สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 2 - 8 พ.ย. 61
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การตลาด
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 เห็นชอบในหลักการมาตรการฯ ด้านการผลิตและการตลาด ทั้งหมด 10 โครงการ ดังนี้
(1) ด้านการผลิต* ได้แก่ 1) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) 2) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ 3) โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง 4) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแม่นยำสูง (Precision Farming) 5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ 6) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข 43 เพื่อสุขภาพแบบครบวงจร และ 7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง หมายเหตุ * ด้านการผลิต เป็นโครงการที่หน่วยงานดำเนินการตามปกติ จึงไม่นำเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณามาตรการฯ
- มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 อนุมัติการดำเนินโครงการและวงเงินงบประมาณที่ใช้ช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ 3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก
- มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 อนุมัติทบทวนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/61 ตามมติคณะกรรมการ นบข. เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561 ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
(1) กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร ให้ปรับปรุงให้ค่าเก็บรักษาข้าวเปลือก
(2) เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น
(3) ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูงหรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศ เพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพตลอดระยะเวลาโครงการ
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,192 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,921 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.82
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,768 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,774 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.07
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 34,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,750 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,116 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,444 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,104 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,304 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.08 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 140 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 402 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,128 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,252 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.24 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 124 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 391 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,769 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 392 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,891 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.25 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 122 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 402 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,128 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 397 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,055 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.25 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 73 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.6562
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ภาวะราคาข้าวขาว 5% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ตันละ 410-415 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงนี้ผู้ส่งออกไม่ทำสัญญาขายข้าว เพราะราคาข้าวของเวียดนามสูงกว่าประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่รายอื่นๆ ประกอบกับมีอุปทานข้าวในประเทศจำกัดหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวฤดูนาปรังสิ้นสุดลง
สมาคมอาหารเวียดนาม (the Vietnam Food Association; VFA) รายงาน การส่งออกข้าวในเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีประมาณ 400,000 ตัน มูลค่าประมาณ 199.631 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 22.2 และร้อยละ 10.7 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมาที่ส่งออก 514,398 ตัน มูลค่า 223.663 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปริมาณและมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 41.9 และร้อยละ 20.4 ตามลำดับ โดยในเดือนสิงหาคมมีการส่งออกประมาณ 588,000 ตัน มูลค่าประมาณ 250.882 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 (มกราคม – กันยายน) เวียดนามส่งออกข้าวแล้วประมาณ 4.686 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 2.239 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 และร้อยละ 18.5 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมาที่ส่งออก 4.388 ล้านตัน มูลค่า 1.889 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับในเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีรายงานว่า เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 264,000 ตัน มูลค่าประมาณ 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 (มกราคม – ตุลาคม) เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 5.2 ล้านตัน มูลค่าส่งออกประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 และร้อยละ 14.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามยังคงเป็นประเทศจีน ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณร้อยละ 24 ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของเวียดนาม ส่วนตลาดอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย อิรัก ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เป็นต้น
ทั้งนี้ ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนแรกของปี อยู่ที่ประมาณตันละ 503 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยราคาส่งออกข้าวหอมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 575 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในบรรดาชนิดข้าวชนิดต่างๆ ที่เวียดนามส่งออก ขณะที่ราคาส่งออกข้าวญี่ปุ่นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 526 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับตลาดส่งออกข้าวหอมที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามคือประเทศจีน คิดเป็นร้อยละ 25 ของการส่งออกข้าวหอมทั้งหมดของเวียดนาม รองลงมาคือ กาน่า มีการส่งออกประมาณร้อยละ 21 นอกจากนี้ ประเทศจีนยังเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของข้าวเหนียวเวียดนามที่ส่งออกประมาณร้อยละ 80 ของการส่งออกข้าวเหนียวของเวียดนาม
ภาวะราคาข้าวในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกต้องเร่งซื้อข้าวเพื่อส่งมอบให้ประเทศผู้ซื้อที่ได้มีการทำสัญญาไว้ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่การเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูการผลิต summer – autumn rice crop เสร็จสิ้นแล้ว และบางพื้นที่กำลังเริ่มต้นเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูถัดไปคือฤดู autumn-winter crop ซึ่งคาดว่าราคาข้าวยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากคาดว่าปริมาณผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้มีจำกัด
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ในช่วงระหว่างการเดินทางเยือนประเทศจีนของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ของอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้เป็นโอกาสของผู้ส่งออกข้าวของอินเดียที่พยายามจะเจรจาขายข้าวเพื่อเปิดตลาดค้าข้าวที่มีมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในระหว่างการพบปะหารือกันของสองประเทศมีผู้ส่งออกข้าวของอินเดีย 6 ราย จาก ทั้งหมด 24 รายที่ได้รับการอนุญาตให้ส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติไปยังประเทศจีนเข้าร่วมหารือด้วย และมีผู้ประกอบการของจีนเข้าร่วมประมาณ44 ราย รวมทั้งหน่วยงาน COFCO (China National Cereals, Oils and Foodstuffs Corporation) ของจีนด้วย
ภาวะราคาข้าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัว โดยข้าวนึ่ง 5% อยู่ที่ตันละ 361 – 367 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 21 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 เนื่องจากความ ต้องการข้าวจากต่างประเทศลดลงในช่วงนี้
ขณะที่วงการค้าคาดว่าอุปทานข้าวในประเทศจะเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูที่กำลังจะมาถึง แต่เนื่องจากในปี้นี้รัฐบาลได้กำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา จึงทำให้ผู้ส่งออกที่ต้องการข้าวจะต้องแย่งซื้อข้าวในราคาที่สูงขึ้น ดังนั้นราคาข้าวของอินเดียจึงไม่น่าจะลดลงกว่านี้
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลได้ปรับราคารับซื้อข้าวขั้นต่ำ (the minimum support price; MSP) สำหรับข้าวเกรดธรรมดา (common-grade paddy) ขึ้นมาที่ 1,750 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม หรือประมาณตันละ 255 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกมีต้นทุนในการซื้อข้าวจากเกษตรกรสูงขึ้น เพราะต้องแย่งซื้อข้าวกับรัฐบาล แต่วงการค้าคาดว่าจะไม่มีผลต่อราคาข้าวส่งออกมากนักเพราะค่าเงินรูปีอ่อนค่าลง โดยล่าสุดค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 74.48 รูปีต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
กระทรวงทรัพยากรน้ำ (the Ministry of Water Resources) รายงานว่า ปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำหลักทั่วประเทศ 91 แห่ง ณ วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำกักเก็บประมาณ 109.24 พันล้านลูกบาศก์เมตร ลดลงประมาณร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีปริมาณกักเก็บที่ 114.48 พันล้านลูกบาศก์เมตร และลดลงประมาณร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับ 112.67 พันล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า โดยปริมาณน้ำที่กักเก็บในขณะนี้คิดเป็นประมาณร้อยละ 67 ของความจุของอ่างเก็บน้ำ ซึ่งสามารถกักเก็บน้ำได้เต็มที่ประมาณ 161.993 พันล้านลูกบาศก์เมตร
องค์การพัฒนาการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป (the Agricultural and Processed Food Products Export Development Authority; APEDA) รายงานว่า จากการออกสำรวจผลผลิตข้าวทั่วประเทศคาดว่าในปีการผลิต 2561/62 อินเดียจะมีผลผลิตข้าวเปลือกบาสมาติประมาณ 5.31 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 6
เมื่อเทียบกับจำนวน 5.64 ล้านตัน ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกมีจำนวนลดลงเพราะเกษตรกรบางส่วนหันไปปลูกธัญพืชชนิดอื่น ทำให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวบาสมาติลดลงประมาณร้อยละ 2.45 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งตามปกติข้าวบาสมาติจะมีการเพาะปลูกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนของทุกปี
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) คาดว่าในปีการตลาด 2561/62 (ตุลาคม 2561 – กันยายน 2562) อินเดียมีผลผลิตข้าวประมาณ 111 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2560/61 ที่คาดว่ามีประมาณ 112.91 ล้านตัน ผลผลิตลดลงแม้ว่าจะมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากคาดว่าในปี 2561 นี้ มีปริมาณฝนสะสมน้อยกว่าระดับปกติ
จากข้อมูลที่กระทรวงเกษตรอินเดีย (the Indian Agriculture Ministry) ได้พยากรณ์สำหรับปีการผลิต 2561/62 (กรกฎาคม – มิถุนายน) คาดว่าในฤดูการผลิต kharif (มิถุนายน – ธันวาคม) จะมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 240 ล้านไร่ ลดลงจากจำนวน 246 ล้านไร่ ในปีก่อน สำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวในฤดู kharif เริ่มขึ้นเมื่อกลางเดือนที่แล้วในแคว้นทางภาคเหนือของประเทศ ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ เนื่องจากฤดูมรสุมของปีนี้มาล่าช้ากว่า
กำหนด ทำให้การเพาะปลูกต้องเลื่อนจากช่วงเวลาปกติ ส่วนการเก็บเกี่ยวข้าวในแคว้นอื่นๆ นั้น คาดว่าจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้ และจะเสร็จสิ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้
ทางด้านการจัดหาข้าวในปีการผลิต 2561/62 (ตุลาคม – กันยายน) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมมาจนถึงวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา สามารถจัดหาข้าวได้ประมาณ 7.7 ล้านตัน ลดลงจากจำนวน 9.96 ล้านตัน ในช่วงเดียวของปีที่ผ่านมา เนื่องจากในปีนี้การเก็บเกี่ยวข้าวล่าช้ากว่ากำหนด
สำหรับการส่งออกข้าวในปีการตลาด 2561/62 นั้น คาดว่าจะส่งออกได้ประมาณ 12.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวน 12.2 ล้านตัน ที่คาดว่าส่งออกได้ในปี 2560/61 ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 มาจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2561 อินเดียส่งออกข้าวแล้วประมาณ 11.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 10.6 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งการส่งออกข้าวยังคงมีทิศทางที่ดีจากการที่ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาข้าวของอินเดียสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร