สรุปผลข้อมูลเบื้องต้น
สำมะโนอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560
เนื่องจากบริบทของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมทำให้โครงสร้างการดำเนินธุรกิจและอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีธุรกิจทางการค้า การบริการ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้น เป็นต้น ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ข้อมูลสถิติและสารสนเทศโครงสร้างขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรม จึงมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับภาครัฐและเอกชนใช้ในการกำหนด นโยบายและวางแผนพัฒนาด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและระดับ ท้องถิ่น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในตลาดโลก
สำนักงานสถิติแห่งชาติจัดทำสำมะโนอุตสาหกรรมทุก 10 ปี ตามข้อเสนอแนะขององค์การสหประชาชาติ และได้วางแผนเปลี่ยนเป็นจัดทำทุก 5 ปี เพื่อให้ประเทศมีข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ และติดตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานสถิติแห่งชาติจัดทำสำมะโนอุตสาหกรรมมาแล้ว 4 ครั้ง ในปี 2507 ปี 2550และปี 2555 สำหรับปี 2560 เป็นการจัดทำสำมะโนอุตสาหกรรมครั้งที่ 5 ของประเทศไทยในการจัดทำสำมะโนอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560 ได้กำหนดแผนการดำเนินงานเป็น 2 ขั้นตอนคือ ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานหรือการนับจดสถานประกอบการ ทุกประเภท ซึ่งดำเนินการในปี 2559 และขั้นการเก็บรวบรวม ข้อมูลรายละเอียดหรือการแจงนับสถานประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิต ดำเนินการในปี 2560
การนำเสนอผลสำมะโนในสรุปผลข้อมูลเบื้องต้นฉบับนี้ เป็นผลจากขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานหรือการนับจด สถานประกอบการในปี 2559 ซึ่งจัดจำแนกประเภท สถานประกอบการตามการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศไทย ปี 2552 (Thailand Standard Industrial Classification : TSIC2009) ได้แก่ ธุรกิจทางการค้า ธุรกิจ ทางการบริการ การผลิต การก่อสร้าง การขนส่งทางบกและสถานที่เก็บสินค้า กิจกรรม ด้าน ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร และกิจกรรมด้านโรงพยาบาลเอกชน ที่ตั้งอยู่ในเขต ปริมณฑล โดยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลสถานประกอบการในพื้นที่เขตเทศบาลระหว่างเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2559 และพื้นที่นอกเขตเทศบาลระหว่างเดือน ตุลาคม –ธันวาคม 2559
ผลการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานของสถานประกอบการในเขตปริมณฑลพบว่า มีสถานประกอบการจำนวนทั้งสิ้น 214,949 แห่ง ในจำนวนนี้แยกเป็นสถานประกอบการ ที่เก็บรวบรวมรายการข้อมูลพื้นฐานในแบบสอบถามได้ครบถ้วน จำนวน 197,873 แห่ง และสถานประกอบการที่เก็บรวบรวมรายการข้อมูลได้เพียง ชื่อ ที่ตั้ง และประเภทธุรกิจ/ อุตสาหกรรม จำนวน 17,076 แห่ง สำหรับข้อมูลที่นำเสนอผลในสรุปผลข้อมูลเบื้องต้น ฉบับนี้จะเป็นข้อมูลของสถานประกอบการที่เก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานได้ครบถ้วน จำนวน 197,873 แห่ง เท่านั้น สรุปได้ดังนี้
จำนวนสถานประกอบการ
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานของสถานประกอบการ ในเขตปริมณฑล พบว่า มีจำนวนสถาน ประกอบการทั้งสิ้น 197,873 แห่ง หากพิจารณาเป็นรายจังหวัด พบว่า จังหวัดที่มี จำนวนสถานประกอบการมากที่สุด คือ สมุทรปราการ รองลงมา คือ ปทุมธานี นนทบุรี และนครปฐม ตามลำดับ จังหวัดที่มี จำนวนสถานประกอบการ น้อยที่สุด คือ จังหวัดสมุทรสาคร
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนสถานประกอบการระหว่างปี 2554 และปี 2559 ในเขตปริมณฑล พบว่า จำนวนสถานประกอบการเพิ่มขึ้น ในทุกประเภท กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 12.3
หากพิจารณาเป็นรายจังหวัดพบว่า เกือบทุกจังหวัดมีจำนวนสถาน ประกอบการเพิ่มขึ้น โดยจังหวัดนนทบุรีมีอัตราการเพิ่มขึ้นของสถาน ประกอบการสูงสุดร้อยละ51.0รองลงมา คือจังหวัดสมุทรสาคร และ จังหวัดปทุมธานี มีอัตราการเพิ่มขึ้นของสถานประกอบการร้อยละ 17.5 และ ร้อยละ 11.5 ตามล ดับ จังหวัดสมุทรปราการมีอัตราการเพิ่มขึ้นของสถาน ประกอบการร้อยละ 7.7 ในขณะที่จังหวัดนครปฐมที่มีจำนวนสถานประกอบการลดลงร้อยละ 11.5
ขนาดสถานประกอบการ
เมื่อพิจารณาขนาด สถานประกอบการจำแนกตามจำนวนคนทำงาน พบว่า ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 92.8) เป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงาน 1-15 คน สถานประกอบการ ที่มีคนทำงาน 16 –25 คน มีร้อยละ2.5 สถานประกอบการที่มี คนทำงาน 51 –200 คน และ 31 – 50 คน มีร้อยละ 1.9 และร้อยละ1.5 ตามลำดับ สำหรับสถานประกอบการ ขนาดอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมี สัดส่วนต่ำกว่า ร้อยละ 1.0
คนทำงานในสถานประกอบการ
สำหรับคนทำงาน ในสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในเขตปริมณฑล ในปี 2559 มีจำนวนประมาณ 1.7 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นคนทำงานที่ปฏิบัติงาน ในสถานประกอบการที่มีคนทำงาน มากกว่า 200 คน ประมาณ 609,400 คน รองลงมาเป็นคนทำงานที่ปฏิบัติงาน ในสถานประกอบการที่มีคนทำงาน 1 – 15 คน และ 51 –200 คน ประมาณ 491,500 คน และ 386,800 คน ตามล ดับ ส่วนสถานประกอบการขนาดอื่น ๆ มีคนทำงานในสถานประกอบการไม่เกิน 120,000 คน
เมื่อเปรียบเทียบจำนวน คนทำงาน ในปี 2559 และปี 2554 พบว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้น จาก 1.6 ล้านคน เป็น 1.7 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.0โดยเกือบทุกกิจกรรมทาง เศรษฐกิจมีจำนวนคนทำงานเพิ่มขึ้น ยกเว้น สถานประกอบการที่ประกอบ กิจกรรมทางด้านการผลิต ที่มีจำนวน คนทำงานลดลงจากเดิม 1.1 ล้านคน เหลือเพียง 1.0 ล้าน คน เช่น ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องหนัง สิ่งทอเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
เมื่อพิจารณาคนทำงานในแต่ละจังหวัดของปริมณฑล พบว่า สมุทรปราการ มีคนทำงานมากที่สุดประมาณ 581,300 คน รองลงมาคือ สมุทรสาคร มีคนทำงาน ประมาณ 351,500 คน ส่วนจังหวัด ที่มีคนทำงานน้อยที่สุดคือ นครปฐม ประมาณ 232,600 คน
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนคนทำงานในปี 2559 และปี 2554 พบว่า จังหวัด สมุทรปราการ นนทบุรี และสมุทรสาคร มีคนทำงานเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ จังหวัดนนทบุรีมีคนทำงานเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึงร้อยละ 43.9 สำหรับจังหวัดปทุมธานี และนครปฐม มีสัดส่วนคนทำงานลดลงไม่เกินร้อยละ 7.0
รูปแบบการจัดตั้งตามกฎหมาย
มื่อพิจารณาตามรูปแบบ การจัดตั้งตามกฎหมาย พบว่า สถานประกอบการส่วนใหญ่ (ร้อยละ 81.7) มีรูปแบบการจัดตั้งเป็นส่วน บุคคล รองลงมาเป็นบริษัทจำกัด บริษัทจำกัด (มหาชน) ร้อยละ 15.3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญ นิติบุคคล ร้อยละ 2.9 สำหรับสถานประกอบการที่เป็นกลุ่มแม่บ้าน และ รูปแบบอื่นๆ (ส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ สหกรณ์ สมาคม มูลนิธิ ฯลฯ) มีเพียง ร้อยละ 0.1 ซึ่งหากพิจารณาจำนวน คนทำงานเฉลี่ยต่อสถานประกอบการ พบว่า สถานประกอบการที่เป็นบริษัทจำกัด และบริษัทจำกัด (มหาชน) มีจำนวน คนทำงานเฉลี่ยสูงสุดถึง 43 คนต่อสถานประกอบการ
รูปแบบการจัดตั้งทางเศรษฐกิจ
เมื่อพิจารณาตามรูปแบบการจัดตั้งทางเศรษฐกิจ พบว่า สถานประกอบการส่วนใหญ่ (ร้อยละ 95.5) มีรูปแบบการจัดตั้งเป็น สำนักงานแห่งเดียว ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 3.8 เป็นสำนักงานสาขา ร้อยละ 0.7 เป็นสำนักงานใหญ่
การร่วมลงทุนจากต่างประเทศ
สถานประกอบการ ที่มีรูปแบบ การจัดตั้งตามกฎหมายเป็นบริษัท จำกัด บริษัทจำกัด (มหาชน) ในเขต ปริมณฑลมีจำนวน 30,215 แห่ง ส่วน ใหญ่ (ร้อยละ 97.3) ไม่มีการร่วม ลงทุนหรือถือหุ้นจากต่างประเทศ สำหรับสถานประกอบการที่มี ต่างประเทศร่วมลงทุนหรือถือหุ้น มีเพียงร้อยละ 2.7 ในจำนวนนสถานประกอบการที่มีสัดส่วนการ ร่วมลงทุนหรือถือหุ้นจากต่างประเทศ ระหว่าง 10 – 50% คิดเป็นร้อยละ 43.8 รองลงมามีสัดส่วนการร่วม ลงทุนหรือถือหุ้นจากต่างประเทศ มากกว่า 50% ร้อยละ 34.9 ส่วน สถานประกอบการที่มีการร่วมลงทุน หรือถือหุ้นจากต่างประเทศน้อยกว่า 10% มีร้อยละ 21.3
การมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารในการดำเนินกิจการ
สำหรับการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการดำเนินกิจการ พบว่าสถานประกอบการใน ปริมณฑลมีการใช้คอมพิวเตอร์ ในการดำเนินกิจการประมาณ 41,936 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 21.2 ของสถานประกอบการทั้งสิ้น
สำหรับการใช้อินเทอร์เน็ต จากสถานประกอบการที่มีการใช้ คอมพิวเตอร์ พบว่ามีการใช้อินเทอร์เน็ต ร้อยละ 88.8 นอกจากนี้ ยังพบว่า สถาน ประกอบการที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการ ดำเนินกิจการยังมีการซื้อขายสินค้า หรือบริการผ่านอินเทอร์เน็ต (E – Commerce)ร้อยละ 28.6
ระยะเวลาในการดำเนินกิจการ
สำหรับระยะเวลาในการดำเนิน กิจการของสถานประกอบการ พบว่า สถานประกอบการส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มดำเนิน กิจการไม่เกิน 5 ปี (ร้อยละ 36.3) รองลงมา เป็นสถานประกอบการที่ดำเนินกิจการ 10 – 19 ปี และ 5 – 9 ปี โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 28.2และ 26.8 ตามลำดับ สำหรับสถานประกอบการ ที่ดำเนินกิจการเกิน 20 ปี มีเพียง ร้อยละ 8.7 เท่านั้น
เมื่อพิจารณาตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ พบว่าสถานประกอบการ ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับที่พักแรม บริการอาหารและเครื่องดื่ม กิจกรรมด้าน การบริการอื่นๆ และกิจกรรมการบริหารและการบริการสนับสนุน กว่าร้อยละ 40.0 มีระยะเวลาในการดำเนินกิจการน้อยกว่า 5 ปี สำหรับกิจกรรม อสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 42.5 มีระยะเวลาในการดำเนินกิจการ 10 – 19 ปี
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ