นายสุรศักดิ์ พันธ์นพ รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการลงพื้นที่เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการปรับโครงสร้างสินค้ากาแฟแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชุมพร และ ระนอง พบว่า เกษตรกรที่ได้รับการอบรม ดูงาน ได้ให้ความสนใจที่จะปรับปรุงดูแลสวนกาแฟตามคำแนะนำของกระทรวงเกษตรฯ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการลดต้นทุนกาแฟตามหลักวิชาการ ทั้งการ ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย จากเดิมต้นละ 5 กรัม เป็นต้นละ 3 กรัม และการตัดฟื้นต้นกาแฟเหลือเพียง 1 กิ่งต่อ 3 ต้น ตลอดจนเปลี่ยนการดูแลรักษาจากการใช้สารเคมีเป็นวิธีธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้ต้นกาแฟแข็งแรง ต้านทานโรค เมล็ดใหญ่สมบูรณ์ น้ำหนักมากขึ้นและไม่เน่าเสีย
จากการสำรวจความคิดเห็น พบว่า เกษตรกรสมาชิกโครงการฯ ร้อยละ 76 เห็นว่าคุณภาพผลผลิตดีขึ้น และร้อยละ 52 เห็นว่าต้นทุนการผลิตลดลงจริง โดยเกษตรกรเห็นว่า โครงการดังกล่าว ช่วยให้เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มมูลค่า พัฒนาธุรกิจกาแฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยในการสร้างชื่อเสียงให้แหล่งผลิตและผลิตภัณฑ์กาแฟในภาคใต้ได้เป็นอย่างดี ผลักดันให้เกิดการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปิดตลาดการค้าเสรีในอนาคตได้ นอกจากนี้ เกษตรกรสมาชิกโครงการฯ ยังได้มีการนำความรู้ไปขยายผลต่อในพื้นที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงได้มีการเข้ามาศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับนำไปปรับใช้ปฏิบัติในแปลงของตนเองอีกด้วย
ทั้งนี้ โครงการปรับโครงสร้างสินค้ากาแฟแบบครบวงจร มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า และพัฒนาธุรกิจกาแฟของสถาบันเกษตรกร รวมทั้งเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดตลาดสินค้าภายใต้เขตการค้าเสรี มีเป้าหมายดำเนินการในสถาบันเกษตรกร 3 แห่ง ประกอบด้วย 1) สหกรณ์ผู้ปลูกกาแฟจังหวัดชุมพร 2) กลุ่มเกษตรกรทำสวนเขาทะลุ อ.สวี จ.ชุมพร และ 3) กลุ่มเกษตรกรทำสวน จปร. อ.กระบุรี จ.ระนอง โดยกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้สนับสนุนเงินทุน จำนวน 23.214 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในการส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--