สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประเมินแนวโน้มปริมาณความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และการเลี้ยงสัตว์ ด้านผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไทย มีเพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยกลุ่มผู้ประกอบการวอนเกษตรกรเน้นคุณภาพผลผลิต
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภูมิภาคอาเซียน ปี 2555 พบว่า มีประมาณ 39 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปี 2554 เนื่องจากประเทศผู้ผลิตหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ขยายเนื้อที่เพาะปลูกซึ่งเป็นผลมาจากราคาข้าวโพดอยู่ในเกณฑ์ดี โดยประเทศอินโดนีเซียนับเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดของอาเซียน เกษตรกรนิยมใช้เมล็ดพันธุ์Composite seed สำหรับบริโภค และเมล็ดพันธุ์ Hybrid เพื่อผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งในปี 2555 จะขยายโรงงานอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นอีก 3 แห่งในชวาตะวันออกและชวาตะวันตก ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ข้าวโพดมีเพิ่มขึ้น
สำหรับภาพรวมปี 2555 ปริมาณการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภูมิภาคอาเซียน มีประมาณ 44 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากปี 2554 แต่ผลผลิตในภูมิภาคยังไม่เพียงพอต่อความต้องการทำให้ต้องนำเข้าจากประเทศนอกอาเซียนประมาณ 5 ล้านตัน และคาดว่าปริมาณนำเข้าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 5 จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว ดังนั้น แนวโน้มความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของทั้งภูมิภาคจะมีเพิ่มขึ้น
สำหรับประเทศไทย ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลผลิตข้าวโพดลดลง เนื่องจากเกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ทนแล้งและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน ส่งผลให้ผลผลิตในบางปีไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับผู้ผลิตอาหารสัตว์เริ่มมีการนำเข้าข้าวสาลีทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงเวลาที่ข้าวสาลีมีราคาถูก และนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นที่มีราคาถูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่รัฐห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทย ยังคงเป็นที่ต้องการสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ภายในประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการต้องการให้เกษตรกรผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพดีสำหรับใช้เป็นอาหารสัตว์ แต่ปัจจุบันในช่วงที่ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดมาก จะมีปัญหาเรื่องความชื้นสูง เกิดอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ทำให้คุณภาพผลผลิตต่ำจนไม่สามารถใช้เลี้ยงสัตว์ได้ ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องดูแลและรักษาคุณภาพผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยวโดยกระจายช่วงการเพาะปลูกเพื่อลดปริมาณการเก็บเกี่ยวในฤดูฝน
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--