(ต่อ3)ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก และแนวโน้มปี 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday May 26, 2009 14:39 —สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

  • ดุลการค้า: เกินดุลสูงถึง 7,800 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเท่ากับ 275,434 ล้านบาท ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นผล

มาจากการนำเข้าที่ลดลงอย่างมากและเร็วกว่าการส่งออกอย่างไรก็ตามเป็นการเกินดุลในภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา

ด้านการผลิต

  • สาขาเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ 3.5 ปรับตัวดีขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 1.6 ในไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากผลผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ มันสำปะหลัง และข้าว เพิ่มขึ้นร้อยละ 99.0 และ 14.3 ตามลำดับ เป็นผลมาจากเกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อนำไปเข้า
โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนสุดท้ายในการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีของรัฐบาลก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังต่อไป และการนำผลผลิตมันสำปะหลังเข้าสู่ระบบแทรกแซงราคาของรัฐบาลมากขึ้น ส่วนยางพาราขยายตัวร้อยละ 1.2 ชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และผลผลิตปาล์มน้ำมันลดลงร้อยละ 18.7 สภาพอากาศที่ร้อนกว่าปีที่ผ่านมา และการเกิดภาวะฝนตกหนักและน้ำท่วมในภาคใต้ ทำให้มีผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันและยางพาราลดลง ในไตรมาสนี้ นอกจากนี้การที่ภาวะเศรษฐกิจหดตัวอย่างต่อเนื่องและการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ได้ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ต่อสินค้าเกษตรโดยเฉพาะน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคและการผลิตไบโอดีเซล และยางพาราให้ชะลอตัวตามการหดตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง

สำหรับราคาสินค้าเกษตรตลาดโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรในประเทศเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.1 ชะลอลงมากจากที่ ขยายตัวร้อยละ 14.2 ในไตรมาสที่ 4/51 เป็นผลมาจากอุปสงค์ของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศลดลง โดยเฉพาะราคาปาล์มน้ำมัน และราคายางพารา ลดลงร้อยละ 37.0 และ 45.0 ตามลำดับการที่ทั้งผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรชะลอตัวส่งผลให้รายได้เกษตรกรในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.9 เทียบกับเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.5 ในปีที่ผ่านมา

  • สาขาอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 14.9 เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง อันเป็นผลมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ทำให้ความ
ต้องการสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศคู่ค้าลดลง ในขณะที่การบริโภคสินค้าภายในประเทศอยู่ในภาวะหดตัว นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีความกังวล ต่อสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ในไตรมาสแรกนี้การผลิตอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกหดตัวร้อยละ 22.3 โดยเฉพาะการผลิตแผงวงจรรวม หัวอ่านข้อมูล โทรทัศน์สี และเครื่องปรับอากาศ ที่มูลค่าการส่งออกหดตัวถึงร้อยละ 46.1 52.0 49.5 และ 54.7 ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรม
การผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศหดตัวร้อยละ 16.7 โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลลดลงถึงร้อยละ 42.8 และการชะลอการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง เช่น คอนกรีตผสมเสร็จ ปูนเม็ด เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้าง หดตัวร้อยละ 11.4 16.5 และ 53.2 ตามลำดับ อย่างไรก็ตามกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตที่มีการปรับตัวที่ดีขึ้นเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับการอุปโภคและบริโภค
จำเป็นพื้นฐาน เช่น สบู่ ผงซักฟอก แชมพู เยื่อกระดาษกระดาษคราฟท์ เป็นต้น

สำหรับการใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยของภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 57.8 เทียบกับร้อยละ 73.5 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนว่ามีกำลังการผลิตส่วนเกินในระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายการลงทุนในระยะต่อไป กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่อัตรา การใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 50 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (45.6%) เครื่องใช้ไฟฟ้า (42.9%)ยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง (43.6%) และเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก (35.6%) เป็นต้น

  • สาขาก่อสร้าง หดตัวร้อยละ 7.9 เป็นการหดตัว 4 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจหดตัวที่ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุน และการเลื่อนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของภาคสถาบันการเงินซึ่งส่งผลกระทบทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค จะเห็นได้จากเครื่องชี้หลักๆ ทางด้านการก่อสร้าง ได้แก่ พื้นที่อนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยอาคารเพื่อการพาณิชย์ และอาคารโรงงานลดลงร้อยละ 20.0, 41.9 และ 23.0 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาในรายภาคพบว่าพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างทั้งในเขต กทม.

และภูมิภาคอื่นๆ ลดลงร้อยละ 17.6 และ 20.6 ตามลำดับ สำหรับการลงทุนเพื่อการก่อสร้างภาครัฐในไตรมาสนี้หดตัวร้อยละ 9.4 ปรับตัวดีขึ้นจากหดตัวร้อยละ 26.2 ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลได้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามปัจจัย

บวกด้านการก่อสร้าง คือ ราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดลงร้อยละ9.1 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาส ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่ลดลงร้อยละ 28.1 และ 0.1 ตามลำดับ

  • ภาคอสังหาริมทรัพย์ หดตัวร้อยละ 0.4 เนื่องจากผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง และการขาดความเชื่อมั่นในสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชน

ทั่วไป ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีเงินทุนต่ำเข้าถึงแหล่งเงินทุนยากขึ้น รวมทั้งผู้บริโภคบางส่วนได้เลื่อนการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ออกไป อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาพบว่ายังมีการเปิดโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนใหญ่จะเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด ร้อยละ 36.5 ของจำนวนหน่วยที่เปิดขายทั้งหมด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว และอื่นๆ

ร้อยละ 28.0 22.7 และร้อยละ 12.8 ของจำนวนหน่วยที่เปิดขายทั้งหมด ตามลำดับ สะท้อนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดและทาวน์เฮาส์ที่ราคาไม่สูงและใกล้แนวเส้นทางรถไฟฟ้ายังเพิ่มขึ้น

  • สาขาโรงแรมและภัตตาคาร หดตัวร้อยละ 5.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่
ลดลงในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ส่งกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ เป็นวงกว้างมากขึ้น และได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการปิดสนามบินและปัญหาการเมืองภายในประเทศ ส่วนค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศไทยมีการปรับตัวลดลงโดยเฉพาะค่าที่พักอาศัยจากราคาห้องพักเฉลี่ยทั่วประเทศลดลงร้อยละ 2.4 โดยราคาห้องพักในเขตกรุงเทพฯ ลดลงร้อยละ 1.5 ทั้งนี้ไตรมาสแรกของปี 2552 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเมืองไทยทั้งสิ้น 3.67 ล้านคน ลดลงร้อยละ 15.2 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากทวีปเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ลดลงถึงร้อยละ 34.2 30.2 และ 46.6 ตามลำดับ ส่วนนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 อย่างไรก็ตามเป็นการชะลอจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.9 21.7 และร้อยละ 3.2 ในไตรมาสที่ 2—4 ปีที่ผ่านมาตามลำดับ ทั้งนี้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่
ร้อยละ 53.0 ลดลงจากร้อยละ 67.9 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาหรือลดลงร้อยละ 22.0 ซึ่งเป็นการลดลงในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในเขต
กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับร้อยละ 55.6 ลดลงจากร้อยละ 77.2 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนภาคเหนืออยู่ที่ระดับร้อยละ 44.9 ลดลงจากร้อยละ 53.4 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัญหาหมอกควันทำให้อัตราเข้าพักในภาคเหนือลดลง

-สาขาการเงิน ขยายตัวร้อยละ 4.2 ชะลอจากไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว เป็นผลจากการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินที่ไม่รวม R/P หรือเงินให้กู้ยืมผ่านธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรขยายตัวร้อยละ 8.0 ชะลอตัวจากที่ขยายตัวร้อยละ 10.2 ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา โดยการให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชนและภาคธุรกิจขยายตัวร้อยละ 5.9 และ 5.4 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 9.3 และ 11.2 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการให้สินเชื่อ หากพิจารณาถึงสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อการให้สินเชื่อทั้งหมดที่สถาบันการเงินปล่อยให้กู้ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 3.1เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.9 ในไตรมาสก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจหดตัวทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง ส่งผลทำให้รายได้ของสถาบันการเงินในไตรมาสนี้ลดลงด้วย

  • ประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน: โดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี
  • สัดส่วนการใช้น้ำมันต่อ GDP ในไตรมาสแรกของปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ0.9579 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ 0.8980 ในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วและร้อยละ 0.9189 ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้สัดส่วนการใช้น้ำมันต่อ GDP ที่สูงขึ้นเป็นไปตามฤดูกาลและคาดว่าอีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับลดลงมากตามราคาน้ำมันดิบโลกทำให้ความต้องการใช้น้ำมัน โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจมากนัก ในขณะที่กิจกรรมการผลิตที่ก่อให้เกิดการมูลค่าเพิ่มหรือผลิตภัณฑ์
มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลงมาก อย่างไรก็ตามโดยเฉลี่ยในระยะยาวของประเทศสัดส่วนการใช้น้ำมันต่อ GDP ยังอยู่ในแนวโน้มที่
ลดลง
  • การใช้น้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศ: ปริมาณการใช้พลังงานทางเลือกยังเพิ่มในอัตราสูงต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกของปี 2552 มีปริมาณการใช้แก๊สโซฮอล์ประมาณ 12.5 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็นร้อยละ 59 ของปริมาณการใช้เบนซินทั้งหมด (เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.1 เมื่อเทียบกับการใช้วันละ 7.50 ล้านลิตรในไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ขณะที่ปริมาณการใช้ไบโอดีเซล (บี 5) อยู่ที่ 20.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 240.2 นอกจากนี้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 184.2 ในขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 น้ำมันเบนซิน
ออกเทน 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ลดลงร้อยละ 68.0 21.1 และ 30.7 ตามลำดับ นอกจากนี้ปริมาณการใช้ก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
ร้อยละ 0.7
  • ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปใช้แก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ซึ่งมีราคาถูกกว่า ประกอบกับการดำเนินนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคนที่ส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอล์ด้วยการการลดภาษีสรรพาสามิตที่จัดเก็บจากแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 ลง 3.30 บาทต่อลิตร รวมถึงลดภาษีสรรพาสามิตที่จัดเก็บจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำ มันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลง 2.30 และ 2.10 บาท ตามลำดับ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 — 31 มกราคม 2552 ส่งผลให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ภายหลังจากสิ้นสุดมาตรการดังกล่าว ปริมาณการใช้พลังงานทางเลือกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคน้ำมันที่ตอบสนองนโยบายของประเทศในการส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทรถยนต์ต่าง ๆ ได้ผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ออกมาจำหน่ายเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกและช่วยสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานอย่างจริงจังและเป็นวงกว้างมากขึ้น

การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

   (%YoY)          2550      ---------------- 2551-----------------     2552
                    ทั้งปี     ทั้งปี       Q1       Q2      Q3        Q4       Q1
น้ำมันเบนซิน          1.69    -2.95    -1.92    -5.22    -7.27     2.67    7.34
ออกเทน (91+95)    -6.10   -33.11   -26.42   -32.01   -40.14   -34.60  -28.44
แก๊สโซฮอล์          37.79    92.41   111.95    94.07    91.27    81.51   65.08
น้ำมันดีเซล           2.13    -5.74    -0.37    -3.99   -14.40    -4.78   -1.29
หมุนเร็ว+หมุนช้า      -1.22   -23.28   -10.23   -20.44   -33.92   -30.06  -31.48
หมุนเร็ว บี5       1360.62   502.41   787.29   645.00  498.98    384.62  240.20
ก๊าซแอลพีจี          14.30    16.57    17.59    20.82   27.13      1.79    0.71
NGV            11738.   22976.     192.38   220.18  268.89 224.16     184.24


(ยังมีต่อ).../เสถียรภาพเศรษฐกิจ:..

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ