สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 22 - 28 มีนาคม 2562
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 เห็นชอบในหลักการมาตรการฯ ด้านการผลิตและการตลาด ทั้งหมด 10 โครงการดังนี้
1) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่)
2) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
3) โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง
4) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแม่นยำสูง (Precision Farming)
5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ
6) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข 43 เพื่อสุขภาพแบบครบวงจร
7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง
หมายเหตุ * ด้านการผลิต เป็นโครงการที่หน่วยงานดำเนินการตามปกติ จึงไม่นำเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณามาตรการฯ
- มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 อนุมัติการดำเนินโครงการและวงเงินงบประมาณที่ใช้ช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก
- มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 อนุมัติทบทวนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/61 ตามมติคณะกรรมการ นบข. เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561 ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้
(1) กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร ให้ปรับปรุงให้ค่าเก็บรักษาข้าวเปลือก ตันละ 500 บาท ปรับเป็น “ให้เกษตรกรได้รับตันละ 1,000 บาท และสหกรณ์ได้รับตันละ 500 บาท”
(2) เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น
(3) ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูงหรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศ เพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพตลอดระยะเวลาโครงการ
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,641 บาท ราคาลดลงจากตันละ 15,694 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.34
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,654 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 7,616 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.49
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 34,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,450 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,410 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,141 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,873 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,142 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,887 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 14 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 411 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,916 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 408 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,821 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.73 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 95 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,670 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,570 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.75 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 100 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 414 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,016 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 411 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,916 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.72 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 100 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.4398
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ข้าวเป็นสินค้าสำคัญสำหรับการดำรงชีพของชาวบรูไน แต่ด้วยปริมาณการบริโภคในประเทศที่เกินศักยภาพการผลิต ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ เห็นได้จากในปี 2559 บรูไนเพาะปลูกข้าวเพียงร้อยละ 4.5 ของการบริโภค
ในประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลมีแนวคิดส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวในประเทศ เพื่อการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร โดยตั้งเป้าเพิ่มผลผลิตให้ได้ร้อยละ 20 ในปี 2563 ปัจจุบัน บรูไนนำเข้าข้าวจากทั้งไทยและกัมพูชาซึ่งการนำเข้าข้าวจากไทยมีมานานกว่า 10 ปี ที่ผ่านมาภาคเอกชนผู้ส่งออกข้าว และหน่วยงานทางการเกษตรของไทย ให้ความช่วยเหลือด้านการเพาะปลูกข้าวและทำการปศุสัตว์ โดยให้ข้อแนะนำเรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าว การจัดการน้ำ และพัฒนาดินแก่บรูไน ซึ่งนับว่าเป็นการช่วยรักษาตลาดข้าวของไทย ให้ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคบรูไน ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในภูมิภาค และแสดงถึงไมตรีจิตในฐานะมิตรประเทศในอาเซียนที่จะส่งผลดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างบรูไนและไทยต่อไปในอนาคต จากความช่วยเหลือที่ผ่านมา บรูไนจึงมีความประสงค์ที่จะร่วมมือกับไทยต่อไปเพื่อเพิ่มผลผลิต โดยได้จัดตั้ง “โครงการ Kandol” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการจำแนกพื้นที่การเกษตรที่เหมาะสม สำหรับการทำนาข้าวเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ จากการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยละเอียดเมื่อปี 2554 พบว่า มีพื้นที่เหมาะสมสำหรับการทำนาทั้งหมด 500 เฮกตาร์ เนื่องจากดินมีความอุดมสมบูรณ์ ลักษณะเป็นดินตะกอนเกิดจากการทับถมจากแม่น้ำ 3 สายมีระบบจัดส่งน้ำ ระบบไฟฟ้า และถนนตัดสู่ถนนใหญ่ในระยะทาง 10 กิโลเมตร
รัฐบาลบรูไนจึงมีแผนลงทุนเตรียมพื้นที่ทั้งหมด จากเดิมซึ่งเป็นป่าไม้ให้เป็นที่ราบ ทำการก่อสร้างถนน รวมถึงระบบระบายน้ำและคันนา โดยมอบหมายให้บริษัท Darussaiam Assets ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนของรัฐบาลบรูไน ภายใต้กระทรวงการคลังและเศรษฐกิจ จัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ PaddyCo เพื่อพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าว และประสงค์จะแสวงหาพันธมิตรร่วมลงทุน (Technical Partner) เพื่อทำหน้าที่บริหารพื้นที่การเกษตรร่วมกับ Darussaiam Assets ในการให้คำปรึกษาทางวิชาการ ออกแบบจัดเตรียมพื้นที่เพาะปลูก รวมถึงเพาะปลูกข้าว และผลิตข้าวให้มีปริมาณตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรพื้นฐานและการท่องเที่ยวบรูไน ได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนไทยมาร่วมลงทุนในบรูไน โดยเฉพาะในด้านการเกษตรและการเพาะปลูกข้าว เนื่องจากบรูไนยังไม่มีความเชี่ยวชาญทางการเกษตร ต้องการหาหุ้นส่วนที่มีศักยภาพ ซึ่งรัฐบาลบรูไนพร้อมจะให้สัมปทานที่ดินกับบริษัทที่สนใจ โดยเอกชนสามารถร่วมหุ้นกับ Darussaiam Assets เพื่อปลูกข้าว ซึ่งหากมีภาคเอกชนไทยที่สนใจจะลงทุนด้านการเกษตรในพื้นที่โครงการ ทางบรูไนยินดีที่จะสนับสนุนเพื่อสร้างความร่วมมือต่อไป
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจบรูไน แจ้งว่า ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนจากเวียดนามและกัมพูชาให้ความสนใจในโครงการดังกล่าว แต่เนื่องจากไทยเป็นประเทศชั้นนำทางการเกษตรและมีความชำนาญ ตลอดจนมีความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกัน ประกอบกับไทยให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรหลายด้าน จึงประสงค์ที่จะเชิญผู้ประกอบการด้านการเกษตรไทยเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ ข้างต้น ซึ่งถือเป็นโอกาสของภาคธุรกิจการเกษตรของไทย ที่จะมีความร่วมมือกับบรูไนทั้งในเชิงธุรกิจ และการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารของบรูไนต่อไป
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
สหพันธ์ข้าวเมียนมาร์ (The Myanmar Rice Federation; MRF) เรียกร้องให้รัฐบาลอำนวยความสะดวกในการทำข้อตกลงที่จะเพิ่มโควตาการส่งออกข้าวอย่างเป็นทางการไปยังประเทศจีน โดยขอให้รัฐบาลเร่งเจรจาเพื่อเพิ่มจำนวนโควตาข้าวของเมียนมาร์ที่จะส่งไปยังประเทศจีนในปริมาณมากขึ้นจากเดิมที่ได้โควตาปีละ 100,000 ตัน (ลงนามไว้เมื่อปี 2559) เป็น 400,000 ตัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนทางแนวชายแดนมีปัญหาค่อนข้างมาก และมีความไม่แน่นนอน ขณะที่บางส่วนต้องยอมส่งออกข้าวอย่างผิดกฎหมาย เพราะมีโควตาไม่เพียงพอมีรายงานว่า ทางการจีนระงับการนำเข้าข้าวหักจากประเทศเมียนมาร์ที่ผ่านแนวชายแดน ขณะที่ข้อเท็จจริงคือใบอนุญาตส่งออกข้าวสามารถแบ่งออกเป็นใบอนุญาตข้าวหัก ใบอนุญาตข้าวเมล็ดยาว และใบอนุญาตข้าวเมล็ดสั้นทั้งนี้ ทางการจีนอนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวผ่านแนวชายแดน แต่ผู้ค้าข้าวเมียนมาร์ส่งออกข้าวภายใต้รายการข้าวหักซึ่งจะเสียภาษี (the export tax) ในอัตราเพียงร้อยละ 5 (สำหรับข้าวหัก) ขณะที่อัตราภาษีของข้าวสารอยู่ที่ร้อยละ50-60 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ผู้ค้าข้าวอาศัยความแตกต่างของอัตราภาษีของข้าวทั้งสองชนิด โดยแจ้งว่าเป็นการส่งออกข้าวหักแทนที่จะเป็นข้าวสาร ดังนั้น ทางการจีนจึงระงับการนำเข้าข้าวหักในช่วงนี้เพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว จึงอนุญาตให้นำเข้าได้เฉพาะข้าวสารเท่านั้น โดยต้องแจ้งให้ถูกต้อง เช่น ข้าวเมล็ดยาวก็ต้องแจ้งว่าเป็นข้าวเมล็ดยาวเท่านั้น จะแจ้งเป็นข้าวชนิดอื่นไม่ได้
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ทางการปากีสถานระบุว่า จากการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศจีน ในปีงบประมาณ 2561/62 (1 กรกฎาคม 2561-30 มิถุนายน 2562) ปากีสถานจะส่งออกข้าวจำนวน 350,000 ตัน ไปยังประเทศจีน ซึ่งข้อตกลงนี้แยกออกจากความตกลงเขตการค้าเสรี (the Free Trade Agreement; FTA) ของทั้งสองประเทศทั้งนี้ ตามข้อตกลงทางการค้าของสองฝ่าย ปากีสถานสามารถที่จะส่งออกน้ำตาล ข้าว และเส้นด้ายไปยัง ประเทศจีน โดยให้สิทธิ์แก่ผู้ที่มายื่นขอก่อน ซึ่งปากีสถานเรียกร้องมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยขอให้จีนให้สิทธิพิเศษ ในการนำเข้าผลิตภัณฑ์บางอย่างจากปากีสถาน ซึ่งจีนเคยให้แก่ประเทศบังคลาเทศ เวียดนาม อินเดีย และกลุ่มประเทศอาเซียนแล้วคาดว่าทั้งสองประเทศจะสามารถสรุปผลการเจรจาเขตการค้าเสรีได้ ในวันที่ 2 เมษายนนี้ ระหว่างการเดินทางเยือนของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีน
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร