4. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2553
การขยายตัวที่สูงกว่าการคาดการณ์ในไตรมาสแรกกอปรกับแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจและการค้าโลกทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2553 มีโอกาสที่จะขยายตัวได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม อย่างไรก็ตาม ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ ในขณะที่ความรุนแรงทางการเมืองอย่างต่อเนื่องมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แม้ว่าการส่งออกซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้นตามการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ในประเทศสำคัญ ๆ ก็ตาม แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงเงินบาทยังอยู่ภายใต้แรงกดดันของการแข็งค่าและมีแนวโน้มที่จะผันผวนมากขึ้นตามความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศและความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤตการณ์ทางการคลังในขณะที่การผลิตภาคการเกษตรยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งและความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก
"...เศรษฐกิจไทยขยายตัวสูงในไตรมาสแรก และแสดงถึงโอกาสที่จะขยายตัวสูงในปี 2553..."
"...อย่างไรก็ตามมีปัจจัยเสี่ยงสูงทั้งจากภายในและภายนอกซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากในช่วงที่เหลือของปี..."
ปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
จากการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาสแรก เศรษฐกิจไทยในปี 2553 มีโอกาสที่จะขยายตัวในเกณฑ์สูง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก
(1) เศรษฐกิจและการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าการคาดการณ์เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียในไตรมาสแรกที่สูงกว่าการคาดการณ์และแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภาคเอกชนในสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การปรับตัวของวัฏจักรสินค้าคงคลังในประเทศสำคัญๆ มีความต่อเนื่องและเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจะยังคงเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของการผลิตและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทย
(2) ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ยังคงเอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
- การขยายตัวทางเศรษฐกิจในเกณฑ์สูงและต่อเนื่อง ทั้งนี้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกขยายตัวถึงร้อยละ 12.0 ต่อเนื่องจากร้อยละ 5.9 ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 การฟื้นตัวที่รวดเร็วและต่อเนื่องทำให้ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ปรับตัวเข้าสู่ระดับปกติในปี 2551 หรือสูงกว่า ซึ่งทำให้มีแรงส่งต่อการขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 70 และการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน
- สภาพคล่องของระบบการเงินในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี การปรับตัวดีขึ้นของตลาดทุนและตลาดพันธบัตรยังคงเอื้ออำนวยต่อการระดมทุนของภาคธุรกิจ ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฐานราก ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนเมษายน สถาบันการเงินเฉพาะกิจปล่อยสินเชื่อไปแล้วทั้งสิ้น 286,794 ล้านบาท จากเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อในปี 2553 จำนวน 821,175 ล้านบาท
- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากแท้จริงซึ่งยังอยู่ในระดับติดลบและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงยังอยู่ในช่วงต่ำสุดของวัฎจักรเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในเดือนเมษายน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงเป็นลบที่ร้อยละ 2.32 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR) ที่แท้จริงอยู่ที่ร้อยละ 2.86 แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี แต่คาดว่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ ในลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทนในกลุ่มรถยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ทั้งนี้การขยายตัวในเกณฑ์สูงของเศรษฐกิจเอเชียรวมทั้งการฟื้นตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่วนหนึ่งจะถูกชดเชยโดยแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง นอกจากนั้นความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางการคลังในยุโรปและการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. จะช่วยลดความต้องการเก็งกำไรและช่วยให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัด
อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ในประเทศในช่วงหลังจากไตรมาสแรก ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบอย่างสูงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่
(1) ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาสแรกจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น รวมทั้งการขยายตัวในเกณฑ์สูงของเศรษฐกิจเอเชียที่มีจีนเป็นแกนนำ แต่ในช่วงที่เหลือของปียังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูงรวมทั้งปัญหาที่สะสมไว้แต่เดิมทั้งด้านการใช้จ่ายที่เกินตัวและดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลสูง ในขณะที่กรีซมีหนี้สาธารณะมูลค่า 405.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. รวมถึงหนี้สาธารณะโดยเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มยูโรโซน ที่สูงถึงร้อยละ 78.7 ของ GDP สถานการณ์ดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงซึ่งจะเป็นอุปสรรคทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยภาพรวมมีความล่าช้า นอกจากนั้นความวิตกกังวลต่อแรงกดดันด้านเงินเฟ้อก็เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้จีนเริ่มดำเนินมาตรการควบคุมสินเชื่อซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัวและกระทบต่อการขยายตัวของการค้าและเศรษฐกิจในภูมิภาค
(2) สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศอย่างรุนแรง อันจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ โดยอาจส่งผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่
- ภาคการท่องเที่ยวและสาขาการผลิตเกี่ยวเนื่อง เนื่องจากการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่องระหว่างวันที่ 10 เมษายน — 19 พฤษภาคม 2553 และการใช้ความรุนแรงทำลายทรัพย์สินต่างๆ โดยผู้ก่อความไม่สงบ ส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ด้านความปลอดภัยในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเอเชีย เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จึงคาดว่าทั้งปี 2553 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประมาณ 13 ล้านคน ลดลง 3 ล้านคน จากเป้าหมาย 16 ล้านคน ส่งผลให้รายได้จากนักท่องเที่ยวลดลงประมาณ 113,000 ล้านบาท
- จากเป้าหมาย 600,000 ล้านบาท หรือเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงร้อยละ 8 (ปี 2552 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 14.1 ล้านคน)
- การลงทุน การบริโภค และการส่งออก ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นักธุรกิจ และประชาชน จะส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนชะลอลง รวมถึงต่างประเทศอาจขาดความมั่นใจในการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก
- ประสิทธิภาพการใช้จ่ายของภาครัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมืองทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ยุติคาดว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้เบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งจะส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และงบประมาณประจำปี 2554 มีความล่าช้าออกไป
(3) สถานการณ์ภัยแล้งและความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร รายได้เกษตรกรในช่วงที่เหลือของปี2553 ยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในเกณฑ์ดีเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรและมาตรการประกันรายได้เกษตรกรของรัฐบาล อย่างไรก็ตามผลผลิตทางการเกษตรยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะผันผวนมากขึ้นตามการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกและภาวะความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินสกุลหลักซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก นอกจากนั้นหากสถานการณ์ภัยแล้งมีความรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อบริการสาธารณูปโภคในพื้นที่สำคัญ ๆ และเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
(4) ความผันผวนของค่าเงินบาทภายใต้แรงกดดันของการแข็งค่าและแรงกดดันของเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ภายใต้แรงกดดันของการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญๆ รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนมากขึ้นตามความวิตกกังวลของนักลงทุนต่อวิกฤตการณ์ทางการคลังในกลุ่มประเทศยุโรปและสถานการณ์การเมืองในประเทศ การแข็งค่าของค่าเงินบาทภายใต้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศผู้ส่งออกสำคัญๆ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกซึ่งจะเป็นข้อจำกัดต่อการส่งออกโดยภาพรวม โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดยุโรปที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ภายใต้เงื่อนไขของความเสี่ยงและข้อจำกัดดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะความไม่แน่นอนในการปรับตัวของสถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติที่คาดว่าจะยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งแม้ว่าการชุมนุมจะยุติลงแล้วก็ตาม รวมถึงระยะเวลาในการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงคงประมาณการเศรษฐกิจปี 2553 ไว้เท่ากับการประมาณการในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งได้ประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 3.5 - 4.5 อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ 3.0 — 4.0 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 4.1 ของ GDP
5. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2553
"...คงการประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไว้ในช่วงร้อยละ 3.5 - 4.5..."
การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกรวมทั้งพลวัตรที่เกิดขึ้นจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2553 มีโอกาสที่จะขยายตัวในเกณฑ์สูง อย่างไรก็ตามปัญหาความไม่สงบทางการเมืองทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ ความยืดเยื้อของความไม่สงบและการขาดความเชื่อมั่นทางการเมืองมีแนวโน้มที่จะบั่นทอนแรงส่งที่เกิดจากพลวัตรของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจซึ่งสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องนับจากครึ่งปีหลังของปี 2552 นอกจากนั้นการขยายตัวของภาคส่งออกซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากวิกฤตการณ์ทางการคลังในยุโรป การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินสกุลหลักและความต่อเนื่องในการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ในขณะที่สถานการณ์ภัยแล้งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาคการเกษตร ดังนั้นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีจึงควรให้ความสำคัญกับ
(1) การเร่งรัดสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและการเมืองแก่ประชาชน รวมทั้งการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติเพื่อจำกัดผลกระทบของเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว และการเร่งรัดบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง
(2) การดูแลป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง และการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรอย่างเหมาะสมภายใต้ภาวะความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามภาวะความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก
(3) การดำเนินนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสมดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสนับสนุนให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีเป็นไปอย่างต่อเนื่องภายใต้ภาวะความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคาแก่ประเทศผู้ส่งออกสำคัญ ๆ ในตลาดโลก
(4) การเร่งรัดการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากการลดลงของรายจ่ายภาครัฐภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณปกติและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
(5) การติดตาม ประเมินสถานการณ์วิกฤตการณ์ทางการคลังในกลุ่มประเทศยุโรป และการเตรียมการรองรับผลกระทบจากความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนและค่าเงินที่เป็นผลสืบเนื่องจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในระยะยาวสำหรับภาคการผลิตและการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรปและการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินระหว่างเงินบาท ยูโร ดอลลาร์สรอ. และหยวน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้สินค้าส่งออกของไทยในตลาดยุโรปเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคามากขึ้น
ประมาณการเศรษฐกิจปี 2553
ข้อมูลจริง ประมาณการ ปี 2553 2550 2551 2552 24 พ.ค. 53 1/ GDP (ณ ราคาประจำปี: พันล้านบาท) 8,529.8 9,075.5 9,050.7 9,729.5 รายได้ต่อหัว (บาทต่อคนต่อปี) 129,240 135,455 134,683 144,141 GDP (ณ ราคาประจำปี: พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 245.8 273.4 263.6 299.4 รายได้ต่อหัว (ดอลลาร์ สรอ. ต่อหัวต่อปี) 3,724.2 4,080.6 3,922.6 4,435.1 อัตราการขยายตัวของ GDP (ณ ราคาคงที่, %) 4.9 2.5 -2.2 3.5 - 4.5 การลงทุนรวม (ณ ราคาคงที่, %) 1.5 1.2 -9.0 4.6 ภาคเอกชน (ณ ราคาคงที่, %) 0.6 3.2 -12.8 5.0 ภาครัฐ (ณ ราคาคงที่, %) 4.2 -4.6 2.7 3.5 การบริโภครวม (ณ ราคาคงที่, %) 2.8 3.0 -0.1 2.8 ภาคเอกชน (ณ ราคาคงที่, %) 1.7 2.7 -1.1 3.0 ภาครัฐบาล (ณ ราคาคงที่, %) 9.7 4.6 5.8 1.6 ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการ (ปริมาณ, %) 7.8 5.1 -12.7 8.8 มูลค่าการส่งออกสินค้า (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 151.3 175.2 150.9 174.3 อัตราการขยายตัว (%) 18.2 15.9 -13.9 15.5 อัตราการขยายตัว (ปริมาณ, %) 11.9 4.9 -14.2 9.0 ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการ (ปริมาณ, %) 4.4 8.5 -21.8 16.4 มูลค่าการนำเข้าสินค้า (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 138.5 175.1 131.5 163.0 อัตราการขยายตัว (%) 9.1 26.5 -24.9 24.0 อัตราการขยายตัว (ปริมาณ, %) 3.5 12.3 -23.0 18.0 ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 12.8 0.1 19.4 11.3 ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 2/ 15.7 1.6 20.3 12.2 ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP (%) 6.3 0.5 7.7 4.1 เงินเฟ้อ (%) ดัชนีราคาผู้บริโภค 2.3 5.5 -0.9 3.0-4.0 GDP Deflator 3.2 4.5 2.0 3.0-4.0
ที่มา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 24 พฤษภาคม 2553
หมายเหตุ 1/ คงการประมาณการเศรษฐกิจไว้เท่ากับการประมาณการเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553
2/ Reinvested earnings has been recorded as part of FDI in Financial account, and its contra entry recorded as
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--