การสำรวจอุตสาหกรรมก่อสร้าง พ.ศ.2552 นับเป็นการสำรวจครั้งที่ 3 ซึ่งได้ดำเนินการจัดทำทุก 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อภาครัฐในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและวางแผนการลงทุน รวมทั้งการจ้างงานของภาคเอกชน การสำรวจครั้งนี้คุ้มรวมสถานประกอบการก่อสร้างทุกแห่งทั่วประเทศที่ประกอบกิจกรรมใน 3 หมวดใหญ่ ได้แก่การก่อสร้างอาคาร/สิ่งก่อสร้าง งานวิศวกรรมโยธาและกิจกรรมการก่อสร้างเฉพาะงาน โดยจัดตามการจัดประเภทอุตสาหกรรมทางเศรษฐกิจทุกประเภท ตามมาตรฐานสากล (ประเภท F : ISIC Rev.4)
การปฏิบัติงานเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2552 สำหรับข้อมูลที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้เป็นผลของการดำเนินกิจการในรอบปีที่ผ่านมา ระหว่าง 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2551 ของสถานประกอบการก่อสร้างที่ตั้งอยู่ในเขตปริมณฑลสรุปได้ดังนี้
1. จำนวนสถานประกอบการก่อสร้าง
จากสถานประกอบการก่อสร้างในเขตปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 2,494 แห่ง ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 47.5) ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร/สิ่งก่อสร้าง รองลงมา ได้แก่ การดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างอาคารให้เสร็จสมบูรณ์ประมาณร้อยละ 17.6 การติดตั้งระบบไฟฟ้า ประมาณร้อยละ 13.3 สำ หรับการก่อสร้างนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น แต่ละหมู่ย่อยมีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 6.0 ของจำนวนสถานประกอบการก่อสร้างทั้งสิ้น
2. ขนาดของสถานประกอบการ (จำนวนคนทำงาน)
ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 53.3) เป็นสถานประกอบการก่อสร้างที่มีคนทำงาน 1 - 5 คน และคนทำงาน 6 - 10 คน มีร้อยละ 22.1 สำหรับสถานประกอบการที่มีคนทำงานมากกว่า 10 คน มีร้อยละ 24.6
หากพิจารณาตามหมู่ย่อยอุตสาหกรรมก่อสร้าง พบว่า สถานประกอบการเกือบทุกหมู่ย่อยอุตสาหกรรมก่อสร้าง (มากกว่าร้อยละ 40.0) เป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงาน 1 - 5 คน ยกเว้น หมู่ย่อยการก่อสร้างถนนและทางรถไฟการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภค การก่อสร้างโครงการงานวิศวกรรมโยธาอื่น ๆ และการรื้อถอน
3. รูปแบบการจัดตั้งตามกฎหมาย
สถานประกอบการก่อสร้าง ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 59.1) มีรูปแบบการจัดตั้งเป็นส่วนบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่เป็นนิติบุคคล ที่มี รูปแบบการจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด บริษัทจำกัด (มหาชน) ร้อยละ 27.3 และที่มีรูปแบบการจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดมีเพียงร้อยละ 13.6
4. วงเงินรับเหมาก่อสร้างต่อปี
สถานประกอบการก่อสร้างในเขตปริมณฑล ส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 48.0) เป็นสถานประกอบการที่มีวงเงินรับเหมาก่อสร้าง น้อยกว่า 1 ล้านบาท ส่วนสถานประกอบการที่มีวงเงินรับเหมาก่อสร้างตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไปมีเพียงเล็กน้อย คือ ประมาณร้อยละ 5.7
5. การรับงานจากภาครัฐ
สถานประกอบการก่อสร้างในเขตปริมณฑล ประมาณร้อยละ 19.2 มีการดำเนินกิจการก่อสร้าง โดยรับงานจากภาครัฐน้อยกว่า 10% ในสัดส่วนสูงที่สุดร้อยละ 31.7 ส่วนที่มีการรับงานจากภาครัฐ 50% หรือมากกว่า และระหว่าง 10 - 19% มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน ร้อยละ 20.2 และ 19.4 ตามลำดับ
6. ลักษณะการดำเนินกิจการ
สถานประกอบการก่อสร้าง 1 แห่งสามารถดำ เนินกิจการได้หลายลักษณะนั้นส่วนใหญ่ มีลักษณะการดำเนินกิจการเป็นแบบ รับงานและดำเนินการเองทั้งหมด ร้อยละ 63.9 รองลงมาเป็นรับเหมาเฉพาะค่าแรงงาน ร้อยละ 33.2 สำ หรับการจ้างเหมาหรือให้ผู้อื่นช่วย ดำเนินการบางส่วน และการรับช่วงงานจากผู้รับเหมาอื่น มีร้อยละ 23.3 และ 13.6 ตามลำดับ
7. จำนวนคนทำงานและลูกจ้าง
ในปี 2551 มีคนทำ งานในสถานประกอบการก่อสร้างที่ตั้งอยู่ในเขตปริมณฑลทั้งสิ้น ประมาณ 38,834 คน ในจำนวนนี้เป็นลูกจ้างประมาณ 36,878 คน เมื่อจำแนกลูกจ้างตามประเภทหมู่ย่อยอุตสาหกรรมก่อสร้าง พบว่า ลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในสถานประกอบการที่ดำเนินกิจการ เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร/สิ่งก่อสร้างมากที่สุดคือ 16,044 คน หรือร้อยละ 43.5 รองลงมาปฏิบัติงานอยู่ในสถานประกอบการที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการติดตั้งระบบไฟฟ้า 5,803 คน หรือร้อยละ 15.7 ที่เหลือปฎิบัติงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น
8. ค่าตอบแทนแรงงาน
ในปี 2551 ลูกจ้างในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ตั้งอยู่ในเขตปริมณฑล ได้รับค่าตอบแทนแรงงานรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,491.7 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อคนต่อปีประมาณ 94,683 บาท โดยลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างเกี่ยวกับการติดตั้งระบบไฟฟ้า ได้รับค่าตอบแทนแรงงานเฉลี่ยต่อคนต่อปีสูงที่สุดประมาณ 117,256 บาท รองลงมา ได้แก่ ลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในสถานประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้างเกี่ยวกับการติดตั้งระบบประปา ระบบทำความร้อน และระบบระบายอากาศ และการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภค ซึ่งได้รับค่าตอบแทนต่อคนต่อปี 115,833 และ 115,586 บาท ตามลำดับ
9. มูลค่าการก่อสร้างค่าใช้จ่าย และมูลค่าเพิ่ม
ในการดำเนินกิจการการประกอบอุตสาหกรรมก่อสร้างในเขตปริมณฑล มีมูลค่าการก่อสร้างหรือรายรับในการดำเนินกิจการในปี 2551 รวมทั้งสิ้นประมาณ 38,723.1 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 26,268.8 ล้านบาท และมูลค่าเพิ่มประมาณ 12,454.3 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนของมูลค่าเพิ่มต่อมูลค่าการก่อสร้างประมาณร้อยละ 32.2
สำหรับมูลค่าการก่อสร้างเฉลี่ยต่อสถานประกอบการมีมูลค่าประมาณ 15.5 ล้านบาท และมูลค่าการก่อสร้างเฉลี่ยต่อคนทำงานมีมูลค่าประมาณ 997,100 บาท ด้านมูลค่าเพิ่มเฉลี่ยต่อสถานประกอบการ และเฉลี่ยต่อคนทำงาน พบว่ามีมูลค่าประมาณ 5.0 ล้านบาท และ 320,700 บาท ตามลำดับ
เมื่อพิจารณามูลค่าเพิ่มจำ แนกตามหมู่ย่อยอุตสาหกรรมก่อสร้าง พบว่า มูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่ (ร้อยละ 41.4) มาจากการก่อสร้าง อาคาร/สิ่งก่อสร้าง รองลงมาร้อยละ 15.1 มาจากการติดตั้งระบบไฟฟ้า และร้อยละ 13.9 มาจากกิจกรรมการก่อสร้างเฉพาะงานอื่น ๆ สำหรับ อุตสาหกรรมก่อสร้างในหมู่ย่อยอื่นๆ มีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 9.0
10. การเปรียบเทียบการดำเนินกิจการอุตสาหกรรมก่อสร้าง
เมื่อเปรียบเทียบผลจากการสำรวจอุตสาหกรรมก่อสร้าง พ.ศ. 2552 กับ 2547 เป็นข้อมูลของการดำเนินกิจการในปี 2551 เทียบกับปี 2546 พบว่า สถานประกอบการก่อสร้างมีจำนวนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34.3 จำนวนคนทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.1
ในด้านการจ้างงาน พบว่ามีจำนวนลูกจ้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.1 ส่วนค่าตอบแทนแรงงาน พบว่าลูกจ้างได้รับเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.9
ในด้านการดำเนินกิจการ พบว่ามูลค่าการก่อสร้างหรือรายรับ ค่าใช้จ่ายขั้นกลาง และมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมก่อสร้างในเขต ปริมณฑล มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 33.3 30.0 และ 40.8 ตามลำดับ
11. สรุปและข้อเสนอแนะ
ผลจากการสำรวจอุตสาหกรรมก่อสร้าง พ.ศ. 2552 พบว่า จำนวนสถานประกอบการก่อสร้างในเขตปริมณฑล มีทั้งสิ้น 2,494 แห่ง ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 75.4) เป็นสถานประกอบการขนาดเล็กที่มีคนทำงาน 1 - 10 คน และอุตสาหกรรมก่อสร้างที่สำคัญ ได้แก่ กิจการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร/สิ่งก่อสร้าง ในสัดส่วนสูงที่สุดประมาณร้อยละ 47.5 มีคนทำงานในสถานประกอบการทั้งสิ้นประมาณ 38,834 คน และมีการจ้างงานทั้งสิ้นประมาณ 36,878 คน โดยได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อคนต่อปี 94,683 บาท สำหรับมูลค่าการก่อสร้าง หรือรายรับ ค่าใช้จ่าย และมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งสิ้นประมาณ 38,723.1 26,268.8 และ 12,454.3 ล้านบาทตามลำดับ
เมื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโดยรวมของผู้ประกอบการก่อสร้างเปรียบเทียบในปี 2551 กับปี 2550 สถานประกอบการรายงานว่าร้อยละ 54.6 มีผลการดำเนินงานลดลงจากปี 2550
สำหรับความต้องการที่ให้รัฐช่วยเหลือ ร้อยละ 57.6 รายงานว่าให้ลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น ค่าวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและเครื่องมือฯ ร้อยละ 35.2 เพิ่มงบประมาณการลงทุนด้านก่อสร้างในภาครัฐ