ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday May 1, 2018 14:51 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 การตลาด

มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต2560/61

มติที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการฯ จำนวน 13 โครงการ ดังนี้

(1) ด้านการผลิต มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560และวันที่ 12ธันวาคม 2560 เห็นชอบโครงการฯ ได้แก่ 1) โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี 2) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่ หลักเกณฑ์ใหม่) 3) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์4) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561 5) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 25616) โครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี 2561 7) โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 2561และ 8) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี 2561

(2) ด้านการตลาด มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 และเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 เห็นชอบโครงการฯ ได้แก่ 1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร 2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร 3) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี และ 4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

(3) ด้านการเงิน มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560 เห็นชอบ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

ปีการผลิต 2560

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,229 บาท

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,839 บาท

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 34,130 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 33,850บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.83

ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 12,910บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 12,517บาท ในสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 3.14

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,150 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,869 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,143 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,383 บาท/ตัน)ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.61 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 486 บาท

ข้าวขาว 5%สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 459 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,316 บาท/ตัน)ราคาสูงขึ้นจากตันละ 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,023บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.32 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 293 บาท

ข้าวขาว 25%สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 443 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,817 บาท/ตัน)ราคาสูงขึ้นจากตันละ 436 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,497บาท/ตัน)ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.61 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 320 บาท

ข้าวนึ่ง 5%สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 445 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,880 บาท/ตัน)ราคาลดลงจากตันละ 449 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,899บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.89 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 19 บาท หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.1900

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

2.1 สถานการณ์ข้าวโลก

1) การผลิต

ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2560/61 ประจำเดือนเมษายน 2561 ว่าจะมีผลผลิต487.462 ล้านตันข้าวสาร (727.3 ล้านตันข้าวเปลือก) สูงขึ้นจาก 486.151 ล้านตันข้าวสาร (725.5ล้านตันข้าวเปลือก) หรือสูงขึ้นร้อยละ 0.27 จากปี 2559/60

2) การค้าข้าวโลก

บัญชีสมดุลข้าวโลกกระทรวงเกษตรสหรัฐฯได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2560/61 ณเดือนเมษายน 2561 ว่าผลผลิต ปี 2560/61 จะมี 487.462 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2559/60 ร้อยละ 0.27 การใช้ในประเทศจะมี 480.145 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 0.34 การส่งออก/นำเข้าจะมี 48.636 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 1.36 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 144.424 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 5.34

โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล เมียนมาร์ กัมพูชา จีน กายานา อินเดีย ปากีสถาน ปารากวัย และเวียดนาม ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อียู รัสเซีย อุรุกวัย สหรัฐอเมริกา และไทย

สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ คิวบา อียู กานา กินี อินโดนีเซีย อิรัก ญี่ปุ่น เคนย่า เนปาล ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ เซเนกัล และสหรัฐอาหรับเอมิเรส ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ บังคลาเทศ บราซิล อิหร่าน มาเลเซีย เม็กซิโก โมแซมบิค แอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา

ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังกลาเทศ จีน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินเดีย ญี่ปุ่น ไทย และสหรัฐอเมริกา

2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ไทย

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิประจำปี 2560/61 ค่อนข้างสูงเป็นประวัติการณ์ถึงตันละ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 34,100 บาท เหตุผลเพราะความต้องการในตลาดโลกสูงกว่าปริมาณการผลิต เนื่องจากในปีที่ผ่านมาชาวนาที่ผลิตข้าวนาปีหันไปปลูกพืชชนิดอื่นจำนวนมาก โดยเฉพาะข้าวเหนียวที่ได้ราคาดีกว่า ทำให้ผลผลิตข้าวนาปีออกสู่ตลาดน้อยกว่าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ตลาดโลกมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น อินโดนีเซียที่ผ่านมาไม่เคยนำเข้าข้าวจากต่างประเทศแต่ปีนี้มีการนำเข้า ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นผู้ซื้อรายสำคัญ สำหรับราคาข้าวในประเทศจากเดิมเมื่อปีที่แล้วเกษตรกรเคยขายได้ราคาตันละ 10,000 บาท ตอนนี้ราคาพุ่งสูงขึ้นตันละกว่า 17,000-18,000 บาท

เราต้องยอมรับว่า สถานการณ์ในตลาดโลกปีนี้เอื้อให้ราคาข้าวดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อชาวนาที่ผลิตข้าว โดยเราคาดการณ์ว่าปีนี้จะสามารถส่งออกข้าวได้ประมาณ 9.5 ล้านตัน ซึ่งจะต้องประเมินผลอีกรอบในช่วงเดือนมิถุนายนนี้

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปีนี้ราคาข้าวมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ตันละ 17,000-18,000 บาท ส่งผลให้ราคาข้าวถุงปรับตัวสูงขึ้นตามจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่าปีนี้ราคาข้าวที่เกษตรกรได้รับ ข้าวเปลือกเจ้าราคาอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาจะไม่ต่ำกว่าตันละ 15,000 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ดี จึงขอให้เกษตรกรให้ความสำคัญกับการผลิตข้าวให้มีคุณภาพดีและส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าข้าวไทย ส่วนการส่งออกข้าวปีนี้กระทรวงพาณิชย์คาดว่า จะอยู่ที่ 9-10 ล้านตัน

นายปราโมทย์ วณิชานนท์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ราคาข้าวในตลาดโลกที่สูงขึ้นถือเป็นเรื่องดี แต่ไม่อยากให้มองเรื่องราคาเป็นประเด็นหลัก เพราะราคาข้าวนั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดโลก ถ้าซัพพลายน้อยกว่าดีมานด์ราคาก็ดี แต่ถ้าดีมานด์น้อยกว่าซัพพลายราคาก็ตก ซึ่งที่ผ่านมาทุกรัฐบาลก็เน้นการสนับสนุนด้วยการให้เงินเป็นหลัก ทั้งการประกันราคาข้าวและรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ทุกรัฐบาลปฏิบัติกันจนเป็นประเพณีจนมองข้ามงานวิจัยและพัฒนา ทำให้ปัจจุบันเราไม่มีพันธุ์ใหม่ๆ มาตอบโจทย์ความต้องการของตลาด เมื่อเราผลิตแต่ข้าวพันธุ์เดิมๆ ก็ต้องไปแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก จนบางปีข้าวไทยต้องยอมขายราคาต่ำกว่าเวียดนาม ทั้งที่ภาพลักษณ์ข้าวไทยนั้นดีกว่าข้าวเวียดนามมาก แต่แทนที่เราจะขายในตลาดพรีเมี่ยมที่ได้ราคาดีกว่า เราก็ทำไม่ได้เมื่อต้องเจอกับข้าวของเวียดนามที่มีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกมาตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและขายในตลาดเดียวกับเรา

ข้าวไทยเปรียบเสมือนรถเบนซ์ จึงควรขายในตลาดคนรวย เช่น ตลาดยุโรป ญี่ปุ่น ฮ่องกง โดยตั้งราคาสูงๆ แต่ที่ผ่านมามีเพียงข้าวหอมมะลิเท่านั้นที่เราสามารถขายในระดับพรีเมี่ยมได้ ในขณะที่ข้าวขาวต้องขายในตลาดเดียวกับเวียดนามและต้องเน้นแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก ทั้งที่หากเรามีการพัมนาสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม เราจะขายได้ราคาดีกว่าเดิมและขายในตลาดที่เป็นพรีเมี่ยมได้ พร้อมกล่าวอีกว่า ปัญหาหนึ่งของชาวนาไทยคือราคาข้าวที่ขายได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน และผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างต่ำ โดยเฉลี่ยเพียง 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ ดังนั้น รัฐบาลควรสนับสนุนให้เกิดการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ซึ่งจะเป็นความมั่นคงในระยะยาว เช่น ข้าวในตลาดราคาตันละ 8,000 บาท หากชาวนาผลิตข้าวได้ 500 กิโลกรัมต่อไร่ เท่ากับว่าจะขายข้าวได้เพียง 4,000 บาทต่อตัน แต่ถ้าได้ผลผลิต 800 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ 1 ตันต่อไร่ ชาวนาจะขายข้าวได้ถึง 6,400-8,000 บาท

นอกจากการเพิ่มผลผลิตต่อไร่แล้ว การผลิตข้าวที่มีมูลค่าเพิ่มสูงก็เป็นทางออกของชาวนายุคใหม่ ยกตัวอย่างเช่น “ข้าวอินทรีย์เพชรคอรุม” ของตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่สมาชิกมารวมตัวกันทำในนามวิสาหกิจชุมชนสามารถขายได้ถึงตันละ 50,000 บาท เพราะเน้นการผลิตข้าวอินทรีย์ อาทิ ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง ที่นอกจากจะปราศจากสารเคมีแล้ว ยังมีเมล็ดสวยงาม เมื่อหุงแล้วข้าวจะนุ่มและขึ้นหม้อ การบรรจุถุงจะเป็นสูญญากาศ ราคาขายส่งกิโลกรัมละ 50 บาท และขายปลีกกิโลกรัมละ 70 บาท ซึ่งน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกษตรกรชุมชนอื่นมองเห็นช่องทางนำไปต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

กัมพูชา

กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) คาดการณ์ว่าในปีการตลาด 2560/61 (มกราคม-ธันวาคม 2561) กัมพูชาจะมีผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 8.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ14.42 เมื่อเทียบกับจำนวน 7.813 ล้านตัน ที่เคยประมาณการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และเพิ่มขึ้นร้อยละ3.87 เมื่อเทียบกับจำนวน 8.616 ล้านตันในปี 2559/60เนื่องจากสภาพอากาศเอื้อำนวยต่อการเพาะปลูก และมีน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก รวมทั้งการมีระบบชลประทานที่ดีขึ้น โดยคาดว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าวในปี 2560/61จะมีประมาณ 20 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ7เมื่อเทียบกับปี 2559/60ส หรับในปี 2561/62คาดว่าพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตข้าวเปลือกจะมีประมาณ 20.6 ล้านไร่ และ 9.22 ล้านตันตามลำดับเพราะคาดว่าความต้องการข้าวจากตลาดต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นซึ่งจูงใจให้เกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากขึ้น

ทางด้านการส่งออกนั้น ในปี 2560/61คาดว่าจะส่งออกได้เพิ่มเป็น 1.3 ล้านตัน (รวมตัวเลขการส่งออกอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น การส่งออกตามแนวชายแดน) เพิ่มขึ้นร้อยละ4 เมื่อเทียบกับจ นวน 1.25 ล้านตัน ที่คาดว่าสามารถส่งออกได้ในปี 2559/60ส่วนในปี 2561/62คาดว่าจะส่งออกได้ประมาณ 1.4 ล้านตัน จากการที่ความต้องการข้าวจากต่างประเทศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ฟิลิปปินส์

องค์การอาหารแห่งชาติ(National Food Authority; NFA) ได้ส่งหนังสือเชิญไปยังหน่วยงานของรัฐบาลไทยและเวียดนามตามที่มีการลงนามข้อตกลงไว้เพื่อเชิญเข้าร่วมการประมูลนำเข้าข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (governmentto-government deal) จำนวน 250,000 ตัน ประกอบด้วยข้าวขาว 15% (well-milled long grain white rice) จำนวน 50,000 ตัน และข้าวขาว 25% (well-milled long grain white rice) จำนวน 200,000 ตัน โดยเปิดรับข้อเสนอในวันที่ 27 เมษายนนี้กำหนดส่งมอบข้าวขาว 25% ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม และข้าวขาว 15% ภายในวันที่ 30 มิถุนายนน

เมื่อสัปดาห์ก่อน ประธานาธิบดีได้อนุมัติให้NFA นำเข้าข้าวแบบ G to G จำนวน 250,000 ตัน ส่วนการนำเข้าครั้งต่อไปจะเป็นแบบ G to P นอกจากนี้ประธานาธิบดียังได้สั่งการให้NFA เพิ่มสต็อกข้าวให้ได้ประมาณ 1.92 ล้านตัน หรือเท่ากับความต้องการบริโภคภายในประเทศ 60 วัน โดยใช้ทั้งวิธีรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในประเทศและการนำเข้าจากต่างประเทศ และให้ NFA ไปพิจารณาเพิ่มราคารับซื้อข้าวจากเกษตรกรจากปัจจุบันที่กำหนดราคารับซื้อไว้ที่กิโลกรัมละ 17 เปโซ หรือประมาณตันละ 327 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ประจำวันที่ 20 – 26 เม.ย. 61 --


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ