เนื่องจากบริบทของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมือง ที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ทำให้โครงสร้างการดำเนินธุรกิจและอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นข้อมูลสถิติและสารสนเทศโครงสร้างขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรม จึงมีความสำคัญและจำเป็นสาหรับภาครัฐ และเอกชนใช้ในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
สานักงานสถิติแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดทาสามะโนอุตสาหกรรม เพื่อให้ประเทศมีข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญทางด้านอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ และภูมิภาค สำหรับปี 2560 เป็นการจัดทำสำมะโนอุตสาหกรรมครั้งที่ 5 ของประเทศไทย
สรุปข้อมูลเบื้องต้นฉบับนี้เป็นข้อมูลผลการดำเนินงานในรอบปี 2559 (1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2559) ของสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ที่ตั้งอยู่ใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจัดจาแนกประเภทสถานประกอบการตามการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศไทย ปี 2552 (Thailand Standard Industrial Classification: TSIC 2009) สรุปได้ดังนี้
จากการสำมะโนอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560 พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต จำนวนทั้งสิ้น 180,711 แห่ง มีจำนวนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับสำมะโนอุตสาหกรรมการผลิตเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยตั้งอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ เป็นจำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นจังหวัดศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
เมื่อพิจารณาตามหมวดย่อยอุตสาหกรรมพบว่า เป็นสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร มากที่สุด รองลงมาเป็นการผลิตสิ่งทอ การผลิตไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ และไม้ก๊อก(ยกเว้นเฟอร์นิเจอร์) การผลิตสิ่งของจากฟาง และวัสดุถักสานอื่น ๆ และการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนอกจากนี้เป็นการผลิตในหมวดย่อยอื่น ๆ มีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 10.0
เมื่อพิจารณาตามขนาดของสถานประกอบการ (จำนวนคนทำงาน) พบว่า สถานประกอบการผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่ ร้อยละ 98.5 เป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงาน 1 – 15 คน ส่วนที่เหลือร้อยละ 1.5 เป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงานตั้งแต่ 16 คนขึ้นไปโดยเป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงาน 16 – 25 คนมีร้อยละ 0.7 ส่วนสถานประกอบการขนาดอื่น ๆนอกจากที่กล่าวข้างต้นมีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 0.5
เมื่อพิจารณาตามรูปแบบการจัดตั้งตามกฎหมาย พบว่า สถานประกอบการ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 84.7 เป็นสถานประกอบการส่วนบุคคล สำหรับสถานประกอบการที่เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีร้อยละ 0.6 เป็นบริษัทจำกัด บริษัทจำกัด (มหาชน) ร้อยละ 0.7 และเป็นสถานประกอบการที่จัดตั้งในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สหกรณ์ กลุ่มแม่บ้าน ฯลฯ ร้อยละ 14.0
หากพิจารณาตามรูปแบบการจัดตั้งทางเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 99.6 เป็นสำนักงานแห่งเดียว ร้อยละ 0.1 เป็นสานักงานใหญ่ และอีกร้อยละ 0.3 เป็นสำนักงานสาขา
เมื่อพิจารณาตามระยะเวลาการดำเนินกิจการของสถานประกอบการ พบว่า สถานประกอบการ ร้อยละ 36.3 ดำเนินกิจการมาแล้ว 10 – 19 ปี ร้อยละ 20.9 ดำเนินกิจการมาแล้ว 5 – 9 ปี ร้อยละ 20.5 ดำเนินกิจการไม่เกิน 5 ปี ร้อยละ 14.2 ดำเนินกิจการมาแล้ว 20 – 29 ปี และอีกร้อยละ 8.1 ดำเนินกิจการตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
เมื่อพิจารณาทุนจดทะเบียนของสถานประกอบการอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า สถานประกอบการมีทุนจดทะเบียนเพียงร้อยละ 1.0 ของสถานประกอบการทั้งสิ้น ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 76.7 มีทุนจดทะเบียนน้อยกว่า 10 ล้านบาท ร้อยละ 15.6 มีทุนจดทะเบียน 10 – 99 ล้านบาท ส่วนสถานประกอบการที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียงร้อยละ 7.7
หากพิจารณาอัตราการใช้กำลังการผลิตต่อปี 2559 ของสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต พบว่า มีการใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยประมาณ 83.8% โดยร้อยละ 70.3 รายงานว่ามีการใช้กำลังการผลิตตั้งแต่ 80% ขึ้นไป ที่รายงานว่ามีกำลังการผลิต 60 – 79% มีร้อยละ 20.2 ในขณะที่สถานประกอบการร้อยละ 9.5 รายงานว่ามีกำลังการผลิตน้อยกว่า 60%
เมื่อพิจารณาคนทำงานในสถานประกอบการการผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจานวนประมาณ 622,612 คน พบว่า ร้อยละ 42.3 เป็นเพศชาย และร้อยละ 57.7 เป็นเพศหญิง
หากพิจารณาตามสถานภาพการทำงาน พบว่า คนทำงานที่เป็นลูกจ้างมีฝีมือมากที่สุด โดยร้อยละ 46.7 เป็นลูกจ้างมีฝีมือหญิง ซึ่งสูงกว่าเพศชายที่เป็นลูกจ้างมีฝีมือร้อยละ 44.3 ของคนทำงานชายทั้งหมดอย่างไรก็ตามคนทำงานในสถานภาพอื่น ๆ ของเพศหญิงมีสัดส่วนแต่ละสถานภาพสูงกว่าเพศชาย ยกเว้นลูกจ้างไม่มีผีมือและลูกจ้างอื่น ๆ
เมื่อพิจารณาลูกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับค่าตอบแทนแรงงานรวมทั้งสิ้น 35,425.3 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อคนต่อปีประมาณ 93,209 บาท โดยลูกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ขนส่งอื่น ๆ ได้รับค่าตอบแทนแรงงานต่อคนต่อปีสูงที่สุด คือ 198,215 บาท รองลงมาคือลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ รถพ่วง และรถกึ่งพ่วง และผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ได้รับค่าตอบแทนแรงงานเฉลี่ยต่อคนต่อปี 184,327 บาท และ 180,426 บาท สาหรับลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวข้างต้น แต่ละหมวดย่อย ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อคนต่อปีต่ากว่า 180,000 บาท
เมื่อพิจารณาในด้านการดำเนินกิจการของสถานประกอบการอุตสาหกรรม การผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ในรอบปี 2559 มีมูลค่าผลผลิตรวมทั้งสิ้น 587,723.8 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายขั้นกลางประมาณ 411,960.7 ล้านบาท และมีมูลค่าเพิ่มประมาณ 175,763.0 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนของมูลค่าเพิ่มต่อมูลค่าผลผลิตประมาณ ร้อยละ 29.9
หากพิจารณาตามหมวดย่อยอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ พบว่า มูลค่าผลผลิต ค่าใช้จ่ายขั้นกลาง และมูลค่าเพิ่มของสถานประกอบการมาจากอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร สูงที่สุดประมาณร้อยละ 42.4 43.6 และ 39.6 ตามลาดับ รองลงมาเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในทาง ทัศนศาสตร์ ประมาณร้อยละ 19.2 18.1 และ 21.8 ตามลาดับ นอกจากนี้อุตสาหกรรม การผลิตอื่น ๆ ในแต่ละหมวดย่อยมีมูลค่าผลผลิต ค่าใช้จ่ายขั้นกลาง และมูลค่าเพิ่มในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 9.0
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ