สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือน กรกฎาคม 2563
ดำเนินการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรหรือสำรวจแรงงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2506 โดยในช่วงแรกสำรวจเพียงปีละ 2 รอบ รอบแรกเป็น การสำรวจนอกฤดูเกษตร รอบที่ 2 เป็นฤดูเกษตร ต่อมาในปี 2527 - 2540 สำรวจปีละ 3 รอบ โดยเพิ่มการสำรวจ ช่วงเดือนพฤษภาคมเพื่อดูแรงงานที่จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน และในปี 2541 ได้เพิ่มการสำรวจขึ้นอีก 1 รอบ คือเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตรทำให้การสำรวจภาวะการทำงานของประชากรครบทั้ง 4 ไตรมาสของปี ในปี 2544 สำนักงานสถิติ แห่งชาติได้ปรับปรุงการสำรวจเป็นรายเดือนทั้งนี้เพื่อให้สามารถติดตามภาวะการมีงานทำของประชากรได้อย่าง ต่อเนื่องและเสนอผลการสำรวจเป็นรายเดือนทั้งในระดับประเทศและระดับภาค
ผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 พบว่าผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจำนวน 56.87 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อมจะทำงาน 38.71 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วยผู้มีงานทำ 37.81 ล้านคน ผู้ว่างงาน 8.31 แสนคน และ ผู้ที่รอฤดูกาล 7.0 หมื่นคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานหรือผู้ที่ไม่พร้อมทำงาน 18.16 ล้านคน ได้แก่ แม่บ้าน นักเรียน คนชรา เป็นต้น
สำหรับจำนวนผู้มีงานทำ 37.81 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรม 12.10 ล้านคน และนอกภาคเกษตรกรรม25.71 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2562 พบว่า ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้น 1.9 แสนคน (จาก 37.62 ล้านคน เป็น 37.81 ล้านคน)
โดยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 1.5 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นในกิจกรรมการปลูกข้าวจ้าว การปลูกมันสำปะหลัง และการเลี้ยงโคนมและโคเนื้อ
จำนวนผู้ทำงานนอกภาคเกษตรกรรมในภาพรวมเพิ่มขึ้น 4.0 หมื่นคน โดยเพิ่มขึ้นในสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ 2.4 แสนคน สาขาการก่อสร้าง 8.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงินและประกันภัย 6.0 หมื่นคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และประกันสังคมภาคบังคับ 4.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมทางวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และเทคนิค และสาขากิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ 3.0 หมื่นคน สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 2.0 หมื่นคน สาขาไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และระบบปรับอากาศ สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ และสาขากิจกรรมการจ้างงานในครัวเรือนส่วนบุคคล เพิ่มขึ้นเท่ากันคือ 1.0 หมื่นคน สาขาที่ลดลงคือ สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลง 1.0 แสนคน สาขาการผลิตและสาขาศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการลดลงเท่ากันคือ 7.0 หมื่นคน สาขากิจกรรมบริหารและการสนับสนุนลดลง 6.0 หมื่นคน สาขาการศึกษา และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าลดลงเท่ากันคือ4.0 หมื่นคน ส่วนสาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อพิจารณาถึงชั่วโมงทำงาน ของผู้มีงานทำต่อสัปดาห์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 พบว่า ส่วนใหญ่ ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ทำงานเต็มที่ในเรื่องชั่วโมงทำงาน มีจำนวน 30.30 ล้านคน หรือร้อยละ 80.1 ของผู้มีงานทำทั้งหมด และผู้ที่ทำงาน1 - 34 ชั่วโมง มีจำนวน 6.76 ล้านคน หรือร้อยละ 17.9 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์สำรวจ (ระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์) แต่เป็นผู้มีงานประจำซึ่งถือว่าสัปดาห์การสำรวจไม่มีชั่วโมงการทำงาน (0 ชั่วโมง) มีจำนวน 7.5 แสนคน หรือ ร้อยละ 2.0
การทำงานต่ำกว่าระดับ หากพิจารณาถึงจำนวนผู้ที่ทำงานแต่ยังทำงานได้ไม่เต็มเวลา ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นผู้ทำงานแต่ยังมีเวลาและต้องการที่จะทำงานเพิ่ม หรือเรียกคนทำงานในกลุ่มนี้ว่า ผู้ทำงานต่ำกว่าระดับ (Underemployment workers) จากผลการสำรวจพบว่า มีจำนวน 3.13 แสนคน หรือร้อยละ 0.8 ของจำนวนผู้ทำงานทั้งหมด เมื่อพิจารณาตามเพศ พบว่า โดยปกติแล้วเพศชายมากกว่าเพศหญิง สำหรับเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 เพศชายมีจำนวนผู้ทำงานต่ำกว่าระดับ 1.87 แสนคน (ร้อยละ 0.9) และเพศหญิง 1.26 แสนคน (ร้อยละ 0.7)
การว่างงาน 8.31 แสนคน
จำนวนการว่างงาน ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 มีทั้งสิ้น 8.31 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 2.1 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 3.95 แสนคน
เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 1.1 เป็นร้อยละ 2.1
เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามเพศในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2563 พบว่า เพศชายมีอัตราการว่างงาน(ร้อยละ 2.2) มากกว่าเพศหญิง (ร้อยละ 2.0)
หากเปรียบเทียบอัตราการว่างงานกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานเพศชายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.2 เป็น ร้อยละ 2.2 ส่วนเพศหญิงเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.1 เป็น ร้อยละ 2.0
การว่างงานตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มวัยเยาวชนหรือผู้มีอายุ 15-24 ปี มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 คือ ร้อยละ 6.6 เป็นร้อยละ 9.8 ซึ่งปกติ ในกลุ่มนี้จะมีอัตราการว่างงานสูง ส่วนกลุ่มวัยผู้ใหญ่ (อายุ 25 ปีขึ้นไป) มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.6 เป็นร้อยละ 1.3
เปรียบเทียบจำนวนผู้ว่างงาน จำแนกตามระดับการศึกษาที่สำเร็จ
ระดับการศึกษาที่สำเร็จของผู้ว่างงาน เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2563 พบว่า เป็นผู้ว่างงานที่สำเร็จการ ศึกษาในระดับอุดมศึกษา 2.22 แสนคน (อัตราการว่างงาน ร้อยละ 3.3) รองลงมาเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1.73 แสนคน (ร้อยละ 2.6) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1.48 แสนคน (ร้อยละ 2.7) ระดับปวช./ปวส. 1.21 แสนคน (ร้อยละ 3.2) ระดับประถมศึกษา 0.94 แสนคน (ร้อยละ 1.2) และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 0.62 แสนคน (ร้อยละ 0.8) ที่เหลืออยู่ในการศึกษาอื่น ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 พบว่าผู้ว่างงานระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเพิ่มขึ้น 1.08 แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเพิ่มขึ้น 9.3 หมื่นคน ระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้น 7.3 หมื่นคน ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาเพิ่มขึ้น 4.4 หมื่นคน ระดับปวช./ปวส. เพิ่มขึ้น 4.3 หมื่นคน และระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้น 2.4 หมื่นคน
ประสบการณ์การทำงานของผู้ว่างงาน พบว่า เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 2.71 แสนคน หรือร้อยละ 32.6 ของผู้ว่างงานทั้งหมด และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน 5.60 แสนคน หรือร้อยละ 67.4 โดยเป็นผู้ว่างงานจากนอกภาคเกษตรกรรม 5.29 แสนคน ซึ่งประกอบด้วยภาคการบริการและการค้า 3.24 แสนคน และภาคการผลิต 2.05 แสนคน ส่วนผู้ว่างงานจากภาคเกษตรกรรมมีจำนวน 0.31 แสนคน
ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 2.71 แสนคน สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา 1.40 แสนคน รองลงมาเป็นระดับปวช./ปวส. 0.45 แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเท่ากันคือ 0.37 แสนคน ระดับประถมศึกษา 0.08 แสนคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 0.04 แสนคน
ผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 5.60 แสนคน สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1.36 แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1.11 แสนคน ระดับประถมศึกษา0.86 แสนคน ระดับอุดมศึกษา 0.82 แสนคน ระดับปวช./ปวส. 0.76 แสนคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา0.59 แสนคน ที่เหลืออยู่ในการศึกษาอื่น ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 จะเห็นได้ว่า จำนวนผู้ว่างงานทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 3.95 แสนคน (จาก 4.36 แสนคน เป็น 8.31 แสนคน) เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคใต้เพิ่มขึ้น 1.1 แสนคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้น 9.2 หมื่นคน ภาคกลางเพิ่มขึ้น 9.1 หมื่นคน ภาคเหนือเพิ่มขึ้น 6.0 หมื่นคน และกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น 4.2 หมื่นคน
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ