สรุปผลการสำรวจ
ภาวะการทำงานของประชากรเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2562
ดำเนินการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรหรือสำรวจแรงงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2506 โดยในช่วงแรก สำรวจเพียงปีละ 2 รอบ รอบแรกเป็นการสำรวจนอกฤดูเกษตร รอบที่ 2 เป็นฤดูเกษตร ต่อมาในปี 2527 - 2540 สำรวจปีละ 3 รอบ โดยเพิ่มสำรวจช่วงเดือนพฤษภาคมเพื่อดูแรงงานที่จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน และในปี 2541 ได้เพิ่ม การสำรวจขึ้นอีก 1 รอบ คือเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตร ทำให้การสำรวจภาวะการทำงานของประชากรครบทั้ง 4 ไตรมาสของปี ในปี 2544 สำนักงาน-สถิติแห่งชาติ ได้ปรับปรุงการสำรวจเป็นรายเดือนทั้งนี้เพื่อให้สามารถติดตาม ภาวะการมีงานทำของประชากรได้อย่างต่อเนี่องและเสนอผลการสำรวจเป็นรายเดือนในระดับประเทศและภาค
ผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2562 พบว่าจำนวนผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป 56.70 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อม จะทำงาน 38.21 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วยผู้มีงานทำ37.66 ล้านคน ผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล 1.8 แสนคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานหรือผู้ที่ไม่พร้อมทำงาน 18.49 ล้านคน ได้แก่ แม่บ้าน นักเรียน คนชรา เป็นต้น
การมีงานทำ 37.66 ล้านคน
สำหรับจำนวนผู้มีงานทำ 37.66 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรม 12.69 ล้านคน และนอกภาคเกษตรกรรม 24.97 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561 พบว่า ผู้มีงานทำลดลง 2.1 แสนคน (จาก 37.87 ล้านคน เป็น 37.66 ล้านคน) โดยผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรกรรมมีจำนวนลดลง 4.7 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นการลดลงในสาขาการผลิต 4.0 แสนคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า 9.0 หมื่นคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศและการประกันสังคมภาคบังคับ 8.0 หมื่นคน สาขาการศึกษา 5.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพ และงานสังคมสงเคราะห์ 3.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมบริการด้านอื่นๆ 1.0 หมื่นคน สาขาที่เพิ่มขึ้นได้แก่ สาขาการขายส่ง และการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้น 7.0 หมื่นคน สาขาการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 3.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 2.0 หมื่นคน สาขาที่พักแรม และบริการด้านอาหาร เพิ่มขึ้น 1.0 หมื่นคน และสาขากิจกรรมทางการเงินและการประกันภัยไม่มีการเปลี่ยนแปลง สำหรับผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 2.6 แสนคน โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในสาขาการปลูกข้าวจ้าว การปลูกพืชผักกินผล รวมถึงแตงชนิดต่างๆ และ การปลูกพืชผักกินรากและหัวใต้ดิน
เมื่อพิจารณาถึงชั่วโมงทำงาน ของผู้มีงานทำต่อ สัปดาห์ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 พบว่า ส่วนใหญ่ ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือได้ว่าเป็น ผู้ทำงานเต็มที่ในเรื่องชั่วโมงทำงานมีจำนวน 31.75 ล้านคน หรือร้อยละ 84.3 ของผู้มีงานทำทั้งหมด และผู้ที่ทำงาน1 - 34 ชั่วโมง มีจำนวน 5.36 ล้านคน หรือร้อยละ 14.2 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์สำรวจ (ระหว่าง 7 วัน ก่อนวันสัมภาษณ์) แต่เป็นผู้มีงานประจำซึ่งถือว่าสัปดาห์ การสำรวจไม่มีชั่วโมงการทำงาน (0 ชั่วโมง) มีจำนวน 5.5 แสนคน หรือ ร้อยละ 1.5
การทำงานต่ำกว่าระดับ หากพิจารณาถึงจำนวน ผู้ที่ทำงานแต่ยังทำงานได้ไม่เต็มเวลาซึ่งคนกลุ่มนี้ เป็นผู้ทำงานแต่ยังมีเวลาและต้องการที่จะทำงานเพิ่ม หรือเรียก คนทำงานในกลุ่มนี้ว่า ผู้ทำงานต่ำกว่าระดับ (Underemployment workers) จากผลการสำรวจพบว่า มีจำนวน 2.10 แสนคน หรือร้อยละ 0.6 ของจำนวนผู้ทำงานทั้งหมด เมื่อพิจารณาตามเพศ พบว่า โดยปกติแล้วเพศชาย มากกว่าเพศหญิง สำหรับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 เพศชายมีจำนวนผู้ทำงานต่ำกว่าระดับ 1.40 แสนคน (ร้อยละ0.7) และเพศหญิง 7.0 หมื่นคน (ร้อยละ 0.4)
การว่างงาน 3.67 แสนคน
จำนวนการว่างงาน ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 มีทั้งสิ้น 3.67 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ 1.0 เมื่อเปรียบเทียบ กับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 1.8 หมื่นคน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 จำนวนผู้ว่างงานลดลง 6.2 หมื่นคน
เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 0.9 เป็นร้อยละ 1.0 หากเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมาอัตราการว่างงาน ลดลงจากร้อยละ 1.1 เป็นร้อยละ 1.0
เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามเพศในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 พบว่า เพศชายมีอัตรา การว่างงานสูงกว่าเพศหญิง โดยอัตราการว่างงานของเพศชาย ร้อยละ 1.1 และเพศหญิงร้อยละ 0.8
หากเปรียบเทียบอัตราการว่างงาน กับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการ ว่างงานเพศชาย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.9 เป็นร้อยละ 1.1 ส่วนเพศหญิง อัตราการว่างงานลดลงจาก ร้อยละ 0.9 เป็นร้อยละ 0.8
การว่างงานตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มวัยเยาวชน หรือผู้มีอายุ 15-24 ปี มีอัตราการว่างงานร้อยละ 5.2 ซึ่งปกติในกลุ่มนี้ อัตราการว่างงานจะสูง ส่วนกลุ่มวัยผู้ใหญ่ (อายุ 25 ปีขึ้นไป) มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.5 เมื่อเปรียบเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 กลุ่มวัยเยาวชนมีอัตราการ ว่างงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.8 เป็นร้อยละ 5.2
ระดับการศึกษาที่สำเร็จของผู้ว่างงาน เดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 พบว่า ผู้ว่างงานที่สำเร็จการศึกษา ในระดับอุดมศึกษา 1.48 แสนคน (อัตราการว่างงานร้อยละ 1.8) รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า 7.6 หมื่นคน (ร้อยละ 1.2) ระดับประถมศึกษา 6.6 หมื่นคน (ร้อยละ 0.8) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 5.5 หมื่นคน (ร้อยละ 0.8) และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 2.1 หมื่นคน (ร้อยละ 0.3) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 พบว่า ผู้ว่างงานระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า เพิ่มขึ้น 7.0 หมื่นคน ระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้น 3.6 หมื่นคน ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา เพิ่มขึ้น 1.0 หมื่นคน ในขณะที่ผู้ว่างงานในระดับอุดมศึกษาลดลง 1.8 หมื่นคน และระดับมัธยมศึกษาตอนต้นลดลง 1.6 หมื่นคน
ประสบการณ์การทำงานของผู้ว่างงานพบว่า เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 1.72 แสนคน หรือร้อยละ 46.9 ของผู้ว่างงานทั้งหมด และผู้ว่างงาน ที่เคยทำงานมาก่อน 1.95 แสนคน หรือร้อยละ 53.1 โดยเป็นผู้ว่างงานจากนอกภาคเกษตรกรรม 1.81 แสนคน ซึ่งประกอบด้วยภาคการบริการและการค้า 0.98 แสนคน และภาคการผลิต 0.83 แสนคน ส่วนผู้ว่างงานจาก ภาคเกษตรกรรมมีจำนวน 0.14 แสนคน
ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 1.72 แสนคน สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา 1.04 แสนคน ในจำนวนนี้เป็น ผู้สำเร็จสายวิชาการ 7.9 หมื่นคน สายอาชีวศึกษา 8.0 พันคน และสายวิชาการศึกษา 1.7 หมื่นคน รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายหรือเทียบเท่า 2.6 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2.0 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 1.7 หมื่นคน และไม่มีการศึกษา และต่ำกว่าประถมศึกษา 4.0 พันคน
ผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 1.95 แสนคน สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า 5.0 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 4.9 หมื่นคน ระดับอุดมศึกษา 4.4 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3.5 หมื่นคน และไม่มีการศึกษา และต่ำกว่าประถมศึกษา 1.7 หมื่นคน
เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561 จะเห็นได้ว่า จำนวนผู้ว่างงานทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 1.8 หมื่นคน (จาก 3.49 แสนคน เป็น 3.67 แสนคน) เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่มขึ้น 2.7 หมื่นคน ภาคกลาง และภาคเหนือ เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ 1.0 หมื่นคน ในขณะที่กรุงเทพมหานครลดลง 2.7 หมื่นคน และภาคใต้ลดลง 2.0 พันคน
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ