สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 13, 2020 14:23 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 3 - 9 มกราคม 2563

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63

มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.)ครั้งที่ 1/2562เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ

ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่

1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่

1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน

1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา

1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map)(9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่

ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565 (3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว (4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62(5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

2)โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1

มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้

2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้

ชนิดข้าว                               ราคาประกันรายได้        ครัวเรือนละไม่เกิน
                                           (บาท/ตัน)                  (ตัน)
ข้าวเปลือกหอมมะลิ                               15,000                    14
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่                         14,000                    16
ข้าวเปลือกเจ้า                                  10,000                    30
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี                            11,000                    25
ข้าวเปลือกเหนียว                                12,000                    16

กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด

2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563

2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ

2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์ (ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว

3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63

มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้

3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่

3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563

4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63

มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร

4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1

4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 13,886 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,807 บาท เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.57

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,696 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 7,675 บาท เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.27

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,890 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,770 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.01

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,094 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,758 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,099 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,862 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.45 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 104 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 443 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,265 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 445 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,306 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 41 บาท

ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 433 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,965 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 434 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,977 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 12 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 440 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,175 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 438 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,097 บาท/ตัน ) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.45 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 78 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 29.9429

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ไทย

ปี 2563 ถือเป็นปีแห่งวิกฤตของอุตสาหกรรมข้าวไทยอีกครั้ง หลังจากเวียดนามส่งข้าว ST24 คว้ารางวัล World’s Best Rice ในการประกวดข้าวโลก 2019 และจีนได้เปลี่ยนสถานะจากผู้นำเข้ารายใหญ่มาเป็นผู้ส่งออกรองจากอินเดีย อีกทั้งเวียดนามและพม่าเริ่มส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดโลกมีความต้องการข้าวปริมาณเท่าเดิม

ทั้งนี้ สาเหตุที่ข้าวไทยมีแนวโน้มส่งออกได้น้อยลงในตลาดโลกนั้น เพราะหลายประเทศเริ่มมีผลผลิตข้าวคุณภาพส่งออกในราคาที่ถูกกว่า หรือเป็นเพราะข้าวไทยคุณภาพเริ่มด้อยลง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องหาคำตอบ

รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองแห่งชาติ มองว่าปัญหาข้าวไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าหลายประเทศมีข้าวคุณภาพดี เพราะข้าวไทยก็มีคุณภาพดีและมีความนุ่มเหมือนเดิม แต่กลิ่นกลับหอมน้อยลง คุณภาพความหอมที่หายไปส่งผลให้ตลาดจีนหันไปซื้อข้าวเวียดนามมากขึ้น มิหนำซ้ำปีที่ผ่านมา ข้าว ST24 จากเวียดนามคว้าแชมป์ข้าวโลกไปครอง ยิ่งทำให้ตลาดข้าวไทยสั่นคลอนมากขึ้น เพราะเวียดนามมีการเตรียมพร้อมมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงพันธุ์ การส่งเสริมให้ชาวนาปลูกพันธุ์ ST24 เต็มพื้นที่เพื่อเตรียมโหมถล่มตลาดกลุ่มข้าวหอม

ขณะที่ไทยยังหลงตัวเองว่าข้าวหอมมะลิไทยดีที่สุด ไม่มีข้าวชาติใดสู้ได้ จึงละเลยไม่ดูแลความหอมของข้าวและขายข้าวราคาสูงกว่าประเทศอื่น จึงทำให้ตลาดหดตัว ซึ่งในระยะยาวจะทำตลาดยาก

หลายประเทศมีนโยบายที่ชัดเจนในการวิจัยพัฒนาคุณภาพข้าว อย่างเวียดนามสามารถปรับปรุงคุณภาพความนุ่มได้เทียบเท่าข้าวหอมมะลิ ยังเหลือแต่ความหอมเท่านั้น หากปรับปรุงพันธุ์สำเร็จเมื่อไร ตลาดข้าวหอมมะลิไทยสั่นคลอนแน่ ส่วนกัมพูชามุ่งมั่นพัฒนาข้าวหอมพันธุ์ผกามะลิ ซึ่งมี DNA เดียวกับหอมมะลิ 105 เพื่อให้คุณภาพข้าวใกล้เคียงกับไทย

ขณะเดียวกัน ประเทศจีนที่มองว่าเป็นฐานนำเข้าข้าวหลักจากไทย เวลานี้มุ่งมั่นพัฒนาข้าวหอมพันธุ์ต้าหัวเชียง ที่คุณภาพใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิไทย แต่ราคาซื้อขายถูกกว่าหอมมะลิสัญญาณการพัฒนาข้าวพื้นนุ่ม (ข้าวหอม) เริ่มสั่นรัวมากขึ้นจากรอบบ้าน รวมทั้งตลาดรองรับเองที่วันนี้มีการวิจัยปรับปรุงพันธุ์ ขณะที่ไทยย่ามใจหลงตัวเอง ไม่มีการวิจัยพัฒนาเรื่องความหอมให้กลับคืนมา ทั้งที่เป็นเรื่องที่พูดกันมาหลายปี มิหนำซ้ำรัฐยังแก้ปัญหาต้นทุนการผลิตที่ผิดๆ ด้วยวิธีการจ่ายเงินสนับสนุน ในระยะยาวนอกจากรัฐจะจ่ายเงินไปได้นานแค่ไหน วิธีการนี้ยังทำให้อุตสาหกรรมข้าวไทยไม่เข้มแข็ง ไม่เติบโต

ส่วนการแก้ปัญหาด้วยวิธีประกันรายได้ ยกระดับราคาจ่ายส่วนต่าง ในอนาคตวงการข้าวไทยล่มสลายแน่นอนเพราะชาวนาไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแท้จริง โดยเฉพาะสถานการณ์ข้าวในวันนี้ที่ตลาดข้าวเปลี่ยน แต่โครงการผลิตข้าว/นโยบายดูแลอุตสาหกรรมข้าวไทย ยังอยู่บนแพลตฟอร์มเดิมบนฐานความคิดแบบเดิมๆ ไม่ทันกับความพลวัตของตลาดนโยบายข้าวไทยวันนี้ ยังเป็นเพียงนโยบายปะผุแก้ปัญหาในระยะสั้น ไม่นานไทยจะหลุดออกจากตลาดผู้ส่งออกข้าวอย่างแน่นอน

“ไทยมีข้าวหอมมะลิ 105 ที่ดีที่สุด แต่ไม่รู้จักนำมาพัฒนาให้เป็นพันธุ์การค้าที่มีผลผลิตต่อไร่สูง ขณะที่เวียดนามเฝ้าจับตาข้าวไทยมาอย่างต่อเนื่อง มีการตั้งเป้าวางนโยบายอย่างมุ่งมั่น ทุก 2-4 ปี ต้องพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2560 เริ่มเห็นข้าวพันธุ์ DT7 คุณภาพความหอมนุ่มใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิไทย ผลผลิต 1.2 ตันต่อไร่ แต่ราคาซื้อขายถูกกว่าข้าวไทยครึ่งต่อครึ่ง ทำให้ตลาดเริ่มเปลี่ยนทิศหันไปซื้อข้าวหอมเวียดนาม”

ดร.วัลลภ มานะธัญญา ประธานบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ชี้ให้เห็นปัจจัยหลักที่ทำให้ข้าวไทยเริ่มขายได้น้อย ขณะที่เวียดนามส่งออกได้มากขึ้น คุณภาพใกล้เคียงกัน แต่เราขายแพงกว่า ใครที่ไหนจะมาซื้อ หากไทยต้องการครองตลาดข้าว ต้องรักษาคุณภาพโดยเฉพาะในเรื่องความหอม ถึงแม้ราคาจะสูงกว่าเพื่อนบ้านก็สามารถครองตลาดข้าวเกรดพรีเมียมได้ เพราะข้าวไทยมีชื่อเสียงเป็นที่น่าเชื่อถือ แต่หากยังละเลยกันอยู่อย่างนี้ อีก 3 ปีจากนี้ข้าวไทยมีโอกาสถูกเบียดตกเวที กลายเป็นข้าวหอมในตำนานอย่างมิต้องสงสัย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ไทย

ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ในการประชุมประจำเดือนมกราคมนี้ สมาคมฯ จะหารือถึงสถานการณ์การส่งออกและความสามารถการแข่งขันของข้าวไทยในระยะยาว เนื่องจากพบว่า ปริมาณส่งออกข้าวไทยถดถอยลงมาก ซึ่งมาจากปัจจัยสำคัญ คือ 1. เงินบาทไทยแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งกว่าร้อยละ 10 ทำให้ราคาส่งออกข้าวของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งร้อยละ 40-45 เช่น ข้าวหอมมะลิ คู่แข่งส่งออกในราคาตันละ 600 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ราคาข้าวหอมมะลิไทยตันละ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเรื่องนี้อยากให้รัฐบาลออกมาดูแล

เน้นในเรื่องไม่ผันผวนเร็วและค่าเงินไม่ควรแข็งค่าเกินคู่แข่ง 2.ความหลากหลายของชนิดข้าวไทยน้อยกว่าคู่แข่ง ขณะนี้ความต้องการข้าวพื้นนิ่มกำลังเป็นที่นิยมของตลาดนำเข้าโดยเฉพาะตลาดหลักอย่างจีน อาเซียน สหรัฐ หรือยุโรป

ทำให้การสั่งซื้อข้าวไทยลดน้อยลงมาก ปัจจุบันคุณสมบัติข้าวไทยเปลี่ยนไปมาก เช่น ความหอมของข้าวหอมมะลิลดลง ความสวยงามของเมล็ดข้าวลดลง ถึงเวลาแล้วที่ไทยควรมีเจ้าภาพในการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก รวมถึงวางแผนการทำตลาดในระยะยาว จึงเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมมือกับภาคเอกชน และกุล่มเกษตรกร ในการวางแผนครบวงจรให้สอดคล้อง ตั้งแต่การพัฒนาพันธุ์ข้าว การเพาะปลูก การผลิต และการตลาด 3. ปัญหาสารตกค้าง กำลังเป็นที่ตื่นตัวของประเทศผู้นำเข้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยต้องควบคุมและดูแลอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตถึงการแปรรูป

ร.ต.ท.เจริญ กล่าว “บาทแข็งและข้าวไทยไม่ตอบโจทย์ประเทศผู้นำเข้าโลกที่กำลังเปลี่ยนไปมาก ทำให้ไทยสูญเสียความเป็นผู้นำอันดับต้นๆ ของการส่งออกข้าวโลก ปกติในช่วง 1-2 เดือนสุดท้ายของปี ข้าวไทยควรส่งออกได้เดือนละ 9 แสนตัน ถึง 1 ล้านตัน แต่ปีนี้เหลือ 5-6 แสนตัน ในขณะที่ซื้อจากเวียดนามถึง 1.3 ล้านตัน ทำให้ปี 2562 คาดว่าตัวเลขการส่งออกของไทยต่ำกว่า 8 ล้านตัน จากเป้าหมาย เหลือ 7.8 ล้านตัน ส่วนปี 2563 คงต้องหารือ

ในสมาคมก่อน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเฉลี่ยที่ไทยควรส่งออกคือ 8.5-9 ล้านตัน ซึ่งการส่งออกไทยมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะนำไปหารือกับกระทรวงพาณิชย์ต่อไป”

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เร็วๆ นี้จะนำหารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถึงข้อเสนอของภาคเอกชนที่ต้องการให้ไทยเพิ่มการพัฒนาและผลิตชนิดข้าวที่ตลาดโลกต้องการ โดยเฉพาะข้าวพื้นนิ่ม แม้ไทยเริ่มบ้างแล้วแต่ยังน้อยมาก อาจทำให้ไทยเสียตลาดส่งออกข้าวได้ และเตรียมหารือเอกชนที่จะผลักดันการส่งออกข้าวในปี 2563 ให้เกิน 8 ล้านตัน

ที่มา: มติชนออนไลน์

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


แท็ก นบข.  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ