กำลังแรงงานเข้าขั้นวิกฤต

ข่าวทั่วไป Thursday June 24, 2010 15:28 —สำนักงานสถิติแห่งชาติ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาคนว่างงานไปพร้อมกับการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานระดับล่างสุดและบนสุดกำลังขาดแคลนขั้นวิกฤตเหตุเพราะแผนการผลิตกำลังคนไร้ทิศทางไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทั้งระดับภูมิภาคและระดับประเทศมีผู้เรียนจบมากทุกระดับการศึกษา แต่กระจุกตัวบางสาขาและมีปัญหาคุณภาพตลาดแรงงานขยายตัวมีความต้องการแต่หาคนทำงานไม่ได้ จึงต้องเชื่อมโลกการเรียน

และการทำงาน ปรับโครงสร้างแรงงานให้สมดุลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ

รศ.ดร.ยงยุทธ์ แฉล้มวงษ์ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการผลิตกำลังคนของประเทศไทยมีปัญหาความไม่สอดคล้องระหว่างความต้องการกำลังคนและการผลิตกำลังคนของประเทศ เนื่องจากมีการนำข้อมูลความต้องการแรงงานไปใช้ในการกำหนดแผนการผลิตน้อยเกินไป สถาบันหรือสถานศึกษาต่างๆ เลือกผลิตกำลังคนไปตามขีดความสามารถทางทรัพยากรของตนเอง (Supply driven) มีการเปิดสอน

ในสาขาซ้ำๆ เหมือนๆ กัน ทำให้มีจำนวนผู้จบการศึกษาออกมามาก แต่มีปัญหาด้านคุณภาพ แรงงานส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าสู่

ตลาดแรงงานได้ เกิดปัญหาคนว่างงานไปพร้อมๆ กับการขาดแคลนกำลังคน

ทั้งนี้ จุดอ่อนของโครงสร้างแรงงานไทยคือการมีแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคการผลิตไม่เป็นทางการ เช่น ประกอบอาชีพส่วนตัวหรือช่วยงานครอบครัว มีรายได้ไม่แน่นอน มีผลต่อรายได้มวลรวมของประเทศ และมีโครงสร้างการจ้างงานที่ยังคงพึ่งพาแรงงานระดับล่างมากเกินไป โดยในปี2551 มีการจ้างงานในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของการจ้างแรงงานในทุกระดับการศึกษา(ประมาณ 21 ล้านคน จากวัยแรงงานทั้งหมด36 ล้านคน) มีผู้ประกอบการที่ติดกับดักการใช้แรงงานที่มีการศึกษาต่ำ (ต่ำกว่า ม.ต้น) และไม่สามารถหลุดพ้นวัฏจักรนี้ไปได้ในเวลาอันใกล้นี้

ขณะที่กลุ่มแรงงานที่จบในระดับปริญญาตรีมีสัดส่วนการว่างงานสูงกว่าแรงงานในระดับการศึกษาอื่นๆ ซึ่งก็มีการผลิตมากเกินความต้องการของตลาดแรงงานในทุกระดับการศึกษา เกิดปัญหาว่างงาน และมากสุดในระดับปริญญาตรีที่มีผู้ว่างงานเฉลี่ยสะสมทุกปีร้อยละ30 ของผู้จบการศึกษา ขณะที่ตลาดแรงงานขยายตัวมีความต้องการ มีตำแหน่งงานรองรับแต่ไม่สามารถสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าทำงานได้

จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเรื่องความต้องการแรงงานของสถานประกอบการ พ.ศ.2551 พบว่าในระดับปริญญาตรีทุกสาขามีความต้องการ ทั้งหมดจำนวน 46,553 คน แต่ยังขาดแคลนอยู่ถึง 29,372 คน ขณะที่มีผู้ว่างงานในระดับนี้ถึง 91,192 คนเป็นความไม่สอดคล้องของอุปสงค์และอุปทานที่เกิดขึ้นได้ในทุกสาขาวิชาที่จบการศึกษาไม่ว่าจะเป็น สาขาคอมพิวเตอร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ หรือสาขาสังคมศาสตร์

ปี 2551 ประเทศไทยมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย เฉลี่ยเกือบปีละ 3 แสนคนในขณะที่มีผู้สำเร็จการศึกษาในระดับอาชีวศึกษา (ปวช.และ ปวส.) เฉลี่ยเกือบปีละ4 แสนคน แต่มีสัดส่วนการเข้าสู่ตลาดแรงงานน้อยมาก เนื่องจากต้องการเรียนต่อเพื่อให้ได้เงินเดือนที่สูงขึ้น สถานประกอบการจึงหันไปใช้แรงงานที่จบการศึกษาในระดับต่ำกว่าแทน(ต่ำกว่า ม.ต้น) การใช้แรงงานกลุ่มนี้มีความตึงตัวมากเนื่องจากมีความต้องการมากเกินจำนวนแรงงาน โดยแรงงานกลุ่มนี้เข้าสู่ตลาดแรงงานได้เพียงครึ่งหนึ่งของความต้องการ จึงทดแทนด้วยการนำเข้าแรงงานต่างด้าวทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายราว 2 ล้านคน

ส่วนตลาดแรงงานในระดับ ปวช.เป็นตลาดแรงงานที่เล็กมาก มีความต้องการมากกว่าจำนวนแรงงานที่ผลิตได้เฉลี่ยปีละ 2-3 หมื่นคน ในขณะที่ตลาดแรงงานระดับ ปวส.มีแนวโน้มความต้องการ มากกว่าแรงงานระดับ ปวช.เพราะยอมทำงานต่ำกว่าระดับการศึกษาที่จบซึ่งนับเป็นการสูญเปล่าทางการศึกษาอย่างมาก

สำหรับความต้องการกำลังคนในภาคการผลิตและบริการ พบว่า สถานประกอบการมีความต้องการแรงงานในทุกระดับการศึกษาโดยผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับ ปวช. และระดับปริญญาตรีเป็นระดับการศึกษาที่สถานประกอบการต้องการในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน

ประมาณ 4.7 หมื่นคน แต่ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีมากเกินความต้องการจึงมีผู้ว่างงานในระดับนี้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาธุรกิจและการบริการมีจำนวนผู้ว่างงานมากกว่าจำนวนที่ผู้ประกอบการต้องการเกือบ2 เท่า และในระดับการศึกษาอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมีการผลิตกำลังคนเกินกว่าความต้องการของผู้ประกอบการหรือคุณภาพของผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับนั้นๆ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการได้

แต่ในทุกกลุ่มแรงงานยังมีช่วงห่าง ระหว่างระดับความสามารถด้านต่างๆ กับความคาดหวังของสถานประกอบการ ซึ่งแรงงานไทยยังขาดคุณสมบัติพื้นฐานที่สถานประกอบการต้องการอยู่มาก โดยเฉพาะความสามารถในด้านคอมพิวเตอร์ ภาษาต่างประเทศ และทักษะในการวิเคราะห์แก้ไขปัญหา แต่ก็มีจุด

เด่นที่นายจ้างพอใจ คือ ความขยัน อดทน มีระเบียบวินัยในการทำงาน

"ปัญหาของโครงสร้างแรงงานไทยขณะนี้คือ การขาดแคลนแรงงานระดับล่างสุดและแรงงานระดับสูงซึ่งอยู่ในขั้นวิกฤต จนต้องนำเข้าแรงงานต่างด้าวมาทดแทน ส่วนการผลิตแรงงานของไทยยังมีปัญหาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และไม่สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละภูมิภาคซึ่งมีจุดเน้นของความต้องการแรงงานแตกต่างกัน"รศ.ดร.ยงยุทธกล่าว พร้อมระบุว่า ทางออกของการแก้ไขปัญหาความไม่สอดคล้องของโครงสร้างแรงงานดังกล่าวคือต้องเชื่อมโลกการศึกษากับโลกของงานให้เป็นเรื่องเดียวกัน และวางแผนการผลิตกำลังคนที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในสาขาการเกษตร สาขาอุตสาหกรรม และสาขาบริการ ซึ่งในอนาคตทิศทางการพัฒนาของโครงสร้างแรงงานไทยจะเป็นไปในแนวทางเดียวกับทั่วโลก เน้นภาคการผลิตและบริการเป็นหลัก

แรงงานสำคัญๆ ที่ต้องการจะอยู่ใน ด้านค้าส่ง ค้าปลีก ธุรกิจบริการ โรงพยาบาล การขนส่งทางบกและตัวแทนธุรกิจการ ท่องเที่ยว การก่อสร้างและการผลิต สายอาชีพที่ขาดแคลน ได้แก่ แรงงานในด้าน การผลิต/แรงงานทั่วไป ผู้จัดการฝ่ายผลิต/ ฝ่ายปฏิบัติการด้านการผลิต (อุตสาหกรรมผลิตต่างๆ เหมืองแร่, ไฟฟ้า, ก๊าซและประปา)และพนักงานขับรถยนต์บรรทุกขนาดเล็กและรถตู้ ฯลฯ

กลยุทธ์หนึ่งที่ควรนำมาใช้ด้านการศึกษาคือ การนำระบบการเรียนซ้ำชั้นหรือซ้ำวิชากลับมาใช้เพื่อเน้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้กับนักเรียน ส่วนในระดับอุดมศึกษาควรเน้นและเข้มงวดด้านคุณภาพมากกว่าจำนวน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันจัดทำระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับอุปสงค์อุปทานแรงงานที่น่าเชื่อถือและแลกเปลี่ยนระหว่างกันได้

รวมทั้งควรจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(Nation Qualifications Institute) ดูแลด้านมาตรฐานวิชาชีพ ภายใต้กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (Nation Qualifications Framework ;NQF) ซึ่งควรผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ

--มติชน ฉบับวันที่ 7 พ.ค. 2553 (กรอบบ่าย)--

รหัสข่าว: B-100507038143

ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ