ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปี 2552 ในด้านต่าง ๆ เป็นดังนี้
- การใช้จ่ายครัวเรือน: หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี3 และลดลงเป็นฐานกว้าง การใช้จ่ายครัวเรือนในไตรมาสแรกลดลงร้อยละ 2.6 เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายด้านทั้งรายได้แรงงานในภาคการผลิตที่ลดลงจากการเลิกจ้าง การลดจำนวนวันและชั่วโมงการทำงาน และการยกเว้นเงินโบนัส ในขณะที่รายได้เกษตรกรชะลอตัวลงมากจากที่ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 31.5 ในปีที่แล้ว เป็นร้อยละ 0.9 ในไตรมาสแรกปีนี้ ประกอบกับ
แม้ว่าในไตรมาสแรกราคาสินค้าได้ปรับตัวลดลงมาก และมีผลจากการขยายมาตรการ “5 มาตรการ 6 เดือนฯ” ของรัฐบาลออกไปเป็นเวลา 6 เดือนเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่กำลังซื้อของประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก โดยเฉพาะกำลังซื้อของกลุ่มแรงงานและ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงและชะลอตัวลงมากตามลำดับ ประกอบกับราคาสินค้าหมวดอาหารที่ยังเพิ่มขึ้นมาก4 ทั้งนี้ยกเว้นกลุ่มผู้มีรายได้ประจำซึ่งรายได้ไม่ถูกกระทบมากนักทำให้กำลังซื้อที่แท้จริงยังเพิ่มขึ้น
การใช้จ่ายลดลงมากในกลุ่มสินค้าคงทน กึ่งคงทน และไม่คงทนหมวดที่มิใช่อาหาร โดยการใช้จ่ายซื้อสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 18.1 จากการซื้อสินค้าประเภทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน การใช้จ่ายซื้อสินค้ากึ่งคงทนลดลงร้อยละ 8.1 และสินค้าไม่คงทนหมวดที่มิใช่ อาหารลดลงร้อยละ 4.4 สำหรับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าหมวดอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการมีวันหยุดต่อเนื่องหลาย วันในช่วงเทศกาลปีใหม่ และหมวดบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5
การใช้จ่ายภาคครัวเรือน
----------------- 2551 ------------------- 2552 สัดส่วน (%YoY) ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 (%) การใช้จ่ายภาคเอกชน 2.5 2.7 2.5 2.7 2.1 -2.6 100.0 สินค้าคงทน 9.5 10.0 11.4 9.4 7.3 -18.1 9.5 สินค้ากึ่งคงทน 1.7 3.7 3.3 3.3 -3.1 -8.1 12.6 สินค้าไม่คงทน 0.9 2.5 1.0 -0.3 0.3 -1.4 52.7 - อาหาร 1.4 2.6 0.8 -0.1 2.4 2.5 23.7 - มิใช่อาหาร 0.6 2.4 1.2 -0.4 -1.1 -4.4 29.0 บริการ 3.0 -0.7 1.0 5.1 6.2 5.5 25.1
- การลงทุนภาคเอกชน: หดตัวต่อเนื่องและรุนแรงกว่าไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสแรกของปี หดตัวร้อยละ
การลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรลดลงมาก เนื่องจากเศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้ผู้ประกอบการลดปริมาณการผลิตและลดการลงทุนในภาวะที่ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอีกมาก และหันมาใช้วิธีระบายสินค้าในสต็อกแทน ดังจะเห็นได้จากในไตรมาสแรกของปีมีการใช้กำลังการผลิตเพียงร้อยละ 57.8 ของกำลังการผลิตรวม นอกจากนี้การลงทุนใหม่ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในปีที่แล้วลดลงทั้งจำนวนโครงการ และ วงเงินร้อยละ 6.6 และ 32.9 ตามลำดับ ทำให้ความต้องการเครื่องมือเครื่องจักรลดลง
สำหรับการลงทุนด้านการก่อสร้างก็ลดลงเช่นกัน ตามความต้องการที่อยู่อาศัยลดลง เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตทำให้มีการเลื่อนการตัดสินใจซื้อหรือสร้างบ้านออกไปแม้จะมีเงื่อนไขที่จูงใจด้านภาษีการโอนและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ในขณะที่ด้านอุปทานพบว่ายังมีสต็อกที่อยู่อาศัยในตลาดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประเภทคอนโดมิเนียมที่มีการซื้อเพื่อเก็งกำไรได้ถูกนำออกมาขายต่อเป็นที่อยู่อาศัยมือสองค่อนข้างมาก ประกอบกับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็กทำให้มีการเลิกกิจการโดยในไตรมาสแรกทั่วประเทศมีธุรกิจรับเหมาก่อสร้างปิดกิจการไป 410 ราย และธุรกิจพัฒนาสังหาริมทรัพย์ปิดกิจการ 116 ราย
การลงทุนในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในไตรมาสนี้ลดลงร้อยละ 10.4 ในขณะที่การก่อสร้างอาคารพาณิชย์ และการลงทุนก่อสร้างโรงงาน อุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 9.8 และ 3.4 ตามลำดับ ตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง
- การส่งออก: มูลค่าการส่งออกลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ในไตรมาสแรกของปี 2552 มูลค่าการ
ส่งออกในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 19.9 โดยที่ปริมาณลดลงถึงร้อยละ 19.5 ตามความต้องการที่ลดลง และราคาลดลงร้อยละ 0.5
เนื่องจากราคาส่งออกสินค้าเกษตรที่ลดลงในภาวะที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก และราคาสินค้าอุตสาหกรรมอ่อนตัวลงมากเนื่องจากการขอต่อรองราคาจากประเทศคู่ค้า ประกอบกับประเทศคู่ค้าชะลอการจ่ายเงิน และชะลอรับมอบสินค้าคำสั่งซื้อเก่าที่ผลิตในช่วงต้นทุนสูง ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา เมื่อคิดในรูปเงินบาทไตรมาสแรกมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 12.6 และราคาในรูปเงินบาทยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง
การส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ (%YoY)
2550 ---------------2551-------------- 2552
ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ข้าว มูลค่า 34.2 121.8 108.1 155.8 134.2 -18.0 -13.7 ราคา 9.4 5.5 13.6 91.0 88.4 59.6 28.6 ปริมาณ 22.7 110.2 82.7 35.1 23.4 -48.6 -32.8 ยางพารา มูลค่า 4.5 51.1 33.6 30.5 47.1 -21.3 -45.5 ราคา 7.8 40.4 33.8 26.9 43.8 -3.1 -42.5 ปริมาณ -3.0 7.7 0.0 2.9 2.4 -20.9 -5.7 มันสำปะหลัง มูลค่า 23.1 -2.2 13.5 20.0 23.3 -35.2 -45.6 ราคา 18.6 61.1 58.9 61.9 39.3 13.1 -15.1
ปริมาณ 3.8 -39.3 -29.3 -25.5 -11.8 -40.6 -34.1
ข้าวโพด มูลค่า 48.6 110.3 229.6 -6.6 201.4 27.4 -48.7 ราคา -7.0 64.3 15.0 186.1 27.2 -1.9 -14.1 ปริมาณ 22.7 79.1 181.1 -43.5 136.6 22.1 -40.0
ที่มา: กระทรวงพาณิชย์
- สินค้าเกษตร: ลดลงทั้งปริมาณและราคาการส่งออก ในไตรมาสแรกปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 21.2 และราคาลดลงร้อยละ 13.1 มีผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 31.4 ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานการส่งออกทั้งราคาและปริมาณสินค้าเกษตรที่สูงในไตรมาสแรกของปี 2551 เมื่อมีความกังวลเรื่องสต็อกสินค้าเกษตรโลกลดลงและมีความต้องการใช้พืชเกษตรเพื่อผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้สินค้าเกษตรส่งออกสำคัญที่มีปริมาณลดลงได้แก่ ข้าว (-32.8%) เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกอื่น ๆ เริ่มกลับมาส่งออกข้าวได้อีกครั้ง ทำให้ประเทศคู่ค้ามีทางเลือกในการนำเข้าข้าวจากประเทศที่มีราคาส่งออกต่ำกว่าประเทศไทย อาทิ เวียดนาม อินเดีย พม่า กัมพูชา มันสำปะหลัง (ปริมาณลดลง 34.1%) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมกระดาษโลก อันเนื่องมาจากแป้งมันเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตกระดาษ โดยคำสั่งซื้อส่วนใหญ่จะเป็นการส่งมอบในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อลดภาระสต็อกของลูกค้า ในขณะที่ประเทศจีนได้ลดกำลังการผลิตเอทานอลลง อันเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนนโยบายที่ลดการอุดหนุนการผลิตแอลกอฮอล์ลง ทำ ให้กระทบต่อการส่งออกมันเส้นของไทยยางพารา ปริมาณการส่งออกหดตัวเพียงเล็กน้อย(-5.7) อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในอุตสาหกรรมรถยนต์ อย่างไรก็ตามความต้องการยางธรรมชาติจะยังไม่ฟื้นตัวได้เร็วนัก เนื่องจากผู้ผลิตและผู้ใช้ยังมีความเชื่อมั่นในสภาวการณ์ของเศรษฐกิจโลกต่ำ
- สินค้าอุตสาหกรรม: ปริมาณและมูลค่าการส่งออกลดลง มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 19.3 โดยที่ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 19.6 แต่ราคายังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.4 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62 ของมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม และร้อยละ 55 ของมูลค่าส่งออกรวม) ลดลงร้อยละ 30.9 เช่นเดียวกับสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้
- สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า: ลดลงมากและต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว แต่เริ่มมีสัญญาณของการ
อย่างไรก็ตามเริ่มมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นของการค้าเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ โดยสัดส่วน Book to bills เริ่มปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 0.61 ในเดือนมีนาคมจากจุดต่ำสุดที่ 0.47 ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาประกอบกับมูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และมาเลเซีย มีการหดตัวในอัตราที่น้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา แสดงว่าการหดตัวของภาวะการค้าอิเล็กทรอนิกส์กำลังจะผ่านพ้นจุดต่ำสุด ซึ่งเป็นตัวชี้นำว่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังและทำให้การฟื้นตัวยังช้าอยู่ คือ เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนและการฟื้นตัวจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะจีน และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของไทย
- สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ: มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากจากการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูป มูลค่าส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้นร้อยละ 106.3 ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยมูลค่าส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 351.6 ตามราคาทองคำในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปมากขึ้นเพื่อทำกำไรในระยะสั้นและเป็นการลดการสะสมสต็อกทองคำจากปีที่แล้ว ทั้งนี้หากไม่รวมทองคำยังที่ยังไม่ขึ้นรูปจะทำให้การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าลดลงร้อยละ 20.9
- ยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ: มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 35 จากคำสั่งซื้อจากประเทศผู้นำเข้าหลักที่ลดลง ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและหดตัว และได้ส่งผล
- สินค้าอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล): มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 5.1 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ประกอบกับการใช้ระเบียบปฏิบัติที่เข้มงวดในการนำเข้าเพิ่มมากขึ้น โดยสินค้าสำคัญที่ส่งออก
- ตลาดส่งออก: มูลค่าการส่งออกลดลงรุนแรงในตลาดหลัก โดยการส่งออกไปยังตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (27) และ
อาเซียน ลดลงร้อยละ 27.0 26.1 30.8 และ 31.6 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ มีมูลค่าลดลงเช่นกัน อาทิ จีน (-27.6%)
ฮ่องกง (-14.2%) ไต้หวัน (-42.5%) เป็นต้น ส่วนตลาดที่ยังมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย และตะวันออกกลางที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 15.5 และ 6.7 ตามลำดับ
ตลาดส่งออกที่สำคัญ
(%YoY) 2550 ------------- 2551 -------------- 2552 ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 สัดส่วน สหรัฐอเมริกา -1.3 5.6 8.2 9.7 15.7 -10.2 -27.0 10.6 ญี่ปุ่น 9.7 11.8 7.7 21.0 25.0 -4.7 -26.1 10.4 EU (15) 15.5 9.1 16.1 13.0 15.7 -7.5 -32.7 11.0 อาเซียน (9) 20.2 23.6 32.8 48.4 39.4 -15.9 -31.6 18.6 ฮ่องกง 19.7 17.1 49.9 37.6 12.5 -16.7 -14.2 6.6 ไต้หวัน -1.5 -18.5 -26.0 -12.3 -3.3 -29.9 -42.5 1.2 เกาหลีใต้ 11.1 23.7 17.2 15.4 63.6 1.1 -24.6 1.8 ตะวันออกกลาง 29.9 27.8 26.4 33.2 48.1 5.4 6.7 6.4 อินเดีย 47.1 27.8 24.5 32.4 25.5 28.7 -17.0 1.8 จีน 26.4 9.2 34.7 22.1 14.7 -24.2 -27.6 8.9
- การนำเข้า: ปริมาณและราคานำเข้าหดตัวมากตามภาวะการส่งออกและการใช้จ่ายและการลงทุนภายในประเทศที่ลดลง ในไตรมาสแรกมูลค่าการนำเข้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 38.3 หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี6 โดยที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าลดลงร้อยละ 35.0 ตามการส่งออกที่หดตัวลง ความต้องการและกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ลดลง สำหรับราคาสินค้านำเข้าหดตัวร้อยละ 5.0 ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นหลัก เมื่อคิดในรูปเงินบาท มูลค่านำเข้าหดตัวร้อยละ 32.6 ขณะที่ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6
- สินค้าทุน: ปริมาณและราคานำเข้าลดลง มูลค่านำเข้าสินค้าทุนลดลงร้อยละ 23.2 ตามภาวะความต้องการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ลดลงมาก เนื่องจากมีกำลังการผลิตส่วนเกินเพิ่มขึ้นในระบบจากการที่ผู้ประกอบการลดปริมาณการผลิตสินค้าของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ลงมากสินค้าที่มีการนำเข้าลดลงมาก ได้แก่ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์
- สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป: มูลค่าและปริมาณการนำเข้าลดลงตามภาวะการผลิตที่ลดลง มูลค่าการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 44.4 ต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว เป็นการลดลงตามการผลิตสินค้าที่ลดลงเนื่องจากการส่งออกและความ
- สินค้าเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น: ปริมาณและราคาลดลง มูลค่าการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นลดลงร้อยละ 50.2 โดยปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 29.1 ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงและราคานำเข้าลดลงร้อยละ 29.8 ตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังปรับลดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบลดลงร้อยละ 56.4 โดยปริมาณนำเข้าลดลงร้อยละ 8.7 และราคาลดลงร้อยละ 52.2 สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 26.3
- สินค้าอุปโภคบริโภค: ปริมาณและราคานำเข้าลดลงมูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 16.0 เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวัง
- อัตราการค้า (Term of Trade) ดีขึ้นต่อเนื่อง ราคาส่งออกในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. ที่ลดลงเพียงร้อยละ 0.5
ในขณะที่ราคานำเข้าเฉลี่ยลดลงร้อยละ 5.0 ทำให้อัตราการค้าในไตรมาสแรกของปีดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ4.7 ต่อเนื่องจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว ซึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อรายได้