สรุปสำหรับผู้บริหารการสำรวจอนามัยและสวัสดิการ พ.ศ. 2552

ข่าวทั่วไป Thursday December 24, 2009 16:16 —สำนักงานสถิติแห่งชาติ

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการสำรวจข้อมูลด้านอนามัยและสวัสดิการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2517 ซึ่งการสำรวจในปี พ.ศ. 2552 นี้นับเป็นการสำรวจครั้งที่ 16 โดยเก็บข้อมูลจากครัวเรือนตัวอย่างประมาณ 26,500 ครัวเรือนในทุกจังหวัดทั่วประเทศทั้งในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลในเดือนเมษายน 2552

การสำรวจอนามัยและสวัสดิการ มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหลักประกันด้านสุขภาพการเจ็บป่วย การไปรับบริการสาธารณสุข และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของประชากร ซึ่งสรุปผลการสำรวจได้ดังนี้

1. สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล

จากผลการสำรวจ พบว่า คนไทยมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ จากร้อยละ 93.4 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 97.4 ในปี 2552 โดยเป็นสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลประเภทบัตรประกันสุขภาพ(บัตรทอง) มากที่สุด(ร้อยละ 78.6) รองลงมา คือ บัตรประกันสังคม/กองทุนเงินทดแทนและสวัสดิการข้าราชการ/ข้าราชการบำนาญ/รัฐวิสาหกิจ (ร้อยละ 12.9 และร้อยละ 8.2 ตามลำดับ) แต่มีข้อสังเกตว่ามีผู้ที่มีการประกันสุขภาพกับบริษัทประกันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.3 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 3.7 ในปี 2552

2. สถานการณ์ด้านสุขภาพ

ในระหว่าง 1 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์ พบว่ามีผู้ป่วย1/ที่ไม่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาลทั้งสิ้น 19.4 ล้านคน(ร้อยละ 29.0 ของประชากร) เป็นชาย 8.4 ล้านคนและหญิง 11.0 ล้านคน โดยเป็นผู้ที่มีอาการป่วย/รู้สึกไม่สบาย 13.5 ล้านคน(ร้อยละ 20.3) เป็นผู้ที่มีโรคเรื้อรัง/โรคประจำตัว 10.5 ล้านคน(ร้อยละ 15.8) และเป็นผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุ/ถูกทำร้าย 1.6 ล้านคน(ร้อยละ 2.5) และเมื่อพิจารณาตามลักษณะ ของการเจ็บป่วยและเพศ พบว่า ผู้หญิงมีผู้ที่มีอาการป่วย/รู้สึกไม่สบาย รวมทั้งมีโรคเรื้อรัง/โรคประจำตัวสูงกว่าผู้ชายอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ผู้ชายมีสัดส่วนของการเกิดอุบัติเหตุ/ถูกทำร้ายสูงกว่าหญิงเล็กน้อย

ในการรับบริการส่งเสริมสุขภาพ เช่น การไปรับการฉีดวัคซีน การฝากครรภ์ การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้นพบว่าในระหว่าง 1 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์ มีผู้รับบริการประมาณ 2.0 ล้านคน(ร้อยละ 3.0 ของประชากร) ซึ่งในจำนวนนี้พบว่าผู้หญิงไปใช้บริการสูงกว่าผู้ชายประมาณ 1 เท่า

การเจ็บป่วยระหว่าง 12 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์พบว่า มีผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาล 3.6 ล้านคน(ร้อยละ 5.4) เป็นชาย 1.4 ล้านคนและหญิง 2.2 ล้านคน ส่วนการไปรับบริการทันตกรรมเช่น การขูดหินปูน การตรวจรักษาสุขภาพในช่องปากการรักษารากฟัน เป็นต้น พบว่ามีผู้ไปรับบริการ6.1 ล้านคน(ร้อยละ 9.1) โดยเพศชายมีจำนวนผู้ที่รับบริการน้อยกว่าเพศหญิงอย่างเห็นได้ชัด (2.5 ล้านคนและ 3.6 ล้านคน ตามลำดับ)

3. การเจ็บป่วย

เมื่อพิจารณาอัตราการเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่ไม่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาล จำแนกตามภาคพบว่าภาคเหนือมีอัตราการเจ็บป่วยสูงสุด (ร้อยละ 34.2)รองลงมาคือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออก-เฉียงเหนือและภาคใต้ ซึ่งมีอัตราการเจ็บป่วยใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 26—30)

สำหรับการเจ็บป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาล พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ มีอัตราเท่ากันคือร้อยละ 5.6 รองลงมาคือ ภาคกลางและภาคเหนือ(ร้อยละ 5.3) ส่วนกรุงเทพมหานครมีอัตราต่ำสุด (ร้อยละ 4.5)

เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจในปี 2549 พบว่าผู้ป่วยที่ไม่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาลในระหว่าง 1 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 28.2 ในปี 2549 เป็นร้อยละ 29.0 ในปี 2552 และเมื่อพิจารณาตามลักษณะของการเจ็บป่วย พบว่า ผู้ที่ป่วย เพราะมีอาการป่วย/รู้สึกไม่สบาย และป่วยเพราะมีโรคเรื้อรัง/โรคประจำตัวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ16.3 และร้อยละ 15.6 ในปี 2549 เป็นร้อยละ 20.3 และร้อยละ 15.8 ในปี 2552 แต่ผู้ที่เจ็บป่วยเพราะได้รับอุบัติเหตุ/ถูกทำร้ายและพบว่ามีสัดส่วนลดลง คือ จากร้อยละ 4.9 ในปี 2549 เป็นร้อยละ 2.5 ในปี 2552

สำหรับผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาลในระหว่าง 12 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์ พบว่ามีสัดส่วนลดลงร้อยละ 1.0 (ร้อยละ 6.4 ในปี 2549 และร้อยละ 5.4 ในปี 2552)

4. การรับบริการส่งเสริมสุขภาพi/และทันตกรรมii/

จากผลการสำรวจ พบว่าภาคตะวันออก-เฉียงเหนือมีอัตราการรับบริการส่งเสริมสุขภาพสูงสุด (ร้อยละ 4.0) รองลงมาคือภาคเหนือ(ร้อยละ 3.2) ส่วนภาคอื่นๆ ที่เหลือ มีอัตราการรับบริการส่งเสริมสุขภาพไม่ต่างกันมากนัก (ร้อยละ 2.0-2.4) สำหรับอัตราการรับบริการทันตกรรม พบว่ากรุงเทพมหานครมีผู้ที่รับบริการทันตกรรมสูงสุดคือ ร้อยละ 13.9 ส่วนภาคอื่นๆ มีอัตราการรับบริการต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด (ร้อยละ 8 — 10)

เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจที่ผ่านมา พบว่าผู้รับบริการส่งเสริมสุขภาพ มีสัดส่วนลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง คือจากร้อยละ 5.3 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 3.0 ในปี 2552 ส่วนผู้ที่รับบริการทันตกรรม พบว่ามีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 10.2 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 7.4 และร้อยละ 9.1 ในปี 2549 และ 2552 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยมีการดูแลตนเองด้านสุขภาพที่น้อยลง

5. สถานที่ในการรับบริการสาธารณสุขครั้งสุดท้าย

5.1 การเจ็บป่วยที่ไม่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาล

จากจำนวนผู้ป่วยที่ไม่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาลทั้งสิ้น 19.4 ล้านคนนั้น พบว่าเป็นผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง/โรคประจำตัวที่ไม่ได้ไปรับบริการทางการแพทย์ 2.5 ล้านคน (ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่ไม่ได้รักษาหรือกำลังรักษาแต่ยังไม่ถึงเวลาที่แพทย์นัดตรวจ) และเป็นผู้ป่วยที่ไม่ได้รักษาใดๆ 1.3 ล้านคน ที่เหลือจำนวน15.6 ล้านคน เป็นผู้ป่วยที่ไปรับบริการสาธารณสุขโดยไปรับการรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลของรัฐสูงสุด รองลงมาคือ ซื้อ/หายากินเอง และไปรับการรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลของเอกชน ตามลำดับ ส่วนที่เหลือเป็นการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ไปหาหมอพื้นบ้านมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ มาให้บริการ เป็นต้น

5.2 การเจ็บป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาลii/จากผลการสำรวจ พบว่ามากกว่า 4 ใน 5 ของผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาล (ร้อยละ 86.5)รับบริการจากสถานพยาบาลของรัฐ และมีเพียงร้อยละ 13.5ที่รับบริการจากสถานพยาบาลของเอกชน

5.3 การรับบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพi/และทันตกรรม ii/สำหรับการรับบริการสาธารณสุขในด้านการส่งเสริมสุขภาพและทันตกรรม พบว่าคนไทยมีพฤติกรรมในการรับบริการในลักษณะเดียวกัน คือรับบริการจากสถานพยาบาลของรัฐสูงสุด (ร้อยละ 78.5 และร้อยละ 59.4 ตามลำดับ) รองลงมา คือรับบริการจากสถานพยาบาลของเอกชน และที่อื่นๆ

6. ค่าใช้จ่ายในการรับบริการสาธารณสุขครั้งสุดท้าย

ในระหว่าง 1 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์ ผู้ป่วยที่ไม่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาล และผู้ที่รับบริการส่งเสริมสุขภาพมากกว่าครึ่งหนึ่ง(ร้อยละ 53.9และร้อยละ 86.0 ตามลำดับ) ได้รับการบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และเมื่อพิจารณาแนวโน้มของการได้รับบริการสาธารณสุขโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พบว่ามีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น

สำหรับระหว่าง 12 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์ผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาล และผู้รับบริการทันตกรรมที่ไม่เสียค่ารักษาพยาบาลพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาลที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือเพิ่มจากร้อยละ 45.1 ในปี 2549เป็นร้อยละ 76.4 ในปี 2552

เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการรับบริการสาธารณสุขกับการสำรวจที่ผ่านมา พบว่าผู้ป่วยที่ไม่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาลและผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในสถานพยาบาล มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยลดลงจาก 164 บาทในปี 2549 เป็น 157 บาทในปี 2552และจาก 2,346 บาทในปี 2549 เป็น 1,919 บาทในปี 2552 ตามลำดับ

สำหรับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของผู้ที่รับบริการส่งเสริมสุขภาพ พบว่ามีแนวโน้มที่ลดลงจาก 144 บาทในปี 2546 เป็น 127 บาทในปี 2552 และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของผู้ที่รับบริการทันตกรรม พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 644 บาทในปี 2549 เป็น748 บาทในปี 2550 แม้ว่าสัดส่วนของผู้ที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

1/ ผู้ป่วย หมายถึง ผู้ที่มีลักษณะของการเจ็บป่วยลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรือหลายลักษณะรวมกัน ได้แก่

การมีอาการป่วย/รู้สึกไม่สบาย การได้รับอุบัติเหตุ/ถูกทำร้าย การมีโรคเรื้อรัง/โรคประจำตัว

i/ ระหว่าง 1 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์

ii/ ระหว่าง 12 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์

ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ