สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 7 - 13 มิถุนายน 2562
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และ รอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ ได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/ เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,789 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,780 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.06
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,809 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,826 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 33,850 บาท ราคาลดลงจากตันละ 33,900 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.15
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,650 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,142 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,445 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,153 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,990 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.95 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 545 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 417 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,943 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 415 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,954 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.48 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 11 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 409 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,694 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 406 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,673 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.74 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 21 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 420 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,036 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 418 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,048 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.48 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 12 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0378
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ภาวะราคาข้าวขาว 5% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ระดับ 350-360 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 350 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน เนื่องจากผลผลิตข้าวจากฤดูการผลิตฤดูหนาว (the winterspring)
มีจำนวนลดน้อยลง ขณะที่ราคาข้าวของฤดูการผลิตฤดูร้อน (the summer-autumn) ที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว อยู่ในภาวะทรงตัว โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ซื้อจากฟิลิปปินส์ได้ซื้อข้าวจากฤดูการผลิตฤดูหนาวเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก
มีคุณภาพดีกว่าข้าวจากฤดูการผลิตฤดูร้อน อย่างไรก็ตาม วงการค้าข้าวคาดว่าการส่งออกข้าวของเวียดนามจะกลับมาอยู่ในระดับปานกลางในช่วงเวลาที่เหลือของเดือนนี้ วงการค้าข้าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 1-31 พฤษภาคม 2562 เวียดนามส่งออกข้าว จำนวน 666,400 ตัน โดยเป็นข้าวขาว 5% จำนวน 333,700 ตัน ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the General Statistics Office; GSO) รายงานว่า ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คาดว่าเวียดนามส่งออกข้าวได้ ประมาณ 700,000 ตัน ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าส่งออกคาดว่าอยู่ที่ ประมาณ 297 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) คาดว่ามีการส่งออกข้าวประมาณ 2.79 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 1.19 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่า ลดลงร้อยละ 5 และร้อยละ 20 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า เมื่อเดือนเมษายน 2562 เวียดนามส่งออกข้าว 741,044 ตัน ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2562 ที่ส่งออกจำนวน 726,480 ตัน โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ชนิดข้าวที่เวียดนามส่งออก ประกอบด้วย ข้าวขาว 5% จำนวน 425,099 ตัน ข้าวขาว 10% จำนวน 10,843 ตัน ข้าวขาว 15% จำนวน 29,903 ตัน ข้าวขาว 25% จำนวน 7,790 ตัน ปลายข้าวขาว จำนวน 5,040 ตัน ข้าวเหนียว จำนวน 64,852 ตัน ข้าวหอม จำนวน 161,642 ตัน และข้าวอื่นๆ จำนวน 35,875 ตัน โดยส่งไปยังตลาดในภูมิภาคต่างๆ ประกอบด้วย ตลาดเอเชีย จำนวน 582,627 ตัน ตลาดแอฟริกา จำนวน 81,845 ตัน ตลาดยุโรปและกลุ่ม CIS จำนวน 9,706 ตัน ตลาดอเมริกา จำนวน 60,398 ตัน และตลาดออสเตรเลีย จำนวน 6,468 ตัน
ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 (มกราคม-เมษายน) เวียดนามส่งออกข้าวรวม 2,224,617 ตัน ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับ จำนวน 2,434,735 ตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยชนิดข้าวที่เวียดนามส่งออก ประกอบด้วย ข้าวขาว 5% จำนวน 1,077,381 ตัน ข้าวขาว 10% จำนวน 12,175 ตัน ข้าวขาว 15% จำนวน 60,332 ตัน ข้าวขาว 25% จำนวน 110,642 ตัน ปลายข้าวขาว จำนวน 11,712 ตัน ข้าวเหนียว จำนวน 138,726 ตัน ข้าวหอม จำนวน 735,971 ตัน และข้าวอื่นๆ จำนวน 77,678 ตัน โดยส่งไปยังตลาดในภูมิภาคต่างๆ ประกอบด้วย ตลาดเอเชีย จำนวน 1,651,532 ตัน ตลาดแอฟริกา จำนวน 331,586 ตัน ตลาดยุโรปและกลุ่ม CIS จำนวน 31,372 ตัน ตลาดอเมริกา จำนวน 188,433 ตัน และตลาดออสเตรเลีย จำนวน 21,694 ตัน
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
มีรายงานว่า นักวิจัยด้านการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวของจีน เตรียมขยายพื้นที่เพื่อทดสอบสายพันธุ์ข้าวที่สามารถปลูกในน้ำทะเลได้ โดยจะขยายพื้นที่การทดลองจาก 6.67 ตารางกิโลเมตร เป็น 13.34 ตารางกิโลเมตร หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่า ภายในปีนี้ โดยจีนเริ่มทดลองปลูกข้าวในน้ำทะเลมาตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์พิเศษที่สามารถปลูกได้ในพื้นที่ที่น้ำทะเลท่วมถึง รวมทั้งพื้นที่ดินเค็มที่สภาพเป็นด่าง
ปัจจุบัน จีนทดสอบปลูกข้าวในน้ำทะเล ที่พื้นที่ดินเค็มสภาพเป็นด่าง 5 แบบ ในหลายเมือง อาทิ เขตปกครองตนเองซินเจียง อุยกูร์ และมณฑลส่านซี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเฮย์หลงเจียง ส่วนทางภาคตะวันออก
ที่มณฑลชานตง และมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งในปีนี้ นักวิจัยคาดหวังว่าจะเพิ่มผลผลิตให้ได้มากกว่า 300 กิโลกรัมต่อ 667 ตารางเมตร โดยข้าวบางสายพันธุ์อาจให้ผลผลิตได้มากถึง 500 กิโลกรัมต่อ 667 ตารางเมตร
ขณะที่ นายหยวน หลงผิง (Yuan Longping) นักวิชาการสถาบันวิศวกรรมจีน เปิดเผยว่า ทีมวิจัยของเขาเริ่มทำงานวิจัยการคัดเลือกสายพันธุ์ข้าวน้ำทะเลมาตั้งแต่ปี 2555 โดยมีการจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ข้าว และคัดเลือกข้าวที่ทนต่อสภาพดินเค็มด่างได้สูง ซึ่งมีการใช้เทคนิคหลากหลาย อาทิ ข้าวลูกผสม นอกจากนี้ ยังมีปัจจัย 4 ข้อสำคัญที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คือ สายพันธุ์ข้าวที่ดี วิธีการปลูก สภาพพื้นที่ และระบบนิเวศวิทยา
ขณะเดียวกัน นายหยวน เปิดเผยว่า จีนมีพื้นที่ที่มีสภาพดินเค็มด่างมากกว่า 667,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งทิ้งร้างไว้และไม่ได้ใช้ประโยชน์จำนวนพื้นที่กว่า 66,700 ตารางกิโลเมตร ที่มีแหล่งน้ำสำหรับปลูกข้าวได้ โดยจีนวางแผนที่จะปลูกข้าวน้ำทะเลในพื้นที่เหล่านี้ให้ได้ภายใน 8 ปี ซึ่งจะสามารถเลี้ยงประชากรได้ราว 80-100 ล้านคน และการพัฒนาวิธีการใหม่นี้ เป็นการหาหลักประกันความมั่นคงทางอาหารของประเทศด้วย
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ภาวะราคาข้าวในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวสูงขึ้น โดยข้าวนึ่ง 5% ราคาอยู่ที่ 366-369 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้น 2 เหรียญสหรัฐฯ จากระดับ 364-367 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากค่าเงินรูปีแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 สัปดาห์ ซึ่งกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกที่ได้ส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง ท่ามกลางภาวะความต้องการข้าวจากต่างประเทศที่ลดลง เนื่องจากผู้ซื้อยังลังเลที่จะซื้อข้าวในระดับราคานี้
กระทรวงเกษตร (the Agriculture Ministry) รายงานผลการพยากรณ์ผลผลิตธัญพืช ครั้งที่ 3 (Third Advance Estimate of Food Grain Production) สำหรับปีการผลิต 2561/62 (กรกฎาคม 2561-มิถุนายน 2562) โดยคาดว่าจะมีผลผลิตข้าวประมาณ 115.63 ล้านตันข้าวสาร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับจำนวน 112.76 ล้านตัน ในปี2560/61 และยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปีที่ 107.8 ล้านตันด้วย ทั้งนี้ คาดว่าในฤดูการผลิต Kharif ของปี 2561/62 (มิถุนายน-ธันวาคม) จะมีผลผลิตข้าวประมาณ 101.76 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับจำนวน 97.14 ล้านตัน ในปี 2560/61 และในฤดูการผลิต Rabi ของปี 2561/62 (พฤศจิกายน-พฤษภาคม) จะมีผลผลิตข้าวประมาณ 13.88 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับจำนวน 15.62 ล้านตัน ในปี 2560/61 ผู้ส่งออกข้าวอินเดียคาดการณ์ว่า ในปี 2562 ชาวนาอินเดียจะกลับไปปลูกข้าวบาสมาติเพิ่มขึ้น หลังจากที่เปลี่ยนไปปลูกข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติ (Non-Basmati) เมื่อปีที่แล้ว จากการที่รัฐบาลสนับสนุนให้ส่งออก เนื่องจากตลาดข้าวบาสมาติชะลอตัว โดยในปี 2562 ผู้ส่งออกมองเห็นสัญญาณที่ดีจากตลาดตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอิหร่านที่จะนำเข้าข้าวบาสมาติมากขึ้น ขณะที่ข้าวคงค้างในสต็อกมีไม่มาก คาดว่าปริมาณการผลิตข้าวในช่วงฤดูฝนของอินเดียที่กำลังจะมาถึงน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20
ทั้งนี้ อิหร่านนับเป็นตัวแปรสำคัญที่บ่งชี้แนวโน้มตลาดข้าวบาสมาติ โดย 1 ใน 3 ของข้าวบาสมาติที่อินเดียส่งออกจะถูกนำเข้าโดยตัวแทนนำเข้าในสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ และอิหร่าน เพื่อกระจายสินค้าต่อไปในตะวันออกกลาง
ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว อินเดียส่งข้าวบาสมาติไปตะวันออกลางเพิ่มขึ้นแต่ก็ต้องประสบกับประเด็นเรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยของซาอุดิอาระเบีย และความล่าช้าในการชำระเงินของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม ในปีนี้สมาคมผู้ส่งออกข้าวของอินเดีย(All India Rice Exporters Association; AIREA) คาดว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายลง โดยเฉพาะการทำบันทึกความเข้าใจ (MoU) ระหว่างอินเดียและอิหร่าน ที่ทำให้อินเดียสามารถชำระเงินค่าน้ำมันดิบให้กับบริษัทของรัฐอิหร่านด้วยเงินสกุลรูปีได้ ส่งผลให้อิหร่านนำเงินที่ได้มาไปหักยอดค้างชำระค่าข้าว ยา และเวชภัณฑ์ที่รัฐบาลนำเข้าจากอินเดีย ผู้แทนของสมาคม ผู้ส่งออกข้าวของอินเดีย จึงตั้งข้อสังเกตว่าปริมาณการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านจะช่วยกระตุ้นการส่งออกข้าวและสินค้าอื่นๆ จากอินเดียได้ ซึ่งอินเดียควรหาทางใช้กลยุทธ์การค้าต่างตอบแทน และหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการส่งออกข้าวไปยังอิหร่าน ซึ่งอิหร่านมักจะนำเข้าข้าวในช่วงสิ้นปีภายหลังจากฤดูการเก็บเกี่ยวของตนแล้ว
จากแนวโน้มการนำเข้าข้าวของอิหร่าน ประกอบกับปริมาณข้าวที่มีอยู่ทำให้คาดกันว่าในปี 2562 พื้นที่ปลูกข้าวบาสมาติในอินเดียจะเพิ่มขึ้น อาทิ ในรัฐปัญจาบน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20-25 และทำให้ชาวนามีรายได้มากขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้ชาวนาในรัฐต่างๆ หันมาปลูกข้าวบาสมาติมากขึ้นด้วย หลังจากที่ปีที่แล้วปริมาณผลผลิตข้าวบาสมาติของอินเดียลดลงร้อยละ 5 จากการที่ชาวนาหันไปปลูกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ (Non-Basmati) ตามการสนับสนุนของรัฐบาลในช่วงนั้นที่จะรับมือกับตลาดนำเข้าข้าวบาสมาติที่ชะลอตัวจากการค้างชำระเงินของอิหร่าน รวมถึงการที่สหภาพยุโรปบังคับใช้กฎระเบียบด้านสารตกค้าง ทำให้สหภาพยุโรปนำเข้าข้าวลดลงถึงร้อยละ 50 ในปี 2561-2562 อินเดียส่งออกข้าวบาสมาติ จำนวน 4.415 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ส่งออก จำนวน 4.056 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 10 และคิดเป็นร้อยละ 85 ของการส่งออกข้าวบาสมาติในตลาดโลก โดยที่อินเดียกำลังพยายามกระจายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น และในระยะยาว คาดว่าหากอินเดียจะสามารถพัฒนาด้านมาตรฐานด้านสารตกค้างได้ และทำให้การส่งออกไปอาหรับ และสหภาพยุโรปขยายตัวต่อเนื่อง
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร