ผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรประจำ เดือนมีนาคม 2553 พบว่า มีจำ นวนผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไปหรือผู้อยู่ในวัยทำงานทั้งสิ้น 53.28 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อมทำงาน 38.29 ล้านคนซึ่งประกอบด้วย ผู้มีงานทำ 37.60 ล้านคน ผู้ว่างงาน 3.68 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 3.17 แสนคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานมี 14.99 ล้านคน
จำนวนผู้มีงานทำ 37.60 ล้านคนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้มีงานทำในช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2552 พบว่าจำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้น 1.03 ล้านคน (จาก 36.57 ล้านคนเป็น 37.60 ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 โดยผู้ทำงานในภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 5.5 แสนคน (จาก 12.51 ล้านคนเป็น 13.06 ล้านคน) และผู้ทำงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 4.8 แสนคน (จาก 24.06 ล้านคน เป็น 24.54 ล้านคน) ซึ่งเป็นการเพิ่มในสาขาการโรงแรมและภัตตาคารมากที่สุด 2.6 แสนคน รองลงมาสาขาการขายส่งและขายปลีกฯ 2.2 แสนคนสาขาการศึกษา 1.6 แสนคน และสาขาอสังหาริมทรัพย์ฯ 7 หมื่นคนส่วนสาขาอุตสาหกรรมที่ลดลงเป็นสาขาการก่อสร้างและสาขาการขนส่งฯ ลดลงเท่ากันคือ 9 หมื่นคน สาขาการผลิตลดลง 2 หมื่นคน ที่เหลือกระจายอยู่ในสาขาอื่น ๆ
สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตในเดือนมีนาคม 2553 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2552 มีจำนวนผู้ทำงานเพิ่มขึ้นและลดลงในกิจกรรมที่สำคัญ คือลดลงในกลุ่มการผลิตเครื่องแต่งกาย 6.4 หมื่นคน การผลิตสิ่งทอ 3.7 หมื่นคน การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะประดิษฐ์ 3.2 หมื่นคน การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 3.0 หมื่นคน การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม 2.4 หมื่นคน การผลิตโลหะขั้นมูลฐาน 1.6 หมื่นคน ส่วนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอยู่ในกลุ่มการผลิตเฟอร์นิเจอร์ 6.1 หมื่นคน การผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ 4.6 หมื่นคน การผลิตเครื่องจักรและเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า 2.6 หมื่นคน การพิมพ์โฆษณา การพิมพ์ และการทำสำเนาสื่อบันทึก 2.0 หมื่นคน ที่เหลือกระจายอยู่ในการผลิตอื่น ๆ
หากพิจารณาถึงลักษณะของการทำงานไม่เต็มเวลาจากชั่วโมงการทำงาน พบว่า ในจำนวนผู้ทำงานทั้งหมด 37.60 ล้านคน เป็นผู้ที่ทำงานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 6.48 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 17.2 ของผู้มีงานทำ ซึ่งกลุ่มผู้ทำงานเหล่านี้ คือผู้ที่ทำงานไม่เต็มเวลา หากนำ มาเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2552 ผู้ทำงานไม่เต็มเวลามีจำนวนเพิ่มขึ้น 3.5 แสนคน (จาก 6.13 ล้านคน เป็น 6.48 ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 (จาก ร้อยละ 16.8 เป็นร้อยละ 17.2)
สำหรับจำนวนของผู้ว่างงานในเดือนมีนาคม 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 3.68 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี2552 มีจำนวนผู้ว่างงานลดลง 3.43 แสนคน หรือลดลงร้อยละ 0.9 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ 2553) มีผู้ว่างงานลดลง 1.5 หมื่นคน (จาก 3.83 แสนคน เป็น 3.68 แสนคน)
เมื่อพิจารณาผู้ว่างงานจากประสบการณ์การทำงานพบว่า ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนมีจำนวน 1.13 แสนคน ส่วนผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน 2.55 แสนคน ซึ่งลดลง 1.17 แสนคน จากช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2552 (จาก 2.30 แสนคน เป็น 1.13 แสนคน) โดยเป็นผู้ว่างงานมาจากภาคการผลิต 1.10 แสนคน ภาคการบริการและการค้า 8.94 หมื่นคน และ ภาคเกษตรกรรม 5.51 หมื่นคน
หากพิจารณาการว่างงานตามกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มเยาวชน หรือผู้มีอายุระหว่าง 15-24 ปี มีอัตราการว่างงานร้อยละ 3.5 ซึ่งปกติในกลุ่มนี้อัตราการว่างงานจะสูงส่วนกลุ่มวัยผู้ใหญ่ (อายุ 25 ปีขึ้นไป) มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.6 เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันกับ ปี 2552 กลุ่มเยาวชนมีอัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 4.5 (จากร้อยละ 8.0 เป็นร้อยละ 3.5) และกลุ่มวัยผู้ใหญ่มีอัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 0.4 (จากร้อยละ 1.0 เป็นร้อยละ 0.6)
สำหรับระดับการศึกษาที่สำเร็จของผู้ว่างงานในเดือนมีนาคม 2553 พบว่า ผู้ที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษามีจำนวนมากที่สุด 1.16 แสนคน (ร้อยละ 1.8) รองลงมาเป็นผู้ที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 8.1 หมื่นคน (ร้อยละ 1.3) มัธยมศึกษาตอนปลาย 6.8 หมื่นคน (ร้อยละ 1.3) ระดับประถมศึกษา 6.7 หมื่นคน (ร้อยละ 0.8) และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 3.6 หมื่นคน (ร้อยละ 0.3) เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2552 พบว่า จำนวนผู้ว่างงานลดลงในทุกระดับการศึกษาโดยผู้ว่างงานในระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายลดลงมากที่สุด 1.11 แสนคน รองลงมาเป็น ระดับประถมศึกษา 8.6 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 8.1 หมื่นคนระดับอุดมศึกษาลดลง 5.1 หมื่นคน และผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำ กว่าประถมศึกษาลดลงน้อยที่สุด 1.4 หมื่นคนตามลำดับ
หากพิจารณาอัตราการว่างงาน เป็นรายภาค พบว่าภาคใต้มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดคือ ร้อยละ 1.3 รองลงมาเป็นภาคกลางร้อยละ 1.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 1.0 กรุงเทพมหานครและภาคเหนือมีอัตราการว่างงานเท่ากันคือร้อยละ 0.7 ถ้าเปรียบเทียบอัตราการว่างงานในช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2552 พบว่า ทุกภาคมีอัตราการว่างงานลดลง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานลดลงมากที่สุดร้อยละ 1.4 รองลงมาเป็นภาคเหนือลดลงร้อยละ 1.0 กรุงเทพมหานครร้อยละ 0.7 ภาคกลางและภาคใต้อัตราการว่างงานลดลงเท่ากัน คือ ร้อยละ 0.5
สรุปผลการสำรวจ
ภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. 2553
สำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรหรือสำรวจแรงงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2506 โดยในช่วงแรก สำรวจเพียงปีละ 2 รอบ รอบแรกเป็นการสำรวจนอกฤดูเกษตร รอบที่ 2 เป็นฤดูเกษตร ต่อมาในปี 2527 - 2540 สำรวจปีละ 3 รอบ โดยเพิ่มสำรวจช่วงเดือนพฤษภาคมเพื่อดูแรงงานที่จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน และในปี 2541 ได้เพิ่มการสำรวจขึ้นอีก 1 รอบ เดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตร ทำให้เป็นการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรครบทั้ง 4 ไตรมาสของปี
และในปี 2544 สำนักงานสถิติแห่งชาติปรับปรุงการสำรวจเป็นรายเดือน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถติดตามภาวะการมีงานทำของประชากรได้อย่างใกล้ชิดและเสนอผลการสำรวจเป็นรายเดือนทุกเดือนในระดับประเทศและภาค
2.1 โครงสร้างกำลังแรงงาน
ผลการสำรวจในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 พบว่า มีจำนวนประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 53.28 ล้านคนเป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานประมาณ 38.29 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 71.9 ของประชากร (ชายร้อยละ 80.8 และหญิงร้อยละ 63.4) เป็นผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงาน 14.99 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 28.1 (ชายร้อยละ 19.2 และหญิงร้อยละ 36.6)
1. ผู้มีงานทำ จำนวน 37.60 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.2 ของผู้อยู่ในกำลังแรงงาน (ชายร้อยละ 98.3หญิงร้อยละ 98.1)
2. ผู้ว่างงาน หมายถึง ผู้ไม่มีงานทำและพร้อมที่จะทำงาน มีจำนวน 3.7 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 (ชายร้อยละ 1.0 และหญิงร้อยละ 1.0)
3. ผู้ที่รอฤดูกาล หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ทำงานและไม่พร้อมที่จะทำงาน เนื่องจากจะรอทำงานในฤดูกาลต่อไปมีจำนวน 3.2 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 0.8 (ชายร้อยละ 0.7 และหญิงร้อยละ 1.0)
2.2 ภาวะการมีงานทำของประชากร
เมื่อพิจารณาถึงลักษณะการทำงานของประชากรเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 พบว่า จากจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น 37.60 ล้านคน (ชาย 20.58 ล้านคน และหญิง 17.02 ล้านคน) เป็นผู้ทำงานภาคเกษตรกรรมประมาณ 13.06 ล้านคน หรือร้อยละ 34.7 ของผู้มีงานทำ (ชาย 7.53 ล้านคน และหญิง 5.53 ล้านคน) และทำงานนอกภาคเกษตรกรรมประมาณ 24.54 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 65.3 ของผู้มีงานทำ (ชาย 13.05 ล้านคน และหญิง 11.49 ล้านคน)
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นประมาณ 1.03 ล้านคน โดยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นประมาณ 5.5 แสนคน (เพิ่มขึ้นจาก 12.51 ล้านคน เป็น 13.06 ล้านคน) และ ผู้มีงานทำ นอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นประมาณ 4.8 แสนคน (เพิ่มขึ้นจาก 24.06 ล้านคน เป็น 24.54 ล้านคน) ในจำนวนนี้เป็นการเพิ่มขึ้นในสาขาโรงแรมและภัตตาคารมากที่สุด 2.6 แสนคน รองลงมาเป็นสาขาการขายส่งและขายปลีกฯ 2.2 แสนคน สาขากิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ ฯ 7 หมื่นคน ส่วนสาขาการก่อสร้าง และสาขาการขนส่งฯ ลดลงเท่ากันคือ 9 หมื่นคน สาขาการบริหารราชการแผ่นดินฯ ลดลง 4 หมื่นคน และสาขาการผลิตลดลง 2 หมื่นคน ที่เหลือกระจายอยู่ในสาขาอื่น ๆ
เมื่อพิจารณาถึงชั่วโมงทำงานของผู้มีงานทำต่อสัปดาห์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 พบว่า ส่วนใหญ่ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ทำงานเต็มที่ในเรื่องชั่วโมงทำงาน มีจำนวน 31.12 ล้านคน หรือร้อยละ 82.8 ของผู้มีงานทำทั้งสิ้น (ชายร้อยละ 83.2 และหญิงร้อยละ 82.2) และผู้ที่ทำงาน 1-34 ชั่วโมงมีจำนวน 5.78 ล้านคน หรือร้อยละ 15.4 (ชายร้อยละ 14.7 และหญิงร้อยละ 16.2) สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์สำรวจ (ระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์) แต่เป็นผู้มีงานประจำซึ่งถือว่าในสัปดาห์สำรวจไม่มีชั่วโมงทำงาน (0 ชั่วโมง) มีจำนวน 7.0 แสนคนหรือร้อยละ 1.8 (ชายร้อยละ 2.1 และหญิงร้อยละ 1.6) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าจำนวนของผู้ที่ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปเพิ่มขึ้นประมาณ 6.8 แสนคน ส่วนผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์การสำรวจ (0 ชั่วโมง) มีจำนวนลดลงประมาณ 8 หมื่นคน และผู้ที่ทำงาน 1 — 34 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น 4.3 แสนคน
2.3 ภาวะการว่างงานของประชากร
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 มีผู้ว่างงานประมาณ 3.68 แสนคน (ชาย 1.99 แสนคน และหญิง 1.69 แสนคน) คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 (ชายร้อยละ 1.0 และหญิงร้อยละ 1.0) และถ้าพิจารณาเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า จำนวนผู้ว่างงานลดลง 3.43 แสนคน เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า จำนวนผู้ว่างงานลดลงทุกภาค โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงมากที่สุด 1.7 แสนคน ภาคเหนือลดลง 7.0 หมื่นคน ภาคกลางลดลง 5 หมื่นคน กรุงเทพมหานครลดลง 2.9 หมื่นคน และภาคใต้ลดลงน้อยที่สุด 2.2 หมื่นคน
ถ้าพิจารณาอัตราการว่างงานในเดือนมีนาคม พ.ศ.2553 เป็นรายภาค พบว่า ภาคใต้มีอัตราการว่างงานสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 1.3 รองลงมาคือภาคกลางร้อยละ 1.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 1.0 กรุงเทพมหานครและภาคเหนือลดลงเท่ากันคือร้อยละ 0.7
เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานของแต่ละภาคกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานทั่วประเทศลดลงร้อยละ 0.9 พิจารณาเป็นรายภาคพบว่า อัตราการว่างงานลดลงทุกภาค โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานลดลงมากที่สุดร้อยละ 1.4 ภาคเหนือลดลงร้อยละ 1.0 กรุงเทพมหานครลดลงร้อยละ 0.7 ภาคกลางและภาคใต้มีอัตราการว่างงานลดลงเท่ากันคือร้อยละ 0.5
เมื่อพิจารณาถึงลักษณะที่น่าสนใจของผู้ว่างงาน 3.68 แสนคน พ.ศ. 2553 พบว่า เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนประมาณ 1.12 หมื่นคน หรือคิดเป็นร้อยละ 30.5 ของผู้ว่างงานทั้งสิ้น ส่วนผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนมีประมาณ 2.55 แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 69.5 โดยเป็นผู้ว่างงานมาจากนอกภาคเกษตรกรรม 2.0 แสนคน ซึ่งประกอบด้วย ภาคการผลิต 1.1 แสนคน ภาคการบริการและการค้า 9 หมื่นคน สำหรับผู้ว่างงานในภาคเกษตรกรรมมีประมาณ 5.5 หมื่นคน
เมื่อพิจารณาระดับการศึกษาที่สำเร็จของผู้ว่างงานจำนวน 3.68 แสนคน พบว่า ระดับการศึกษาที่มีผู้ว่างงานมากที่สุดคือ ระดับอุดมศึกษา 1.16 แสนคน รองลงมาคือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 8.1 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 6.8 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 6.7 หมื่นคน และผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 3.6 หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้ว่างงานลดลงทุกระดับการศึกษา โดยผู้ว่างงานระดับมัธยมศึกษาตอนปลายลดลงมากที่สุด 1.11 แสนคน รองลงมาคือระดับประถมศึกษาลดลง 8.6 หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นลดลง 8.1 หมื่นคน ระดับอุดมศึกษาลดลง 5.1 หมื่นคน และผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาลดลง 1.4 หมื่นคน
จากการพิจารณาอัตราการว่างงานตามระดับการศึกษาที่สำเร็จ พบว่าผู้ที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงที่สุดคือร้อยละ 1.8 รองลงมาเป็นผู้ที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเท่ากันคือร้อยละ 1.3 ระดับประถมศึกษาร้อยละ 0.8 และผู้ว่างงานที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาร้อยละ 0.3 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานลดลงทุกระดับการศึกษา โดยผู้ว่างงานที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายลดลงมากที่สุดร้อยละ 1.9 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นร้อยละ 1.6 ระดับประถมศึกษาและระดับอุดมศึกษาเท่ากันคือร้อยละ 1.0 และผู้ว่างงานที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาลดลงน้อยที่สุดร้อยละ 0.1