การสำรวจอุตสาหกรรมก่อสร้าง พ.ศ.2552 นับเป็นการสำรวจครั้งที่ 3 ซึ่งได้ดำเนินการจัดทำทุก 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อภาครัฐในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและวางแผนการลงทุน รวมทั้งการจ้างงานของภาคเอกชน การสำรวจครั้งนี้คุ้มรวมสถานประกอบการก่อสร้างทุกแห่งทั่วประเทศ ที่ประกอบกิจกรรมใน 3 หมวดใหญ่ ได้แก่ การก่อสร้างอาคาร/สิ่งก่อสร้าง งานวิศวกรรมโยธาและกิจกรรมการก่อสร้างเฉพาะงาน โดยจัดตามการจัดประเภทอุตสาหกรรมทางเศรษฐกิจทุกประเภท ตามมาตรฐานสากล (ประเภท F : ISIC Rev.4)
การปฏิบัติงานเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน — กันยายน 2552 สำหรับข้อมูลที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้เป็นผลของการดำเนินกิจการในรอบปีที่ผ่านมา ระหว่าง 1 มกราคม — 31 ธันวาคม 2551 ของสถานประกอบการก่อสร้างที่ตั้งอยู่ ในเขตเทศบาลและนอกเขต เทศบาลทั่วประเทศ สรุปได้ดังนี้
1. จำนวนสถานประกอบการก่อสร้าง
สถานประกอบการก่อสร้างทั่วประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น 29,360 แห่ง ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 56.8) ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร/สิ่งก่อสร้าง รองลงมา ได้แก่ การดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมสถานที่ก่อสร้าง ประมาณร้อยละ 14.8 และการสร้างอาคารให้เสร็จสมบูรณ์ ประมาณร้อยละ 10.5 สำ หรับการก่อสร้างนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น แต่ละหมู่ย่อยมีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 7.0 ของจำนวนสถานประกอบการก่อสร้างทั้งสิ้น
2. ขนาดของสถานประกอบการ (จำนวนคนทำงาน)
ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 61.4) เป็นสถานประกอบการก่อสร้างที่มีคนทำงาน 1 — 5 คน และคนทำงาน 6 — 10 คน มีร้อยละ 21.7 สำหรับสถานประกอบการที่มีคนทำงานมากกว่า 10 คน มีร้อยละ 16.9
หากพิจารณาตามหมู่ย่อยอุตสาหกรรมก่อสร้าง พบว่า สถานประกอบการเกือบทุกหมู่ย่อยอุตสาหกรรมก่อสร้าง (มากกว่าร้อยละ 45.0) เป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงาน 1 — 5 คน ยกเว้น หมู่ย่อยการก่อสร้างถนนและทางรถไฟการก่อสร้างโครงการงานวิศวกรรมโยธาอื่น ๆ และการรื้อถอน
3. รูปแบบการจัดตั้งตามกฎหมาย
สถานประกอบการก่อสร้าง ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 76.8) มีรูปแบบการจัดตั้งเป็นส่วนบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่เป็นนิติบุคคล ที่มี รูปแบบการจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด บริษัทจำกัด (มหาชน) ร้อยละ 13.0 และที่มีรูปแบบการจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด มีเพียงร้อยละ 10.2
4. วงเงินรับเหมาก่อสร้างต่อปี
สถานประกอบการก่อสร้างทั่วประเทศส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 61.6) เป็นสถานประกอบการที่มีวงเงินรับเหมาก่อสร้างน้อยกว่า 1 ล้านบาท ส่วนสถานประกอบการที่มีวงเงินรับเหมาก่อสร้างตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียงเล็กน้อย คือ ประมาณร้อยละ 3.5
5. การรับงานจากภาครัฐ
สถานประกอบการก่อสร้างทั่วประเทศประมาณร้อยละ 16.3 มีการดำเนินกิจการก่อสร้างโดยรับงานจากภาครัฐและสถานประกอบการในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 52.8) รับงานจากภาครัฐ 50% หรือมากกว่า ส่วนสถานประกอบการที่มีการรับงานจากภาครัฐระหว่าง 10 — 19% และน้อยกว่า 10% มีประมาณร้อยละ 13.4 และ 12.9 ตามลำดับ นอกจากนั้นรับงานระหว่าง 20 — 29% 30 — 39% และ 40 — 49% มีประมาณร้อยละ 5 — 10
6. ลักษณะการดำเนินกิจการ
ในการดำเนินกิจการสถานประกอบการสามารถประกอบกิจการได้หลายลักษณะ จากการสำรวจ พบว่า สถานประกอบการส่วนใหญ่มี ลักษณะการดำเนินกิจการเป็นแบบรับเหมาเฉพาะค่าแรงงาน ร้อยละ 59.9 รองลงมาเป็นการรับงานและดำเนินการเองทั้งหมด ร้อยละ 40.3 สำหรับการจ้างเหมาหรือให้ผู้อื่นช่วยดำเนินการบางส่วน และการรับช่วงงานจากผู้รับเหมาอื่น มีร้อยละ 13.7 และ 8.2 ตามลำดับ
7. จำนวนคนทำงานและลูกจ้าง
ในปี 2551 มีคนทำ งานในสถานประกอบการก่อสร้างทั่วประเทศทั้งสิ้น มีประมาณ 364,694 คน ในจำนวนนี้เป็นลูกจ้างประมาณ 335,150 คน เมื่อจำแนกลูกจ้างตามประเภทหมู่ย่อยอุตสาหกรรมก่อสร้าง พบว่า ลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในสถานประกอบการที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร/สิ่งก่อสร้างมากที่สุด คือ 198,339 คน หรือร้อยละ 59.2 รองลงมาปฏิบัติงานอยู่ในสถานประกอบการที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนและทางรถไฟ 36,929 คน หรือร้อยละ 11.0 ที่เหลือปฎิบัติงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น
8. ค่าตอบแทนแรงงาน
ในปี 2551 ลูกจ้างในอุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วประเทศ ได้รับค่าตอบแทนแรงงานรวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 31,126.4 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อคนต่อปีประมาณ 92,873 บาทโดยลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างเกี่ยวกับกิจกรรมการติดตั้งสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ได้รับค่าตอบแทนแรงงานเฉลี่ยต่อคนต่อปีสูงที่สุด ประมาณ 120,030 บาท รองลงมา ได้แก่ ลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในสถานประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้างเกี่ยวกับการติดตั้งระบบไฟฟ้า การติดตั้งระบบประปา ระบบทำความร้อน และระบบระบายอากาศ ซึ่งได้รับค่าตอบแทนต่อคนต่อปีใกล้เคียงกัน คือ 119,911 บาท และ 119,785 บาท ตามลำดับ
9. มูลค่าการก่อสร้าง ค่าใช้จ่าย และมูลค่าเพิ่ม
ในการดำเนินกิจการการประกอบอุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วประเทศ มีมูลค่าการก่อสร้างหรือรายรับในการดำเนินกิจการในปี 2551 รวมทั้งสิ้นประมาณ 394,162.9 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 276,181.8 ล้านบาท และมูลค่าเพิ่มประมาณ 117,981.1 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนของมูลค่าเพิ่มต่อมูลค่าการก่อสร้างประมาณร้อยละ 29.9
สำหรับมูลค่าการก่อสร้างเฉลี่ยต่อสถานประกอบการมีมูลค่าประมาณ 13.4 ล้านบาท และมูลค่าการก่อสร้างเฉลี่ยต่อคนทำงานมีมูลค่า ประมาณ 1.1 ล้านบาท ด้านมูลค่าเพิ่มเฉลี่ยต่อสถานประกอบการ และเฉลี่ยต่อคนทำงาน พบว่ามีมูลค่าประมาณ 4.0 ล้านบาท และ 323,500 บาท ตามลำดับ
เมื่อพิจารณามูลค่าเพิ่มจำ แนกตามหมู่ย่อยอุตสาหกรรมก่อสร้าง พบว่า มูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่ (ร้อยละ 57.3) มาจากการก่อสร้าง อาคาร/สิ่งก่อสร้าง รองลงมาร้อยละ 13.3 มาจากการก่อสร้างถนนและทางรถไฟ สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างในหมู่ย่อยอื่นๆ มีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 9.0
10. การเปรียบเทียบการดำเนินกิจการอุตสาหกรรมก่อสร้าง
เมื่อเปรียบเทียบผลจากการสำรวจอุตสาหกรรมก่อสร้าง พ.ศ. 2552 กับ 2547 (เป็นข้อมูลของการดำเนินกิจการในปี 2551 เทียบกับปี 2546) พบว่า สถานประกอบการก่อสร้างมีจำนวนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 41.4 จำนวนคนทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.2
ในด้านการจ้างงาน พบว่า มีจำนวนลูกจ้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.7 ส่วนค่าตอบแทนแรงงานต่อปี พบว่าลูกจ้างได้รับเพิ่มขึ้นร้อยละ 96.5
ในด้านการดำเนินกิจการ พบว่า มูลค่าการก่อสร้างหรือรายรับ ค่าใช้จ่ายขั้นกลาง และมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วประเทศ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 22.5 21.8 และ24.3 ตามลำดับ
11. สรุปและข้อเสนอแนะ
ผลจากการสำรวจอุตสาหกรรมก่อสร้าง พ.ศ. 2552 พบว่า จำนวนสถานประกอบการก่อสร้างทั่วประเทศ มีทั้งสิ้น 29,360 แห่ง ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 83.1) เป็นสถานประกอบการขนาดเล็กที่มีคนทำงาน 1 — 10 คน สำหรับคนทำงานในสถานประกอบการก่อสร้าง มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 364,694 คน และมีการจ้างงานทั้งสิ้นประมาณ 335,150 คน โดยได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อคนต่อปี 92,873 บาท ส่วนมูลค่าการก่อสร้างหรือรายรับ รวมทั้งสิ้น 394,126.9 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย และมูลค่าเพิ่ม ประมาณ 276,181.8 ล้านบาท และ 117,981.1 ล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนั้นผู้ประกอบการกว่า 51.2 ระบุว่าผลการดำเนินงานโดยรวมในปี 2551 ลดลงจากปี 2550
สำหรับความต้องการที่ให้รัฐช่วยเหลือนั้น ผู้ประกอบการได้ให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนะ สรุปที่สำคัญ คือ ต้องการให้ลดค่าวัสดุ เครื่องจักร/เครื่องมือ เพื่อจะได้ลดต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนั้นต้องการให้ขจัดปัญหาทุจริตคอรัปชั่นของหน่วยราชการ