าย และปี 2550 ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่า ตระหนักและนำไปปฏิบัติเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระองค์ท่าน หากประชาชน กลุ่ม องค์กร และหน่วยงานใดทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคการเมืองต้องการรายละเอียด ข่าวสาร ข้อมูล แนวทางการปฏิบัติและต้องการขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรม คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงยินดีที่จะร่วมมือและสนับสนุน โดยสามารถติดต่อผ่านคณะทำงานด้านสื่อและประชาชนที่หมายเลข 0-02280-4085 ต่อ 1303-5 หรือ กลุ่มงานเศรษฐกิจพอเพียง โทร. 0-02280-4085 ต่อ 2407-8
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการค้นหารายละเอียดเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง สามารถเข้าที่ดูได้ที่ www.nesdb.go.th หรือ www.sufficiencyeconomy.org
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวแถลงข่าวเกี่ยวกับ "ทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง" ว่า ปัจจุบันประชาชนต้องดำรงชีวิตอยู่ในยุคของวิกฤตพลังงานที่มีการคาดหมายว่าราคาน้ำมันจะมีระดับที่สูงต่อไป รวมทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอน เรื่องของการเปลี่ยนแปลงของภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น และการระบาดของโรค และภาวะสงคราม
ภาวะดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกกลุ่มอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง ข้าราชการ ผู้ประกอบการ รวมทั้งกลุ่มเกษตรกร คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงเห็นว่า เพื่อบรรเทาหรือป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ประชาชนทุกภาคส่วนควรนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต การปฏิบัติงาน และการดำเนินกิจการต่างๆ ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และระดับประเทศ
"เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆจึงอยากเสนอแนะให้ทุกภาคส่วน ยึดหลักการง่ายๆคือ หลักของ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข คือทำอะไรก็แล้วแต่ ขอให้คิดถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกัน บนพื้นฐานของการใช้ความรู้และคุณธรรมตลอดเวลา ก็จะช่วยให้สังคมไทยสามารถอยู่ได้ ลงทุนอย่างสมดุล พอประมาณ บริโภคอย่างมีสติ และหาทางป้องกันความเสี่ยงในการใช้ชีวิต"
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงอยากเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกภาคส่วนนอกจากจะนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตและกิจการแล้ว ในปี 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ปฏิบัติเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสนี้ ซึ่งพระองค์ทรงศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย และทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงแก่พสกนิกรชาวไทยมานานกว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งแม้แต่องค์การสหประชาชาติก็ได้เล็งเห็นและประกาศสดุดีพระเกียรติของพระองค์ที่ทรงสร้างแนวทางที่เป็นคุณูปการต่อการพัฒนาของโลก และจะมีการนำไปเป็นแนวทางพัฒนาของหลายประเทศ
ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวต่อไปว่า สำหรับการดำเนินงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 โดยปี พ.ศ. 2547-2548 ได้ขับเคลื่อนให้มีการสร้างการรู้จักและรับรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จนถึงปัจจุบันแม้ว่าจะมีการเผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นที่รู้จัก แต่ยังเกิดความเข้าใจเพียงด้านเดียวว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องเฉพาะที่ทำได้กับภาคการเกษตร ซึ่งความจริง พระองค์ท่านพระราชทานแนวทางเพื่อให้ทุกภาคส่วนนำไปใช้ปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล ระดับองค์กร หรือระดับประเทศ และไม่เพียงใช้ในภาคการเกษตร แต่ยังใช้ได้กับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต อุตสาหกรรม การค้า การลงทุน
ด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และยังใช้ได้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และทุกภาคส่วน
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ ได้ตั้งคณะทำงานด้านต่างๆ ขึ้นมาช่วยกันขับเคลื่อน เช่น ด้านธุรกิจ ด้านประชาสังคม ด้านผู้นำความคิด ด้านการศึกษา ด้านหน่วยงานรัฐ ด้านวิชาการ ด้านการเมือง รวมทั้งด้านสื่อมวลชนและประชาชน เพื่อทำหน้าที่ประสานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดเป็นรูปธรรมและเกิดการขยายผลในวงกว้าง โดยปี 2549 จะมุ่งเน้นการขยายเครือข่าย และปี 2550 ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่า ตระหนักและนำไปปฏิบัติเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระองค์ท่าน หากประชาชน กลุ่ม องค์กร และหน่วยงานใดทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคการเมืองต้องการรายละเอียด ข่าวสาร ข้อมูล แนวทางการปฏิบัติและต้องการขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรม คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงยินดีที่จะร่วมมือและสนับสนุน โดยสามารถติดต่อผ่านคณะทำงานด้านสื่อและประชาชนที่หมายเลข 0-02280-4085 ต่อ 1303-5 หรือ กลุ่มงานเศรษฐกิจพอเพียง โทร. 0-02280-4085 ต่อ 2407-8
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการค้นหารายละเอียดเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง สามารถเข้าที่ดูได้ที่ www.nesdb.go.th หรือ www.sufficiencyeconomy.org
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-