สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 3 - 9 ส.ค. 61
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การตลาด
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 เห็นชอบในหลักการมาตรการฯ ด้านการผลิตและการตลาด ทั้งหมด 10 โครงการ ดังนี้
(1) ด้านการผลิต* ได้แก่ 1) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) 2) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ 3) โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง 4) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแม่นยำสูง (Precision Farming) 5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ 6) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข 43 เพื่อสุขภาพแบบครบวงจร และ 7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง
(2) ด้านการตลาด มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 อนุมัติการดำเนินโครงการและวงเงินงบประมาณที่ใช้ช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ 3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก
หมายเหตุ * ด้านการผลิต เป็นโครงการที่หน่วยงานดำเนินการตามปกติ จึงไม่นำเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณามาตรการฯ
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,999 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,952 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.29
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,507 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 7,440 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.90
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 35,010 บาท ราคาลดลงจากตันละ 35,583 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.61
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,810 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,750 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.51
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,122 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37,030 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 35 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,168 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อนแต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 12 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 390 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,871 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อนแต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 12 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 401 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,234 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 396 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,057 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.26 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 177 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.0033
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
สมาคมผู้ค้าข้าวแห่งฟิลิปปินส์ (Grecon) สนับสนุนการยื่นข้อเสนอ เพื่อขอให้ NFA นำเข้าข้าวสารจากต่างประเทศเพิ่มในปริมาณ 500,000 – 800,000 ตัน โดยส่งมอบภายใน 5-6 เดือน เพื่อชะลอปัญหาเงินเฟ้อและลดระดับราคาข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนในประเทศ
ทั้งนี้ นายกสมาคมฯ มีความเห็นว่าปริมาณการนำเข้าข้าวของ NFA ช่วงก่อนหน้าไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ จึงสนับสนุนให้มีการนำเข้าเพิ่ม และคาดหวังว่าข้าวจะถูกส่งมอบในเร็วๆ นี้ เพื่อลดระดับความตึงเตรียดของราคาข้าวสารในท้องตลาด โดยขณะนี้เป็นช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาดน้อย ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาข้าวสารในประเทศปรับตัวสูงขึ้นด้วย ซึ่งปกติแล้วราคาข้าวสารจะเป็นสองเท่าของราคาข้าวเปลือกสด ดังนั้น หากราคาข้าวเปลือกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบ จึงเห็นควรให้ NFA นำเข้าข้าวเพิ่ม เพื่อลดระดับราคาข้าวสารภายในประเทศ
ที่มา : BusinessMirror
ราคาข้าวอินเดียยังคงที่ จากที่มีข้อกังวลเรื่องปริมาณผลผลิตจะออกสู่ตลาดน้อยลงจากปริมาณน้ำฝนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ โดยราคาข้าวนึ่งของอินเดียอยู่ที่ตันละ 392-396 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับสัปดาห์ก่อน หลังจากมีการปรับตัวสูงขึ้นโดยปริมาณการส่งออกข้าวของประเทศระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน สูงขึ้นร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศทางแถบแอฟริกามีความต้องการข้าวเพิ่มขึ้น
ผู้ส่งออกรายหนึ่ง กล่าวว่า สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในประเทศยังคงเป็นปัญหา เนื่องจากปริมาณฝนที่ตกลงมาน้อยกว่าปกติ และหากฝนยังคงไม่ตกภายในสัปดาห์หน้า ปริมาณผลผลิตข้าวจะได้รับความเสียหายโดยในฤดูกาลนี้ ประเทศเพาะปลูกข้าวแล้ว 26.27 ล้านเฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันพื้นที่ปลูกข้าวในประเทศเวียดนาม และไทย ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักและน้ำท่วม ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและราคาข้าวในอนาคตได้
ทีมา : Reuters Bengaluru
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) คาดการณ์ว่าในปีการตลาด 2561/62 (พฤศจิกายน-ตุลาคม) ปากีสถาน จะมีผลผลิตข้าวสารประมาณ 7.4 ล้านตัน ลดลงจากจำนวนประมาณ 7.5 ล้านตัน ในปี 2560/61 เนื่องจากปากีสถานประสบปัญหาด้านระบบชลประทานในช่วงเริ่มต้นฤดูเพาะปลูก kharif
อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยา (Pakistan’s Metrological Department) ได้พยากรณ์ว่า ในปีนี้ปากีสถาน จะเผชิญกับฤดูมรสุมในระดับปกติซึ่งคาดหมายว่าจะส่งผลดีต่อการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวข้าว
ทางด้านการส่งออกนั้น ในปีการตลาด 2560/61 จนถึงปัจจุบัน ปากีสถานส่งออกข้าวได้แล้วประมาณ 3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ส่งออกไปประมาณ 2.4 ล้านตัน โดยคาดว่าในปีการตลาด 2560/61 นี้จะส่งออกได้ประมาณ 4.3 ล้านตัน
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ค่าเงินรูปีของปากีสถานปรับตัวแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 3 อยู่ที่ 124 ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้ให้เงินกู้แก่ปากีสถานประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยให้ปากีสถานมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งข้อมูลของ Bloomberg ระบุว่า การขาดแคลนเงินทุนสำรองของปากีสถานเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551
ทั้งนี้ ธนาคารกลางปากีสถานได้มีการลดค่าเงินแล้ว 4 ครั้ง นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการแก้ไขปัญหาความสมดุลของทางบัญชีในปัจจุบัน โดยตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ปากีสถานลดค่าเงินรูปีในเดือนธันวาคม 2560 ประมาณร้อยละ 10 ในเดือนมีนาคม 2561 ลดลงอีกร้อยละ 10 เดือนมิถุนายนลดลงอีกร้อยละ 4 และในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้ปรับลดลงอีกประมาณร้อยละ 5 ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ข้าวเป็นหนึ่งในสินค้าหลักของภาคเกษตรกรรมของอิตาลี เผชิญกับความเสี่ยงด้านการผลิตลดลง ซึ่งเป็น ผลกระทบจากการยกเว้นภาษีการนำเข้าจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างกัมพูชาและเมียนมาร์ในสหภาพยุโรป โดยตัวเลขการนำเข้าข้าวจากกัมพูชาและจากเมียนมาร์ในปี 2560 เพิ่มขึ้นสามเท่า มาอยู่ที่ 22,500 ตัน หรือเท่ากับประมาณครึ่งหนึ่งของข้าวที่อิตาลีนำเข้าจากต่างประเทศ
ปัจจุบัน 1 ใน 4 ของข้าวที่จำหน่ายในอิตาลีมาจากการผลิตในเอเชีย โดยการนำเข้าข้าวที่มีการผลิตในเอเชียเพิ่มขึ้นมากนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 (ในปี2560 การนำเข้าข้าวจากเอเชียมีปริมาณ 33,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากปีก่อนหน้า) จากการนำเข้าจากประเทศด้อยพัฒนา (Pma) อย่างเสรีโดยไม่จำกัดจำนวนและได้รับการยกเว้นภาษี โดยกัมพูชาได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับการส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรปตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 ขณะที่เมียนมาร์ได้รับการยกเว้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 (มีผลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555) ขณะที่เวียดนามได้รับผลประโยชน์จาก ข้อตกลงการค้าเสรีที่ลงนามในเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งกำหนดการยกเว้นภาษีการนำเข้าเช่นกัน
สาหรับประเด็นดังกล่าว สมาพันธ์เกษตรกรแห่งชาติ (Coldiretti) แสดงความเห็นว่าควรมีการเร่งดำเนินการป้องกันเกี่ยวกับการนำเข้าข้าวที่มีแหล่งที่จากกัมพูชาและเมียนมาร์จากฝ่ายสหภาพยุโรป โดยเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการ Everything But Arms (EBA) หรือ โครงการที่สหภาพยุโรปให้สิทธิพิเศษด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้า และยกเลิกการกำหนดโควตานาเข้าให้แก่สินค้านำเข้าที่มีแหล่งกำเนิดจากกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ซึ่งกำลังทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่ยุติธรรมกับการผลิตข้าวในประเทศอิตาลีและในสหภาพยุโรป
เป้าหมายของ Coldiretti คือ ความเป็นไปได้ในการยกเลิกส่งออกข้าวจากประเทศเหล่านี้มายังสหภาพยุโรป โดยไม่จำกัดจำนวนและได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งก่อให้เกิดวิกฤตด้านราคาที่ลดลงอย่างมาก (ข้าวพันธุ์Arborio ลดลง 58% พันธุ์ Carnaroli ลดลงร้อยละ 57 พันธุ์ Roma ลดลงร้อยละ 41 พันธุ์ Vialone Nano ลดลงร้อยละ 37) ที่จะส่งผลต่อความอยู่รอดและอนาคตของสินค้าข้าวทั้งระบบของยุโรป
นอกจากนี้ Coldiretti ยังได้แสดงความเห็นว่า วิกฤตดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรงและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออิตาลีซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของยุโรปมีกำลังการผลิต 1.5 ล้านตัน จากบริษัท 4 พันบริษัท ในพื้นที่กว่า 1.46 ล้านไร่ซึ่งครอบคลุมประมาณร้อยละ 50 ของการผลิตทั้งหมดของสหภาพยุโรป โดยนาย Roberto Moncalvo ประธาน Coldiretti กล่าวว่า การที่สหภาพยุโรปยังคงการปล่อยให้มีการนำเข้าข้าวที่มาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ (โดย Coldiretti ได้ยกประเด็นเรื่องการปลูกข้าวบนพื้นที่ที่มาจากการปราบปรามกลุ่มชนโรฮิงญาอย่างรุนแรง) สินค้าทั้งหมดที่เข้าสู่ยุโรปต้องเคารพกฎเดียวกัน เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของแรงงานเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่วางจำหน่ายมีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมสุขภาพและแรงงาน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องรีบดำเนินการออกคำสั่งคุ้มครองเพื่อแก้วิกฤตที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของผู้ปลูกข้าวหลายพันคน
ในการปกป้องการผลิตข้าวของอิตาลีนั้น นาย Matteo Salvini รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย จากพรรค Lega ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า “หลังจากการไม่อนุญาตให้เรือรับผู้อพยพ NGO เทียบท่าในอิตาลีแล้ว ยังสามารถหยุดการนำเข้าข้าวกัมพูชาที่ท่าเรือได้ และพร้อมที่จะกีดกันเรือขนส่งข้าวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ให้รวมข้าวที่มีคุณภาพต่ำกว่าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับข้าวของอิตาลี”
เช่นเดียวกับนาย Paolo Carr? ประธานองค์กรภาคสินค้าข้าวแห่งชาติของอิตาลี (Enti Risi) ที่เรียกร้องให้มีความสามัคคีในการดำเนินการ เนื่องจากเป็นระยะเวลาหลายปีที่ภาคสินค้าข้าวต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไมยุติธรรม ราคาที่ตกต่ำ ในทางตรงกันข้ามการนำเข้าจากประเทศเหล่านี้กลับเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ประเทศผู้ส่งออกยังไม่ได้ดำเนินการเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกร แต่ทำให้พ่อค้าคนกลางอุตสาหกรรมและภาคการเงินเติบโตขึ้น ต่างจากเงื่อนไขข้อตกลงความร่วมมือ
ขณะที่นาย Paolo Dellarole ประธาน Coldiretti แห่งแคว้น Vercelli Biella (พื้นที่ปลูกข้าวอันดับหนึ่งของอิตาลี) กล่าวว่า การหาทางออกต้องใช้เวลา เนื่องจากประเด็นการนำเข้าเกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรปซึ่งขั้นตอนการนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ซึ่งครอบคลุมประเทศในยุโรปเหนือซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายส่งออกของอิตาลีเช่นกัน นอกจากนี้สหภาพยุโรปยังมีสนธิสัญญาการค้าเสรีกับประเทศอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน และต้องอย่าลืมว่าการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศส่วนหนึ่งมาจากโรมาเนีย ซึ่งเป็นประเทศที่หลายบริษัทอิตาเลียนได้ย้ายเข้าไปตั้งฐานการผลิต
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร