สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือน มีนาคม 2563
ดำเนินการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรหรือสำรวจแรงงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2506 โดยในช่วงแรกสำรวจเพียงปีละ 2 รอบ รอบแรก เป็นการสำรวจนอกฤดูเกษตร รอบที่ 2 เป็นฤดูเกษตรต่อ มาในปี 2527 - 2540 สำรวจปีละ 3 รอบ โดยเพิ่มการ สำรวจช่วงเดือนพฤษภาคมเพื่อดูแรงงานที่จบการศึกษา ใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน และในปี 2541 ได้เพิ่มการสำรวจขึ้นอีก 1 รอบ คือเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตรทำให้การสำรวจภาวะการทำงานของประชากรครบทั้ง 4 ไตรมาสของปี ในปี 2544 สำนักงานสถิติแห่งชาติได้ปรับปรุงการสำรวจเป็นรายเดือนทั้งนี้เพื่อให้สามารถติดตามภาวะการมีงานทำของประชากรได้อย่างต่อเนื่องและเสนอผลการสำรวจเป็นรายเดือนทั้งในระดับประเทศและระดับภาค
ผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 พบว่าผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจำนวน 56.77 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน หรือผู้ที่พร้อมจะทำงาน 38.21 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วย ผู้มีงานทำ 37.33 ล้านคน ผู้ว่างงาน 3.92 แสนคน และผู้ที่ รอฤดูกาล 4.90 แสนคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานหรือผู้ที่ไม่พร้อมทำงาน 18.56 ล้านคน ได้แก่ แม่บ้าน นักเรียน คนชรา เป็นต้น
การมีงานทำ 37.33 ล้านคน
สำหรับจำนวนผู้มีงานทำ 37.33 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรม 11.28 ล้านคน และนอกภาคเกษตรกรรม 26.05 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 พบว่า ผู้มีงานทำลดลง 4.4 แสนคน (จาก 37.77 ล้านคน เป็น 37.33 ล้านคน)
โดยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรมมีจำนวนลดลง 6.1 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นการลดลงในกิจกรรมการปลูกอ้อยกิจกรรมอื่นๆ ที่สนับสนุนการผลิตพืชผล และการปลูกข้าวจ้าว
จำนวนผู้ทำงานนอกภาคเกษตรกรรมในภาพรวมเพิ่มขึ้น 1.7 แสนคน โดยเพิ่มขึ้นในสาขาการศึกษา 2.2 แสนคน สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร 1.8 แสนคน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และ รถจักรยานยนต์ 1.3 แสนคน สาขาศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ 8.0 หมื่นคน สาขาไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และระบบปรับอากาศ 3.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ 2.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมบริการด้านอื่นๆ และสาขากิจกรรมการจ้างงานในครัวเรือนส่วนบุคคล เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ 1.0 หมื่นคน สาขาที่ลดลงคือ สาขาการผลิต ลดลง 4.2 แสนคน สาขาการก่อสร้าง ลดลง 7.0 หมื่นคน สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ลดลง 6.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย และสาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ลดลงเท่ากันคือ 5.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมบริหารและการบริการสนับสนุนลดลง 4.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมทางวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และเทคนิค ลดลง 2.0 หมื่นคน
เมื่อพิจารณาถึงชั่วโมงทำงาน ของผู้มีงานทำต่อสัปดาห์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 พบว่า ส่วนใหญ่ ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ ทำงานเต็มที่ในเรื่องชั่วโมงทำงาน มีจำนวน 31.47 ล้านคน หรือร้อยละ 84.3 ของผู้มีงานทำทั้งหมด และผู้ที่ทำงาน1 - 34 ชั่วโมง มีจำนวน 5.16 ล้านคน หรือร้อยละ 13.8 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์สำรวจ (ระหว่าง 7 วัน ก่อนวันสัมภาษณ์) แต่เป็นผู้มีงานประจำซึ่งถือว่าสัปดาห์ การสำรวจไม่มีชั่วโมงการทำงาน (0 ชั่วโมง) มีจำนวน7.0 แสนคน หรือ ร้อยละ 1.9
การทำงานต่ำกว่าระดับ หากพิจารณาถึงจำนวนผู้ที่ทำงานแต่ยังทำงานได้ไม่เต็มเวลา ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นผู้ทำงานแต่ยังมีเวลาและต้องการที่จะทำงานเพิ่ม หรือเรียกคนทำงานในกลุ่มนี้ว่า ผู้ทำงานต่ำกว่าระดับ (Underemployment workers) จากผลการสำรวจพบว่า มีจำนวน 2.48 แสนคน หรือร้อยละ 0.7 ของจำนวนผู้ทำงานทั้งหมด เมื่อพิจารณาตามเพศ พบว่า โดยปกติแล้วเพศชายมากกว่าเพศหญิง สำหรับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 เพศชายมีจำนวนผู้ทำงานต่ำกว่าระดับ 1.40 แสนคน (ร้อยละ0.7) และเพศหญิง 1.08 แสนคน (ร้อยละ 0.6)
การว่างงาน 3.92 แสนคน
จำนวนการว่างงาน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 มีทั้งสิ้น 3.92 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ 1.0 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 4.6 หมื่นคน
เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 0.9 เป็นร้อยละ 1.0
เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามเพศในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2563 พบว่า เพศชายมีอัตราการว่างงาน(ร้อยละ 1.1) มากกว่าเพศหญิง (ร้อยละ 1.0)
หากเปรียบเทียบอัตราการว่างงานกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานเพศชายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.9 เป็น ร้อยละ 1.1 ส่วนเพศหญิงเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 0.9 เป็น ร้อยละ 1.0
การว่างงานตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มวัยเยาวชนหรือผู้มีอายุ 15-24 ปีมีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 คือ ร้อยละ 5.1 เป็นร้อยละ 5.5 ซึ่งปกติ ในกลุ่มนี้จะมีอัตราการว่างงานสูงส่วนกลุ่มวัยผู้ใหญ่ (อายุ 25 ปีขึ้นไป) มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.6
ระดับการศึกษาที่สำเร็จของผู้ว่างงาน เดือน มีนาคม พ.ศ. 2563 พบว่า ผู้ว่างงานที่สำเร็จการศึกษา ในระดับอุดมศึกษา 1.15 แสนคน (อัตราการว่างงาน ร้อยละ 1.8) รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 7.8 หมื่นคน (ร้อยละ 1.6) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 6.9 หมื่นคน (ร้อยละ 1.1) ระดับประถมศึกษา 5.5 หมื่นคน (ร้อยละ 0.6) ระดับ ปวช./ปวส. 5.2 หมื่นคน (ร้อยละ 1.6) และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 1.8 หมื่นคน (ร้อยละ 0.2) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 พบว่าผู้ว่างงานระดับมัธยมศึกษาตอนต้นลดลง1.8 หมื่นคน ระดับ ปวช./ปวส. ลดลง 3.0 พันคน ระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้น 2.5 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายเพิ่มขึ้น 2.1 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา เพิ่มขึ้น 1.7 หมื่นคน ในขณะที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ประสบการณ์การทำงานของผู้ว่างงาน พบว่า เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 2.05 แสนคน หรือร้อยละ 52.3 ของผู้ว่างงานทั้งหมด และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน 1.87 แสนคน หรือร้อยละ 47.7 โดยเป็น ผู้ว่างงานจากนอกภาคเกษตรกรรม 1.72 แสนคน ซึ่งประกอบด้วยภาคการบริการและการค้า 9.9 หมื่นคน และภาคการผลิต 7.3 หมื่นคน ส่วนผู้ว่างงานจากภาคเกษตรกรรมมีจำนวน 1.5 หมื่นคน
ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 2.05 แสนคน สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา 8.6 หมื่นคน รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4.5 หมื่นคน ระดับปวช./ปวส. 3.4 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2.2 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 1.6 หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 1.0 พันคน
ผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 1.87 แสนคน สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 4.7 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 3.9 หมื่นคน ระดับมัธยม ศึกษาตอนปลาย 3.3 หมื่นคน ระดับอุดมศึกษา 2.9 หมื่นคน ระดับ ปวช./ปวส. 1.8 หมื่นคน และไม่มีการศึกษา และต่ำกว่าประถมศึกษา 1.7 หมื่นคน
เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 จะเห็นได้ว่า จำนวนผู้ว่างงานทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 4.6 หมื่นคน (จาก 3.46 แสนคน เป็น 3.92 แสนคน) เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคกลางลดลง 1.1 หมื่นคน ภาคใต้เพิ่มขึ้น 2.7 หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้น 1.7 หมื่นคน กรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น 7.0 พันคน และภาคเหนือเพิ่มขึ้น 6.0 พันคน
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ