สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 6, 2019 15:43 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 25 - 31 ตุลาคม 2562

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63

มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข. ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562

การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่

1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และ รอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่

1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน

1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา

1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565 (3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ ได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1

มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้

2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้

ชนิดข้าว                               ราคาประกันรายได้        ครัวเรือนละไม่เกิน
                                           (บาท/ตัน)                  (ตัน)
ข้าวเปลือกหอมมะลิ                               15,000                    14
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่                         14,000                    16
ข้าวเปลือกเจ้า                                  10,000                    30
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี                            11,000                    25
ข้าวเปลือกเหนียว                                12,000                    16

กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุด และได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด

2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563

2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ

2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ จะประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงทุกๆ 15 วัน จนถึงวันสิ้นสุดการใช้สิทธิตามโครงการประกันรายได้ฯ โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562

3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63

มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้

3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่

3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 16,270 บาท ราคาลดลงจากตันละ 16,424 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.94

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,901 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,947 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.59

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 36,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,350 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,216 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,418 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,214 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,437 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.16 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 19 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 424 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,698 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 423 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,696 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 2 บาท

ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 418 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,519 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 417 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,516 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 3 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 418 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,519 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 417 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,516 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 3 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 29.9492

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับสูงขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 4 เดือนครึ่ง เนื่องจากมีความต้องการจากประเทศในแถบแอฟริกา และคิวบา ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดมีปริมาณจำกัด โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 350-355 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากตันละ 350 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (โดยก่อนหน้านี้ราคาปรับลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 12 ปี อยู่ที่ตันละ 325 ดอลลาร์สหรัฐฯ) กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามเปิดเผยว่า เวียดนามกำลังริเริ่มการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี(Free Trade Agreement: FTA) ระหว่างเวียดนามกับสหราชอาณาจักร เพื่อขยายการค้าและการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งนี้ คาดว่าการเจรจาต่อรองอาจจะเริ่มในปีหน้า หากสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปในสิ้นเดือนนี้ตามแผนที่วางไว้

นาย Tran Ngoc An เอกอัครราชทูตเวียดนาม ณ สหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า นักลงทุนชาวอังกฤษมองว่าเวียดนามเป็นหนึ่งในปลายทางที่น่าสนใจที่สุดสำหรับธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และสหราชอาณาจักรทำงานร่วมกับเวียดนามในการส่งเสริมกลไกความร่วมมือทวิภาคีใหม่อย่างเชิงรุก โดยเฉพาะ FTA ทวิภาคีภายหลัง Brexit ทั้งนี้ นาย An เชื่อว่า หาก FTA ระหว่างทั้ง 2 ประเทศเกิดขึ้น การลงทุนจากสหราชอาณาจักรเข้ามาเวียดนาม และมูลค่าการค้า สหราชอาณาจักร-เวียดนามจะเพิ่มขึ้นอย่างมากตามข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม มูลค่าการค้าระหว่างสหราชอาณาจักร-เวียดนาม

เมื่อปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 6.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.50 เมื่อเทียบกับปี 2560 และในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2562 อยู่ที่ 4.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ฟิลิปปินส์

มีรายงานว่า หลังจากที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ปฏิเสธข้อเสนอที่จะใช้มาตรการปกป้อง (safeguard duty) โดยการกำหนดภาษีนำเข้าข้าวจากต่างประเทศสูงขึ้นเพื่อควบคุมการนำเข้าข้าวนั้น รัฐบาลฟิลิปปินส์จะหันมาใช้วิธีการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาราคาข้าวในประเทศตกต่ำแทนทั้งนี้ องค์การอาหารแห่งชาติ (The National Food Authority; NFA) จะรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร เพิ่มขึ้นเป็น 1.14 ล้านตัน จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 389,000 ตัน โดยในขณะนี้ NFA สามารถรับซื้อข้าวได้เกินกว่าเป้าหมายใหม่ที่กำหนดแล้ว

ปัจจุบัน NFA ได้กำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่ 19 เปโซต่อกิโลกรัม (ประมาณตันละ 370 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 17 เปโซต่อกิโลกรัม (ประมาณตันละ 331 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และนำข้าวดังกล่าว ออกจำหน่ายในราคา 23 เปโซต่อกิโลกรัม (ประมาณตันละ 448 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 25 เปโซต่อกิโลกรัม (ประมาณตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ก่อนหน้านี้ กระทรวงเกษตรมีแผนผลักดันให้รัฐบาลใช้มาตรการปกป้องโดยการขึ้นภาษีนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดกับเกษตรกร เนื่องจากการใช้นโยบายเปิดเสรีนำเข้าข้าวของรัฐบาลเมื่อช่วงต้นปี

ที่ผ่านมา ทำให้มีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศเป็นจำนวนกว่า 3 ล้านตัน (ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น) ทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำ โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวถูกคัดค้านโดยหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ

ที่เกี่ยวข้อง (the Economic Planning Secretary) เพราะเกรงว่าการขึ้นภาษีนำเข้าข้าวจะยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศพุ่งสูงขึ้น เพราะราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippine Statistics Agency; PSA) รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ 1 ของเดือนตุลาคม 2562 ราคาข้าวเปลือกและข้าวสารยังคงปรับลดลงจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (ราคาข้าวเคยสูงขึ้นระดับสูงสุด

ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน 2561) โดยราคาข้าวเปลือกเฉลี่ย (The average farm-gate paddy price) อยู่ที่ 15.56 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 304.242 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจาก 15.82 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 307.11 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 28.80 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารเกรดดี (The average wholesale price of the well-milled rice) อยู่ที่ 38.02 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 743.39 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจาก 38.15 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 740.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงร้อยละ 16.40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนราคาขายปลีกข้าวสารเกรดดี (The average retail price of the well-milled rice) อยู่ที่ 42.03 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 820.045 ดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้เคียงกับ 42.03 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 815.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนราคาขายส่งข้าวสารเกรดธรรมดา (The average wholesale price of the regular-milled rice) อยู่ที่ 33.86 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 662.06 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดจาก 34.04 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 660.72 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 20.70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และราคาขายปลีกข้าวสารเกรดธรรมดา (The average retail price of the regular-milled rice) อยู่ที่ 37.53 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 733.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากระดับ 37.63 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 730.51 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และลดลงประมาณร้อยละ 18.30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ในปีการตลาด 2562/63 ฟิลิปปินส์จะมีผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 19.048 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 2 เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก มากขึ้น ขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะมีประมาณ 2.40 ล้านตัน ลดลงจาก 3.10 ล้านตัน ที่คาดว่าจะนำเข้าในปี 2561/62 เพราะหลังจากที่รัฐบาลเปิดเสรีนำเข้าข้าว ทำให้มีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศจำนวนมากในปี 2561/62 ส่งผลให้อุปทานข้าวในประเทศมีมากขึ้น และมีสต็อกคงเหลือจำนวนมาก ทำให้ในปีถัดไปความต้องการนำเข้าข้าวลดลง

กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ร่วมมือกับบริษัทเคมีเกษตรและเมล็ดพันธุ์ของสหรัฐฯ จัดตั้งสถาบันการศึกษาด้านการเกษตรในข้าวและข้าวโพดที่มีผลผลิตตกต่ำในประเทศฟิลิปปินส์

นาย William Dar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้กระทรวงเกษตรและ Corteva Agriscience ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการความร่วมมือโดยมุ่งเน้นด้านสินค้าข้าว ข้าวโพด และ การจัดการหนอนในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทั้งนี้ การใช้ประโยชน์ทางเทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มผลผลิตและกำไรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและข้าวโพด ซึ่งถือเป็นการยกระดับการเกษตรของฟิลิปปินส์ โดยเห็นว่าไม่มีประเทศใดที่จะสามารถแข่งขัน ในตลาดโลกได้ หากปราศจากการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่ต้องเน้นการใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้เกิดผลภายใต้บันทึกความเข้าใจ Corteva ได้วางแผนที่จะสร้าง 80 EduFarms ใน 25 เขตเทศบาล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 50,000 เฮกเตอร์ โดยตั้งเป้าหมายการปรับปรุงผลผลิต 1 ตันต่อเฮกตาร์ ใน 4 ฤดูกาลเพาะปลูกและจัดตั้งฟาร์มเทคโนโลยี 800 แห่ง ภายใน 2 ปี

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวจะให้การฝึกอบรมเกษตรกรจำนวน 25,000 ราย คาดว่าจะสามารถเพิ่มผลผลิตอีก 50,000 ตัน ให้แก่ชาวฟิลิปปินส์บริโภคกว่า 400,000 คน โดยวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าวเพื่อปรับปรุงผลผลิตหลักทางการเกษตรของฟิลิปปินส์คือข้าวและข้าวโพด และช่วยให้เกษตรกรมีกำไรเพิ่มมากขึ้นผ่านการเข้าถึงการศึกษาทางการเกษตร รวมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์และการบริหารจัดการ โดยคาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับประโยชน์ในจังหวัดต่างๆ ได้แก่ Nueva Ecija, Zamboanga del Sur, Pampanga, Lanao del Norte, Bataan, Kalinga, Tarlac, Cagayan, Pangasinan, Bulacan, Nueva Vizcaya, Laguna, Zambales, Quirino, Zambanga Sibugay, Camarines Sur, Negros Occidental, lloilo, Capiz, Antique, Surigao de Sur, Bohol และ Occidental Mindoro ซึ่งแต่ละ EduFarm จะดำเนินการฝึกอบรมตลอดฤดูกาล โดยมุ่งเน้นให้ความรู้แก่เกษตรกรในการเตรียมดินและเมล็ดพันธุ์ การใช้เทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ การใช้เครื่องจักรกลการเกษตร การควบคุมวัชพืชและการจัดการธาตุอาหารที่เหมาะสม การควบคุมแมลงและโรค การเก็บเกี่ยวและการแปรรูป รวมทั้งการตลาดและการจัดการทางการเงิน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรกล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันการกระจายเมล็ดพันธุ์Hybrid และ Inbred จากผลการวิจัยที่เข้มงวด ซึ่งเมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะแจกจ่ายให้กับเกษตรกรซึ่งเป็นการดำเนินการ

ส่วนหนึ่งภายใต้กองทุนเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันข้าว (The Rice Competitiveness Enhancement Fund)ทั้งนี้ ในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียน ความสามารถทางการเกษตรฟิลิปปินส์อยู่ในอันดับที่ 5 เนื่องจากขาดแคลนเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

อินเดีย

ราคาส่งออกข้าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าเงินรูปีแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ความต้องการข้าวจากประเทศในแถบแอฟริกาลดลง เนื่องจากหลายประเทศยังคงมีสต็อกข้าวคงเหลือเพียงพอจึงยังไม่เร่งรีบที่จะนำเข้าในช่วงนี้ โดยข้าวนึ่ง 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 368-372 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2-3 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากตันละ 365-370 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน

ในเดือนกันยายน 2562 อินเดียส่งออกข้าวประมาณ 572,896 ตัน ลดลงร้อยละ 11.1 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่ส่งออกข้าวได้ประมาณ 644,249 ตัน ลดลงร้อยละ 23.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นการส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติประมาณ 367,174 ตัน และสาเหตุที่อินเดียส่งออกข้าวบาสมาติลดลงนั้นเนื่องจากความต้องการข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติจากประเทศในแถบแอฟริกาลดลง เพราะบางส่วนหันไปซื้อข้าวจากประเทศจีนที่มีราคาถูกกว่า ขณะที่วงการค้าคาดว่า ประเทศอิหร่านซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของอินเดียใกล้หยุดซื้อข้าวแล้ว เพราะอีกไม่นานจะเข้าสู่ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตในประเทศ ซึ่งคาดว่าอิหร่านจะกลับมาซื้ออีกครั้งในช่วงหลังเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวในช่วงต้นปีหน้า มีรายงานว่า ผู้ส่งออกข้าวบาสมาติของอินเดียกำลังประสบปัญหาการชำระเงินจากผู้นำเข้าข้าวของอิหร่าน เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการแซงชั่นของสหรัฐฯ โดยประมาณการณ์ว่า ในขณะนี้ผู้ส่งออกยังไม่ได้รับชำระเงินประมาณ 212 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีข้าวที่คิดเป็นมูลค่าประมาณ 71-85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ยังติดอยู่ในท่าเรือหรือโกดัง เนื่องจากปัญหาต่างๆ อีกด้วย

ทั้งนี้ จากมาตรการที่สหรัฐอเมริกาได้คว่ำบาตรประเทศอิหร่าน ทำให้อินเดียต้องดำเนินการค้าขายกับอิหร่านผ่านบัญชีเงินรูปีในธนาคาร UCO ภายใต้กลไกนี้ ฝ่ายอินเดียจะฝากเงินเป็นเงินรูปีเข้าบัญชีของธนาคารอิหร่านเพื่อซื้อ

น้ำมันจากนั้น ฝ่ายอิหร่านก็จะใช้เงินดังกล่าวชำระค่าสินค้าให้กับผู้ส่งออกสินค้าของอินเดีย

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


แท็ก นบข.  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ