สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 7 - 13 กุมภาพันธ์ 2563
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่
(1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62
(5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
(6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
(7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ
(8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน (บาท/ตัน) (ตัน) ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14 ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16 ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30 ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25 ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16 กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์ (ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 13,573 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,675 บาทเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.74
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,891 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 7,880 บาทเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 12,450 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 12,410 บาท เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.32
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,064 ดอลลาร์สหรัฐฯ ( 32,897 บาท/ตัน)
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 447 ดอลลาร์สหรัฐฯ ( 13,820 บาท/ตัน)
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 440 ดอลลาร์สหรัฐฯ ( 13,604 บาท/ตัน)
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 444 ดอลลาร์สหรัฐฯ ( 13,728 บาท/ตัน)
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.9181
ไทย: พาณิชย์ ตั้งเป้าส่งออกข้าวปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน หลังผลผลิตลดลงจากภัยแล้ง บาทแข็ง เร่งจัดกิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดโลก
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2563 ตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้ที่ปริมาณ 7.5 ล้านตัน ใกล้เคียงจากปี 2562 ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 7.58 ล้านตัน ลดลง 32.50% จากปี 2561 ที่มีปริมาณ 11.23 ล้านตัน
เนื่องจากผลผลิตข้าวไทยปีนี้จะลดลงมากจากปัญหาภัยแล้ง รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะเวียดนาม อินเดีย และต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าคู่แข่งเช่นกัน จนทำให้ราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งมาก และผู้ซื้อหันไปซื้อข้าวจากคู่แข่งแทน อีกทั้งจีน ซึ่งเดิมเคยเป็นผู้นำเข้า แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นผู้ส่งออกและแย่งส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในบางประเทศ โดยเฉพาะแอฟริกา เพราะมีสต็อกข้าวปีนี้มากถึงกว่า 120 ล้านตัน รวมถึงข้าวไทยไม่มีความหลากหลายมากพอ ที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในหลายกลุ่ม จึงทำให้ตลาดข้าวบางชนิดกลายเป็นของคู่แข่งแทน โดยเฉพาะข้าวพื้นนิ่ม
สำหรับในปี 2563 กรมการค้าต่างประเทศยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมตามภารกิจในด้านการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ทั้งในรูปแบบการจัดคณะผู้แทนการค้าฯ และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและผลักดันการส่งออกข้าวไทย โดยในปีนี้ กรมฯ มีแผนจัดคณะผู้แทนการค้าฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในประเทศที่เป็นลูกค้าหลัก อาทิ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ ตลอดจนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ 1. ภูมิภาคเอเชีย: งาน FOODEX 2020 ณ ประเทศญี่ปุ่น และงาน China – ASEAN Expo (CAEXPO) ครั้งที่ 17 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน 2. ภูมิภาคยุโรป: งานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์นานาชาติ BIOFACH 2020 ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และ 3. ภูมิภาคตะวันออกกลาง: งาน GULFOOD 2020 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแผนกิจกรรมร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการจัดคณะผู้แทนการค้าฯ เดินทางไปเจรจาธุรกิจในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ เช่น แอฟริกาใต้ เป็นต้น โดยกิจกรรมต่างๆ ของกรมฯ จะมุ่งเน้นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานข้าวไทยในตลาดโลก
นายกีรติ กล่าวว่า "กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะคนขายได้ไปพบปะลูกค้าในประเทศต่างๆ ซึ่งได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากลูกค้าโดยเฉพาะกับชนิดข้าวที่ตรงความต้องการของลูกค้า และข้อมูลดังกล่าวได้นำมาขยายผลในการทำสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างดี จึงได้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดกับกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวไทย และเกษตรกร และได้กำหนดแผนงานเร่งด่วนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อพิจารณาแนวทางการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันของข้าวไทย โดยในเบื้องต้นได้นำเสนอแผนการการพัฒนาข้าวไทยเพื่อการแข่งขันทั้งในด้านการผลิต การพัฒนา และการปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวไทยให้ตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศเพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดี อายุเก็บเกี่ยวสั้น ให้ผลผลิตสูง และต้นทุนการผลิตต่ำ ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบที่จะจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย กรมการข้าว กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและอาจพิจารณาเชิญสถาบันการศึกษาที่มีการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ข้าวเข้าร่วมในคณะทำงานด้วย ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ จะเร่งผลักดันการทำงานของคณะทำงานดังกล่าวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป"
ที่มา: https://www.ryt9.com
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยชี้ ปี 63 ไทยอาจร่วงอันดับ 3 ส่งออกข้าวโลก แนะเร่งปรับตัว หลังเวียดนามพัฒนาข้าวพื้นนิ่มชิงส่วนแบ่งตลาดข้าวไทย ขณะที่ปี 62 ส่งออกต่ำสุดในรอบ 6 ปี
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเปิดเผยว่า สมาคมประเมินว่า ปี 2563 การส่งออกข้าวไทยจะมีปริมาณ 7.5 ล้านตัน หรือมีมูลค่ามากกว่า 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สอดคล้องกับเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งปีที่ผ่านมาไทยส่งออกข้าวได้เพียง 7.58 ล้านตัน ลดลงจากปี 2561 ส่งออกได้ถึง 11 ล้านตัน ถือว่าต่ำสุดในรอบ 6 ปี นับจากปี 2556 ที่ส่งออกได้เพียง 6.6 ล้านตัน โดยข้าวที่ส่งออกลดลงมากที่สุด คือ ข้าวขาว และข้าวหอมมะลิ ปัจจัยสำคัญมาจากปัญหาค่าเงินบาทแข็งกว่าประเทศคู่แข่งถึง 40% แม้ขณะนี้เงินบาทจะอ่อนค่าลง แต่กลับทำให้ผู้ซื้อกังวลกับความผันผวนเพราะมีการปรับขึ้น-ลงเร็ว จึงอยากให้ค่าเงินมีเสถียรภาพมากกว่านี้ รวมทั้งคุณภาพข้าวไทยไม่ได้รับการพัฒนามีแต่ข้าวพื้นแข็ง ขณะที่ความนิยมบริโภคข้าวนิ่มมีมากขึ้น ทำให้เป็นสินค้าที่เข้ามาทดแทนข้าวไทยในทุกตลาด นอกจากนี้จีนที่เคยเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ก็กลับมาเป็นผู้ส่งออก
โดยขณะนี้ ภาครัฐเริ่มตื่นตัวพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นนิ่ม ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน อยู่ระหว่างการเริ่มทดลองปลูกจะต้องเร่งให้มีการรับรองพันธุ์ คาดว่าไทยจะมีพันธุ์ใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาดได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลา 3-5 ปี ถึงจะเข้าถึงตลาดข้าวของไทยได้ ซึ่งในปีนี้คงต้องประคองสถานการณ์ไปก่อน
“สิ่งที่ชาวนากังวล คือ หากปลูกข้าวพันธุ์ใหม่จะขายได้หรือไม่ ราคาดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาช่วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกร”
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปีนี้จะเป็นปีที่เหนื่อยของการส่งออกข้าวไทย เพราะมีปัจจัยท้าทายทั้งการแข็งค่าของเงินบาท ภัยแล้ง อีกทั้งประเทศคู่แข่งที่สำคัญ เช่น เวียดนามมีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มข้าวหอม และข้าวพื้นนิ่ม และมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย ทำให้สามารถเสนอขายได้ในระดับที่ต่ำกว่าข้าวไทย ส่งผลให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดที่สำคัญ เช่น จีน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
อีกทั้งเวียดนามยังทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ทำให้เวียดนามมีโอกาสขยายตลาดส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรปและในกลุ่มสมาชิกซีพีทีพีพีมากขึ้น เนื่องจากสหภาพยุโรปให้โควตานำเข้าเข้าแก่เวียดนามปีละ 80,000 ตัน ในอัตราภาษี 0%
“ปัจจัยท้าทายต่างๆ ทำให้ปีนี้ไทยอาจส่งออกข้าวมาอยู่อันดับ 3 โดยเวียดนามจะมาอยู่อันดับ 2 และอันดับ 1 อินเดีย ซึ่งก็ถือว่าเป็นปีแรกประวัติศาสตร์เป็นไปได้”
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาวะราคาข้าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีความต้องการข้าวจากต่างประเทศ ประกอบกับมีความกังวลเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่อาจจะลดลงจากการที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำเค็มรุกเข้าไปในพื้นที่ เพาะปลูกข้าว โดยราคาข้าวขาว 5% ตันละ 355-360 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากตันละ 345 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่วงการค้ารายงานว่า เกษตรกรในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงเก็บเกี่ยวข้าวฤดูใหม่ (winter spring crop) แล้ว ประมาณ 30% ของพื้นที่ และคาดว่าจะมีข้าวออกสู่ตลาดปริมาณสูงสุดในช่วงปลายเดือนนี้
กรมศุลกากรของเวียดนาม (the General Department of Customs) รายงานว่า ในเดือนมกราคม 2563 เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 560,000 ตัน มูลค่าประมาณ 270.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และร้อยละ 39 และเมื่อเทียบกับช่วยเดียวกันของปีที่ผ่านมาปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.1 และร้อยละ 38.4
สำหรับปี 2563 ประเทศที่คาดว่าจะยังคงเป็นผู้นำเข้าที่สำคัญคือ ฟิลิปปินส์ ขณะที่ตลาดแอฟริกาคาดว่าจะนำเข้าประมาณ 1 ล้านตัน มาเลเซียประมาณ 500,000 ตัน คิวบาประมาณ 300,000-400,000 ตัน อิรักประมาณ 300,000 ตัน และจีนประมาณ 400,000 ตัน
ทางด้านนาย Do Ha Nam รองประธานสมาคมอาหารเวียดนาม (Vice Chairman of the Vietnam Food Association) คาดว่า ปี 2563 นี้จะยังคงเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับการส่งออกข้าวของเวียดนาม เพราะจีนยังคงจำกัดการนำเข้าข้าว แต่คาดว่าจะมีโอกาสที่จะขยายการส่งออกข้าวไปยังตลาดญี่ปุ่นมากขึ้น เนื่องจากมีความตกลง CPTPP ซึ่งเวียดนามเป็นสมาชิกในกลุ่มนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ได้จัดสรรโควตานำเข้าข้าวจากเวียดนามจำนวน 55,112 ตัน และมีโควตาทั่วไป
สำหรับทุกประเทศอีก 20,000 ตัน ซึ่งถือเป็นโอกาสในการขยายการส่งออกไปยังตลาดนี้ด้วยปี 2562 (มกราคม-ธันวาคม 2562) กรมศุลกากรรายงานว่า เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 6.37 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 2.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 8.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และราคาส่งออกเฉลี่ยที่ประมาณตันละ 440.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 12.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน
ในปี 2562 ประเทศที่เวียดนามส่งออกข้าวมากที่ใหญ่ คือ ฟิลิปปินส์ ซึ่งเวียดนามส่งออกประมาณ 2.13 ล้านตัน มูลค่า 884.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 109.52 และร้อยละ 92.58 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) รองลงมา คือ ไอวอรี่โคสต์ 583,579 ตัน มูลค่า 252.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 111.3 และร้อยละ 6.35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) มาเลเซีย 551,583 ตัน มูลค่า 218.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.55 และร้อยละ 0.48 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ประเทศจีน 477,127 ตัน มูลค่า 240.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 64.2 และร้อยละ 64.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) กาน่า 427,187 ตัน มูลค่า 212.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.09 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) อิรัก 300,000 ตัน มูลค่า 154.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.03 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 8.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ฮ่องกง 120,760 ตัน มูลค่า 63.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.96 และร้อยละ 25.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) สิงคโปร์ 100,474 ตัน มูลค่า 53.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.88 และร้อยละ 14.42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน)
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ในการประชุม the “Pakistan-Africa Trade Development Conference" ซึ่งจัดโดย องค์กรพัฒนาการค้าของปากีสถาน (Trade Development Authority of Pakistan; TDAP) เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาอดีตประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวปากีสถาน (the Rice Exporters Association of Pakistan; REAP) ระบุว่า นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 ประเทศเคนย่าได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าข้าวจากปากีสถานที่ 35% ขณะที่การนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ต้องเสียภาษีอัตรา 75% ดังนั้น เขาจึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการพิจารณาเรื่อง ภาษีนำเข้าในอัตราพิเศษอีกครั้งเพื่อทำให้ปากีสถานส่งออกข้าวไปยังประเทศเคนย่าได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน เคนย่าถือเป็นผู้ซื้อข้าวรายใหญ่ที่สุดของปากีสถาน โดยปากีสถานส่งออกข้าวไปยังเคนย่าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด
นอกจากนี้ เขายังเสนอให้เคนย่าจัดตั้งหน่วยงานที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งออกข้าวปากีสถานไปยังเคนย่าให้มากขึ้นด้วย
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร