สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 20 - 26 มีนาคม 2563
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่
(1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน (บาท/ตัน) (ตัน) ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14 ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16 ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30 ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25 ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16 กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ 2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 13,843 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,928 บาท เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.61
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,639 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,549 บาท เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.06
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 31,550 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,930 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.32
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,024 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,328 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,025 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,732 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.09 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 596 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 502 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,339 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 510 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,286 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.56 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 53 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 484 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,753 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 489 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,616 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.02 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 137 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 514 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,729 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 523 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,701 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.72 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 28 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.5470
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2562/63 ณ เดือนมีนาคม 2563
มีผลผลิต 499.309 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 499.372 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2561/62 หรือลดลงร้อยละ 0.01
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2562/63 ณ เดือนมีนาคม 2563 มีปริมาณผลผลิต 499.309 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.01 การใช้ในประเทศ 492.325 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 1.17 การส่งออก/นำเข้า 44.510 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 2.86 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 182.303 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 3.98
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา จีน อียู กายานา อินเดีย แอฟริกาใต้ เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน ปารากวัย รัสเซีย ไทย และอุรุกวัย
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ คิวบา อียู กินี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เคนย่า เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน อิหร่าน อิรัก ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ และเซเนกัล
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังคลาเทศ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย และสหรัฐอเมริกา
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาข้าวสารขาวในประเทศขยับสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 15 บาท จากเดือนมกราคม 2563 ที่ราคากิโลกรัมละ 12.50 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30 และแนวโน้มราคาจะยังสูงขึ้นอีก จนถึงช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน จนกว่าจะมีผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่ออกสู่ตลาด จึงส่งผลให้ราคาข้าวสารบรรจุถุงอาจต้องปรับขึ้นราคาขายปลีกตามต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย จากปัจจุบันที่ราคายังไม่ได้ปรับขึ้นแต่อย่างใด สำหรับข้าวขาวบรรจุถุงปัจจุบันขนาด 5 กิโลกรัม ราคาถุงละ 70-120 บาท แต่มีโอกาสที่ราคาจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นถุงละ 90-150 บาท หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30 ขึ้นอยู่กับแบรนด์ของสินค้า ส่วนข้าวหอมมะลิบรรจุถุง ขณะนี้อยู่ที่ถุงละ 160-250 บาท ซึ่งราคายังไม่เปลี่ยนแปลงและไม่มีแนวโน้มปรับขึ้น
สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาข้าวในประเทศสูงขึ้น เพราะปีนี้ภัยแล้งรุนแรงสุดในรอบ 40 ปี ส่งผลให้ชาวนาที่กำลังจะเพาะปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ 4-5 ล้านไร่ ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ทำให้ผลผลิตเสียหาย 1.5-2.0 ล้านตันข้าวสาร รวมทั้งคำสั่งซื้อจากต่างประเทศมีเข้ามามากขึ้น เพื่อสำรองไว้ช่วงไวรัสโควิค-19 ระบาด
ส่วนที่คนไทยแห่ซื้อข้าวถุงพร้อมกันจำนวนมากไปสำรองไว้ในช่วงโควิด-19 ระบาด จนข้าวถุงหายไปจากชั้นวางของห้างสรรพสินค้า หรือห้างค้าปลีกสมัยใหม่นั้น นายสมเกียรติ กล่าวว่า ข้าวถุงไม่ขาดแคลนแน่นอน แต่ที่เห็นชั้นวางสินค้าว่างเปล่า เพราะปัจจุบันห้างมีนโยบายไม่เก็บสต็อกสินค้าไว้ที่สาขาจำนวนมาก แต่จะเก็บไว้ที่ศูนย์กระจายสินค้าแทน โดยให้ผู้ผลิตส่งสินค้ามาที่ศูนย์ก่อนที่ห้างจะนำไปกระจายต่อให้สาขา ทำให้ต้องใช้เวลาส่งสินค้าไปแต่ละสาขา สำหรับ “ความต้องการบริโภคข้าวในประเทศปีนี้ คงไม่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาและอาจจะลดลง เพราะปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไปมาก โดยความต้องการบริโภคข้าวในประเทศ ปี 2562 มีจำนวน 7.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากปี 2561 เพราะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามาก ซึ่งความต้องการบริโภคในประเทศไม่ถึง 10 ล้านตัน เหมือนในอดีต โดยปีนี้คาดว่าไทยจะผลิตข้าวสารได้ 17.5 ล้านตัน สำหรับตลาดข้าวถุง ปี 2562 มีมูลค่าตลาด 30,000 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากราคาข้าวที่สูงขึ้น”
ที่มา : ไทยรัฐ
เวียดนามจะระงับการเซ็นข้อตกลงใหม่ในการส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศเอาไว้ก่อน จนถึงอย่างน้อยวันที่ 28 มีนาคม 2563 เพื่อประเมินว่า ในช่วงเวลานี้ผลผลิตข้าวที่มีอยู่เพียงพอกับความต้องการในประเทศหรือไม่ เพราะเวียดนามต้องรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่นกัน ทั้งนี้ นายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้แจ้งให้กระทรวงการค้า และกระทรวงเกษตร เสนอรายงานการประเมินผลผลิตและการส่งออกข้าวให้ได้รับทราบ ในกรอบเวลาที่กำหนดดังกล่าว
ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามเปิดข้อมูลว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าว เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้กว่า 9 แสนตัน หากการส่งออกข้าวยังเพิ่มขึ้นในปริมาณนี้ เวียดนามก็อาจประสบภาวะขาดแคลนข้าวไว้บริโภคในประเทศได้
ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาเวียดนามส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นที่ 6.37 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.20 ทำให้เวียดนามเป็น ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดีย และไทย โดยประเทศที่นำเข้ารายใหญ่จากเวียดนาม ได้แก่ ฟิลิปปินส์ จีน และประเทศในแถบแอฟริกา
ที่มา : มติชน
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร