สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ : ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday March 19, 2019 14:34 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 8 - 14 มีนาคม 2562

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 การตลาด

มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2561/62

มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 เห็นชอบในหลักการมาตรการฯ ด้านการผลิตและการตลาด ทั้งหมด 10 โครงการดังนี้

(1) ด้านการผลิต* ได้แก่

1) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่)

2) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์

3) โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง

4) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแม่นยำสูง (Precision Farming)

5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ

6) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข 43 เพื่อสุขภาพแบบครบวงจร

7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง

หมายเหตุ * ด้านการผลิต เป็นโครงการที่หน่วยงานดำเนินการตามปกติ จึงไม่นำเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณามาตรการฯ

(2) ด้านการตลาด
  • มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 อนุมัติการดำเนินโครงการและวงเงินงบประมาณที่ใช้ช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่

1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว

2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร

3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

  • มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 อนุมัติทบทวนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/61 ตามมติคณะกรรมการนบข. เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561 ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้

(1) กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร ให้ปรับปรุงให้ค่าเก็บรักษาข้าวเปลือก

(2) เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น

(3) ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูงหรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศ เพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพตลอดระยะเวลาโครงการ

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,720 บาท ราคาลดลงจากตันละ 15,874 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,620 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 7,446 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.34

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 34,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,250 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,144 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,965 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,154 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,396 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.87 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 431 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 405 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,773 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,616 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.25 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 157 บาท

ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 398 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,512 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 393 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,395 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.27 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 117 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 405 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,732 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,710 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.50 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 22 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.4380

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

ภาวะราคาข้าวขาว 5% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ที่ตันละ 355 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นจากตันละ 345 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากสัปดาห์ก่อนหน้า และหลังจากที่รัฐบาลมีมาตรการรับซื้อผลผลิตข้าวเพื่อเก็บสต็อกไว้ในช่วงฤดูหนาว โดยบริเวณพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง ผลผลิตข้าวกำลังออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ขณะที่ความต้องการข้าวจากต่างประเทศเริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบเอเชีย เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และจีน อีกทั้งภาคเอกชนได้เรียกร้องให้ธนาคารชาติของเวียดนาม (The State Bank of Vietnam; SBV) สั่งการให้ธนาคารเอกชนสนับสนุนด้านสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจข้าวของเวียดนาม โดยเฉพาะในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้มีเงินทุนในการประกอบธุรกิจ และรับซื้อข้าวเพื่อเก็บสต็อกไว้ ตามโครงการของรัฐบาล เพื่อลดอุปสรรคต่างๆ และให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่อง สามารถเข้าถึงเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น

กรมศุลกากรเวียดนาม (the General Department of Vietnam Customs) รายงานว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 274,765 ตัน หรือลดลงร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 711,759 ตัน หรือลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the General Statistics Office) รายงานว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่าเวียดนามจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 350,000 ตัน มูลค่า 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวได้แล้วประมาณ 788,000 ตัน หรือลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกปริมาณ 828,600 ตัน มูลค่าประมาณ 355 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลงร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีการประชุมประเมินผลผลิตและการบริโภคข้าวในเวียดนาม ณ จังหวัดด่งท้าป (Dong Thap) ซึ่งเป็นการประชุมหารือร่วมกันของกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท (The Ministry of Agriculture and Rural Development) กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (The Ministry of Industry and Trade) ธนาคารแห่งประเทศเวียดนาม (The State Bank of Vietnam) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2562 ตลาดข้าวเวียดนามจะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong Delta)

โดยนาย Nguyen Ngoc Nam ประธานสมาคมอาหารเวียดนาม (the Vietnam Food Association: VFA) คาดการณ์ว่าในปี 2562 เวียดนามจะส่งออกข้าวปริมาณ 6 ล้านตัน เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และเวียดนามยังคงมุ่งเน้นการส่งออกข้าวไปยังตลาดเอเชียเป็นหลัก โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2562 เวียดนามส่งออกข้าวกว่า 491,000 ตัน และในไตรมาสที่ 2 สัญญาณการส่งออกข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากข้าวเวียดนามสามารถแข่งขันด้านราคาได้ ประกอบกับประเทศต่างๆ มีความต้องการข้าวที่เพิ่มขึ้น เช่น จีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยเฉพาะจีน คาดว่าจะมีการนำเข้าข้าว 5.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 200,000 ตัน โดยครึ่งหนึ่งเป็นการนำเข้าภายใต้รัฐวิสาหกิจ และอีกครึ่งหนึ่งเป็นการนำเข้าของภาคเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเข้าจาก เวียดนาม ไทย กัมพูชา และพม่า โดยนาย Nguyen Ngoc Nam กล่าวต่อว่า จีนยังคงต้องการซื้อข้าวจากเวียดนาม แต่คาดว่าจะซื้อในปริมาณที่ลดลง และคาดการณ์ว่าในปี 2562 อินโดนีเซียจะนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น 800,000 ตัน จากในปีที่ผ่านมาที่นำเข้า 2.15 ล้านตัน โดยอินโดนีเซียจะเริ่มมีการนำเข้าข้าวในเดือนกรกฎาคม และคาดว่าตลาดฟิลิปปินส์จะมีการนำเข้าข้าวประมาณ 2.3 ล้านตัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการส่งออกข้าวของเวียดนาม ประกอบกับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้ออกกฎหมายอนุญาตให้บริษัทเอกชนสามารถนำเข้าข้าวโดยไม่จำกัดปริมาณ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเอกชนของฟิลิปปินส์ จำนวน 180 ราย ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อขอนำเข้าข้าวปริมาณรวม 1.2 ล้านตัน จึงแสดงให้เห็นว่า ตลาดฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ยังคาดว่าตลาดมาเลเซียจะนำเข้าข้าวปริมาณ 950,000 ตัน อีกด้วย

ทางด้านนาง Bui Thi Thanh Tam ประธานกรรมการบริษัท Northern Food Corporation หรือ Vinafood 1 กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามข้อตกลงซื้อข้าวจากประเทศคู่ค้า และอยู่ระหว่างเจรจาซื้อข้าวกับผู้นำเข้าข้าวรายอื่นๆ ของเวียดนาม ส่วนนาย Le Minh Hoan เลขาธิการจังหวัดด่งท้าป (Dong Thap) กล่าวในการประชุมว่า จะต้องมีการแก้ไขอุปสรรคของการปลูกข้าวในด้านกระบวนการผลิต ระบบสินเชื่อ การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยโดยการจัดทำแผนระยะยาว เพื่อให้เกิดการพัฒนาการผลิตและส่งออกข้าวของเวียดนามอย่างยั่งยืน และกล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้สั่งการให้กระทรวงต่างๆ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาปริมาณข้าวที่มากเกินความต้องการของตลาด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร และการรวมกลุ่มกันผลิตข้าวเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการแยกกันผลิต ทำให้เกิดเสถียรภาพในการผลิตข้าว ลดแรงกดดันต่อเกษตรกร และลดความจำเป็นของภาครัฐในการเข้าช่วยเหลือเกษตรกร เนื่องจากการรวมกลุ่มผลิตข้าวจะสามารถช่วยลดต้นทุน ทำให้เกษตรกรได้รับผลกำไรเพิ่มขึ้น

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

กัมพูชา

สำนักงานบริการด้านการส่งออกข้าวของกัมพูชา (Secretariat of One Window Service for Rice Export Formality; SOWS-REF) รายงานว่าในช่วง 2 เดือนแรกของปี กัมพูชาส่งออกข้าวไปแล้วประมาณ 112,486 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยประเทศจีนยังคงเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด โดยช่วง 2 เดือนแรก กัมพูชาส่งข้าวไปประเทศจีนประมาณ 43,452 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งกัมพูชาส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 38.6 ของการส่งออกข้าวทั้งหมดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรปนั้น กลับมีปริมาณลดลงเหลือเพียง 33,969 ตัน ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งลดลงประมาณร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา หลังจากที่สหภาพยุโรปประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าข้าวจากกัมพูชาซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้ในปี2561 มีการส่งออกข้าวจำนวน 626,225 ตัน ลดลงร้อยละ 1.48 เมื่อเทียบกับจำนวน 635,679 ตัน ในปี2560 โดยส่งออกข้าวหอมทุกชนิด (Fragrant Rice) จำนวนรวม 493,597 ตัน (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 79 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.27 เมื่อเทียบกับจำนวน 394,027 ตัน ในปี2560 ส่วนการส่งออกข้าวขาว (White Rice) มีจำนวน 105,990 ตัน (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 17 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด) ลดลงร้อยละ 32.34 เมื่อเทียบกับจำนวน 156,654 ตัน ในปี2560 และข้าวนึ่ง (Parboiled Rice) จำนวน 26,638 ตัน (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 4 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด) ลดลงร้อยละ 68.66 เมื่อเทียบกับจำนวน 84,998 ตัน ในปี 2560

สำหรับตลาดส่งออกที่สำคัญ ในปี2561 ประกอบด้วยตลาดสหภาพยุโรปจำนวน 269,127 ตัน (คิดเป็น สัดส่วนประมาณร้อยละ 43 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด) ลดลงร้อยละ 2.77 เมื่อเทียบกับจำนวน 276,805 ตัน ในปี2560 ตามด้วยตลาดอาเซียนจำนวน 102,946 ตัน (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 16 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด) เพิ่มขึ้นร้อยละ 100.58 เมื่อเทียบกับจำนวน 51,325 ตัน ในปี2560 ตลาดจีนจำนวน 170,154 ตัน (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 27 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด) ลดลงร้อยละ 14.86 เมื่อเทียบกับจำนวน 199,857 ตัน ในปี2560 และตลาดอื่นๆ จำนวน 83,998 ตัน (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 13 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด) ลดลงร้อยละ 22.0 เมื่อเทียบกับจำนวน 107,692 ตัน ในปี2560

โดยในปี2561 กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนมากเป็นอันดับ 1 จำนวนประมาณ 170,154 ตัน ลดลงประมาณ 14.9% เมื่อเทียบกับจำนวน 199,857 ตัน ในปี2560 ตามด้วยประเทศฝรั่งเศส 86,050 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 เมื่อเทียบกับจำนวน 77,363 ตัน ในปี2560 มาเลเซีย 40,861 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับจำนวน 38,360 ตัน ในปี2560 โปแลนด์ 23,142 ตัน ลดลงร้อยละ 47.4 เมื่อเทียบกับจำนวน 44,023 ตัน ในปี2560 เนเธอร์แลนด์26,714 ตัน ลดลงร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับจำนวน 27,175 ตัน ในปี2560 สหราชอาณาจักร 18,178 ตัน ลดลง 32.1% เมื่อเทียบกับจำนวน 26,775 ตัน ในปี2560 กาบอง 33,060 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.0 เมื่อเทียบกับจำนวน 24,677 ตัน ในปี2560 ส่วนประเทศอื่นๆ ที่กัมพูชาส่งออก ในปี2561 เช่น เวียดนาม 26,712 ตัน ไทย 23,816 ตัน เป็นต้น

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

เมียนมา

สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation; MRF) ระบุว่าการส่งออกข้าวในปีนี้ จะมีอุปสรรค มากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากการส่งออกข้าวไปประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดมีแนวโน้มลดลง และอาจจะทำให้การส่งออกข้าวในปีงบประมาณ 2560/62 ไม่เป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ที่ 2.5 ล้านตัน (ภายในปี 2563/64 เมียนมาตั้งเป้าส่งออกที่ 4 ล้านตัน มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ทั้งนี้ในระหว่างการประชุมสองฝ่ายระหว่างหน่วยงานของทั้งสองประเทศ (the Second China Myanmar Economic Corridor Forum) ที่มณฑลยูนนานของจีน เมื่อเดือนที่ผ่านมาผู้แทนเจรจาของรัฐบาลเมียนมา ได้ขอให้รัฐบาลจีนเพิ่มโควตานำเข้าข้าวจากเดิมปีละ 100,000 ตัน เป็น 400,000 ตัน ซึ่งได้มีการร่างข้อตกลงไว้แล้ว แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่เปิดเผยออกมา นอกจากนี้ทางการเมียนมายังต้องการให้ทางการจีนปรับลดภาษีนำเข้าข้าวจากเมียนมา ลงจากเดิมที่ประมาณร้อยละ 60 เหลือเพียงร้อยละ 17-20 รวมทั้งขอให้มีการจัดสรรใบอนุญาตนำเข้า ให้แก่เอกชนของจีนเพื่อนำเข้าข้าวจากเมียนมาด้วย

สหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) รายงานว่า ในปีงบประมาณปัจจุบัน (2561/62 ระหว่าง 1 เมษายน 2561 –31 มีนาคม 2562) ช่วงตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 - 15 กุมภาพันธ์ 2562 เมียนมาส่งออกข้าวสารและข้าวหักรวมแล้ว ประมาณ 2.114 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการส่งออกผ่านทางแนวชายแดนที่ติดกับประเทศจีน ประมาณ 1.076 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 360 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และส่งออกทางเรือประมาณ 1.038 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ในปีงบประมาณ 2560/61 เมียนมาส่งออกข้าวสารประมาณ 2.89 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 1.11 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และข้าวหักประมาณ 620,696 ตัน)

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ (the Ministry of Commerce) รายงานว่า ในช่วง 9 เดือนแรก (เมษายน- ธันวาคม 2561) ของปีงบประมาณปัจจุบัน (2561/62) เมียนมาส่งออกข้าวสารและข้าวหักรวมกันประมาณ 1.7 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 578 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการส่งออกไปประเทศจีนทางแนวชายในสัดส่วนประมาณร้อยละ 48 ของปริมาณทั้งหมด ขณะที่อีกร้อยละ 52 เป็นการส่งไปยังประเทศอื่นๆ ทางทะเล โดยปริมาณส่งออกในปีล่าสุด ลดลงเกือบ 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับจำนวน 2.5 ล้านตัน มูลค่า 780 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากการนำเข้าข้าวจากประเทศจีนลดลง โดยในปีนี้รัฐบาลได้ร่วมมือกับสหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation) ในการผลักดันการส่งออกโดยการปรับปรุงด้านการผลิต คุณภาพ ข้อมูลด้านการตลาด การวิจัย รวมทั้งการเชื่อมโยงไปยังตลาดนำเข้าใหม่ๆ ด้วย

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ