สรุปผลการสำรวจ
ภาวะการทำงานของประชากรเดือน มกราคม พ.ศ. 2563
ดำเนินการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรหรือสำรวจแรงงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2506 โดยในช่วงแรก สำรวจเพียงปีละ 2 รอบ รอบแรกเป็นการสำรวจนอกฤดูเกษตร รอบที่ 2 เป็นฤดูเกษตร ต่อมาในปี 2527 - 2540 สำรวจปีละ 3 รอบ โดยเพิ่มสำรวจช่วงเดือนพฤษภาคมเพื่อดูแรงงานที่จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน และในปี 2541 ได้เพิ่ม
การสำรวจขึ้นอีก 1 รอบ คือเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตร ทำให้การสำรวจภาวะการทำงานของประชากรครบทั้ง 4 ไตรมาสของปี ในปี 2544 สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ปรับปรุงการสำรวจเป็นรายเดือนทั้งนี้เพื่อให้สามารถติดตาม ภาวะการมีงานทำของประชากรได้อย่างต่อเนี่องและเสนอผลการสำรวจเป็นรายเดือนในระดับประเทศและภาค
ผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือน มกราคม พ.ศ. 2563 พบว่าจำนวนผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป 56.72 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อม จะทำงาน 37.87 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วยผู้มีงานทำ37.18 ล้านคน ผู้ว่างงาน 4.10 แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล 2.8 แสนคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานหรือผู้ที่ไม่พร้อมทำงาน 18.85 ล้านคน ได้แก่ แม่บ้าน นักเรียน คนชรา เป็นต้น
การมีงานทำ 37.18ล้านคน3.2 แสนคน
สำหรับจำนวนผู้มีงานทำ 37.18 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรม 10.23 ล้านคน และนอกภาคเกษตรกรรม 26.95 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 พบว่า ผู้มีงานทำลดลง 3.2 แสนคน (จาก 37.50 ล้านคน เป็น 37.18 ล้านคน)
โดยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรมมีจำนวน ลดลง 5.2 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นการลดลงในสาขา กิจกรรมอื่นๆ ที่สนับสนุนการผลิตพืชผล การปลูกอ้อย และการปลูก ข้าวจ้าว
นอกภาคเกษตรกรรมจำนวน ผู้ทำงานในภาพรวม เพิ่มขึ้น 2.0 แสนคน โดยมีการ เพิ่มขึ้นในสาขาการผลิต 3.1 แสนคน สาขาที่พักแรม และบริการด้านอาหาร 1.2 แสนคน สาขาการก่อสร้าง และสาขาการศึกษาเพิ่มขึ้นเท่ากัน คือ 7.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงินและการ ประกันภัย เพิ่มขึ้น 4.0 หมื่นคน สาขากิจกรรม อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมด้านสุขภาพ และงาน สังคมสงเคราะห์ กิจกรรมทางวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และเทคนิค และศิลปะ ความบันเทิง และนันทนาการ เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ 3.0 หมื่นคน ไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และระบบปรับอากาศ และกิจกรรมการจ้างงานในครัวเรือน ส่วนบุคคล เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ 2.0 หมื่นคน และข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารเพิ่มขึ้น 1.0 หมื่นคน สาขาที่ลดลงคือ สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ ลดลง 2.7 แสนคน สาขากิจกรรมบริการด้านอื่นๆ ลดลง 1.0 แสนคน กิจการบริหารและการสนับสนุนลดลง 9.0 หมื่นคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ลดลง 4.0 หมื่นคน และสาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศและการ ประกันสังคมภาคบังคับ ลดลง 3.0 หมื่นคน
เมื่อพิจารณาถึงชั่วโมงทำงาน ของผู้มีงานทำต่อ สัปดาหในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 พบว่า ส่วนใหญ่ ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห ซึ่งถือได้ว่าเป็น ผู้ทำงานเต็มที่ในเรื่องชั่วโมงทำงานมีจำนวน 21.66 ล้านคน หรือร้อยละ 58.3 ของผู้มีงานทำทั้งหมด และผู้ที่ทำงาน1 - 34 ชั่วโมง มีจำนวน 14.70 ล้านคน หรือร้อยละ 39.5 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาหสำรวจ (ระหว่าง 7 วัน ก่อนวันสัมภาษณ) แต่เป็นผู้มีงานประจำซึ่งถือว่าสัปดาห การสำรวจไม่มีชั่วโมงการทำงาน (0 ชั่วโมง) มีจำนวน 8.2 แสนคน หรือ ร้อยละ 2.2
การทำงานต่ำกว่าระดับ หากพิจารณาถึงจำนวน ผู้ที่ทำงานแต่ยังทำงานได้ไม่เต็มเวลาซึ่งคนกลุ่มนี้ เป็นผู้ทำงานแต่ยังมีเวลาและต้องการที่จะทำงานเพิ่ม หรือเรียก คนทำงานในกลุ่มนี้ว่า ผู้ทำงานต่ำกว่าระดับ (Underemployment workers) จากผลการสำรวจพบว่า มีจำนวน 1.83 แสนคน หรือร้อยละ 0.5 ของจำนวนผู้ทำงานทั้งหมด เมื่อพิจารณาตามเพศ พบว่า โดยปกติแล้วเพศชาย มากกว่าเพศหญิง สำหรับเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 เพศชายมีจำนวนผู้ทำงานต่ำกว่าระดับ 1.06 แสนคน (ร้อยละ0.5) และเพศหญิง 7.7 หมื่นคน (ร้อยละ 0.5)
การว่างงาน 4.06 แสนคน
จำนวนการว่างงาน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 มีทั้งสิ้น 4.06 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ 1.1 เมื่อเปรียบเทียบ กับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 1.6 หมื่นคน
เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 1.0 เป็นร้อยละ 1.1
เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามเพศในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 พบว่า เพศชายมีอัตรา การว่างงาน (ร้อยละ 1.2) มากกว่าเพศหญิง (ร้อยละ 0.9)
หากเปรียบเทียบอัตราการว่างงานกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการ ว่างงานเพศชาย เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 1.1 เป็น ร้อยละ 1.2 ส่วนเพศหญิง อัตราการว่างงานไม่เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ 0.9)
การว่างงานตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มวัยเยาวชน หรือผู้มีอายุ 15-24 ปี มีอัตราการว่างงานร้อยละ 5.4 ซึ่งปกติในกลุ่มนี้ อัตราการว่างงานจะสูง ส่วนกลุ่มวัยผู้ใหญ่ (อายุ 25 ปีขึ้นไป) มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.6 เมื่อเปรียบเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 กลุ่มวัยเยาวชนมีอัตราการ ว่างงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.2 เป็นร้อยละ 5.4
ระดับการศึกษาที่สำเร็จของผู้ว่างงาน เดือนมกราคม พ.ศ. 2563 พบว่า ผู้ว่างงานที่สำเร็จการศึกษา ในระดับอุดมศึกษา 1.25 แสนคน (อัตราการว่างงานร้อยละ 1.8) รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1.04 แสนคน (ร้อยละ 1.7) ระดับประถมศึกษา 5.6 หมื่นคน (ร้อยละ 0.7) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 5.4 หมื่นคน (ร้อยละ 1.0) ระดับปวช./ปวส. 4.4 หมื่นคน (ร้อยละ 1.3) และไม่มีการศึกษา และต่ำกว่าประถมศึกษา 2.2 หมื่นคน (ร้อยละ 0.3) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 พบว่าผู้ว่างงาน ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาลดลง 1.0 หมื่นคน ระดับประถมศึกษาลดลง 8.0 พันคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายลดลง 6.0 พันคน ระดับปวช./ปวส.ลดลง 2.0 พันคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเพิ่มขึ้น 2.3 หมื่นคน และ ระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้น 1.8 หมื่นคน
ประสบการณการทำงานของผู้ว่างงานพบว่า เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 1.76 แสนคน หรือร้อยละ 43.3 ของผู้ว่างงานทั้งหมด และผู้ว่างงาน ที่เคยทำงานมาก่อน 2.30 แสนคน หรือร้อยละ 56.7 โดยเป็นผู้ว่างงานจากนอกภาคเกษตรกรรม 2.03 แสนคน ซึ่งประกอบด้วยภาคการบริการและการค้า 1.10 แสนคน และภาคการผลิต 9.3 หมื่นคน ส่วนผู้ว่างงานจาก ภาคเกษตรกรรมมีจำนวน 2.7 หมื่นคน
ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 1.76 แสนคน สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา 8.3 หมื่นคน รองลงมาเป็นระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น 3.3 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2.2 หมื่นคน ระดับปวช./ปวส. 1.8 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 1.5 หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 4.0 พันคน
จำนวน 2.30 แสนคน สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 7.1 หมื่นคน ระดับอุดมศึกษา 4.2 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 4.1 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 3.2 หมื่นคน ระดับปวช./ปวส. 2.6 หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 1.8 หมื่นคน
เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 จะเห็นได้ว่า จำนวนผู้ว่างงานทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 1.6 หมื่นคน (จาก 3.90 แสนคน เป็น 4.06 แสนคน) เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลง 4.1 หมื่นคน ภาคเหนือลดลง 1.2 หมื่นคน ภาคกลางเพิ่มขึ้น 4.9 หมื่นคน กรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น 1.9 หมื่นคน และภาคใต้เพิ่มขึ้น 1.0 พันคน
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ