สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 27, 2020 14:13 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 17 - 23 เมษายน 2563

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63

มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ

ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่

1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่

1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน

1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา

1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่

ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร (2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว (4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1

มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้

2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้

ชนิดข้าว                           ราคาประกันรายได้    ครัวเรือนละไม่เกิน
                                       (บาท/ตัน)              (ตัน)
ข้าวเปลือกหอมมะลิ                          15,000                14
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่                    14,000                16
ข้าวเปลือกเจ้า                             10,000                30
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี                       11,000                25
ข้าวเปลือกเหนียว                           12,000                16

กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด

2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563

2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ

2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว

3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63

มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้

3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่

3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563

4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63

มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร

4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1

4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,642 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,391 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.75

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,546 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,485 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.65

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 34,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 16,170 บาท ราคาลดลงจากตันละ 17,230 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.15

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่ ) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,113 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,867 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,142 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37,046 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.53 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 1,179 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 553 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,821 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 569 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,458 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.81 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 637 บาท

ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 528 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,015 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 539 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,485 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.04 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 470 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 550 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,724 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 566 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,361 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.82 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 637 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.2258

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

2.1 สถานการณ์ข้าวโลก

1) การผลิต

ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2562/63 ณ เดือนเมษายน 2563 มีผลผลิต 496.081 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 499.070 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2561/62 หรือลดลงร้อยละ 0.60

2) การค้าข้าวโลก

บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2562/63 ณ เดือนเมษายน 2563 มีปริมาณผลผลิต 496.081 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.60 การใช้ในประเทศ 490.189 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 0.88 การส่งออก/นำเข้า 42.795 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2561/62 ร้อยละ 1.65 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 181.603 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2561/62 ร้อยละ 3.35

โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อียู กายานา อินเดีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา

ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เมียนมา กัมพูชา ปากีสถาน ปารากวัย ไทย อุรุกวัย และเวียดนาม

สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน อียู กินี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เคนย่า เกาหลีใต้ เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา คิวบา ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน ไอเวอรี่โคสต์ อิหร่าน อิรัก ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย และเซเนกัล

ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังคลาเทศ จีน และอินเดีย ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย และสหรัฐอเมริกา

2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

รัฐบาลเวียดนามได้ตั้งทีมตรวจสอบเพื่อทำงานกับผู้ส่งออกข้าวและพิจารณาปริมาณข้าวที่ยังคงตกค้างอยู่ที่ท่าเรือ หลังจากรัฐบาลได้ระงับการส่งออกชั่วคราวเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งทีมงานดังกล่าวประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้า (the Deputy Trade Minister) และอธิบดีและรองอธิบดีของกรมการนำเข้าและส่งออก (the Director and Deputy Director of the Import and Export Department) รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ จากกระทรวงเกษตรฯ (Ministry of Agricultural and Rural development) กระทรวงการคลัง (Ministry of Finance) กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ (Ministry of Public Security) รวมทั้งสมาคมอาหารเวียดนามด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 20-24 เมษายนนี้ ทีมงานดังกล่าวจะร่วมกับหน่วยงานศุลกากรและผู้เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบปริมาณข้าวที่ตกค้างที่ท่าเรือ และจะมีการรายงานสถานการณ์ภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อที่จะแนะนำมาตรการควบคุมการส่งออกข้าวในเดือนพฤษภาคมต่อไป

ขณะที่สมาคมอาหารเวียดนาม (the Vietnam Food Association; VFA) รายงานว่า ณ วันที่ 15 เมษายนมีข้าวประมาณ 300,000 ตัน ที่ติดอยู่ในท่าเรือหลังจากที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจระงับการส่งออกข้าวชั่วคราวการจัดตั้งทีมตรวจสอบเกิดขึ้นหลังจากที่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อกรมศุลกากร (the General Department of Customs) ได้เปิดรับการลงทะเบียนของผู้ส่งออกข้าวเพื่อแจ้งปริมาณข้าวที่ต้องการส่งออกเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลได้อนุมัติให้เริ่มส่งออกข้าวอีกครั้ง แต่กำหนดปริมาณไว้ที่ 400,000 ตัน สำหรับเดือนเมษายน แต่ปรากฏว่าผู้ส่งออกข้าวหลายรายต้องผิดหวัง เนื่องจากโควตาที่กำหนดไว้ 400,000 ตัน ถูกแจ้งปริมาณครบตามที่กำหนดไว้ภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง และหลายบริษัทที่ได้เตรียมการส่งมอบข้าวที่มีข้าวติดอยู่ที่ท่าเรือไม่สามารถเข้าระบบแจ้งรายงานได้ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (the Ministry of Industry and Trade) ได้รับเอกสารจำนวนมากจากผู้ส่งออกข้าว โดยกล่าวว่าการเปิดระบบแจ้งข้อมูลของศุลกากรทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังไม่โปร่งใส เนื่องจากหลายบริษัทยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า ขณะที่บางรายแจ้งว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงระบบได้เนื่องจากข้อผิดพลาดของระบบ นอกจากนี้บางบริษัทได้มีการส่งแบบฟอร์มได้สำเร็จ แต่ปรากฏว่าแบบฟอร์มนั้นหายไปในระบบ e-Customs สำนักข่าว Bloomberg รายงาน โดยอ้างข้อมูลจากเว็บไซต์ของรัฐบาลเวียดนาม ซึ่งระบุว่าจะให้มีการส่งออกข้าวเหนียวต่อไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้สั่งให้กระทรวงการค้าฯ และกระทรวงเกษตรฯ ไปดำเนินการตรวจสอบอุปสงค์และอุปทานของข้าวในตลาดภายในประเทศ รวมถึงการส่งออกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาการขาดแคลนก่อนหน้านี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลอนุญาตให้มีการส่งออกข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวจากฤดูการผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิของปีการผลิต 2562/63 (the 2019-20 winter-spring season) ต่อไปได้เนื่องจากไม่ใช่ชนิดข้าวที่ต้องมีการสำรองไว้ในคลังของรัฐบาล เพราะรัฐบาลต้องการที่จะสำรองแค่ข้าวเปลือกและข้าวสารธรรมดาเท่านั้ น (รัฐบาลกำหนดให้มีการสำรองข้าวไว้ 190,000 ตัน ภายในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ ซึ่งในจำนวนนี้ ต้องเป็นข้าวเปลือกประมาณ 80,000 ตัน)

ด้านกรมสำรองของรัฐ (Vietnam's General Department of State Reserves; GDSR) ระบุว่า ณ วันที่ 14 เมษายน 2563 ทางการเวียดนามสามารถซื้อข้าวเพียง 7,700 ตันจากเป้าหมาย 190,000 ตัน

ทั้งนี้ กรมสำรองของรัฐจะจัดซื้อข้าวผ่านการประมูลในประเทศ ซึ่ง GDSR ได้จัดประกวดราคาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2563 ซึ่งแม้ว่าจะมีการเสนอข้าวประมาณ 178,000 ตัน แต่ข้อเสนอที่ชนะการประมูลนั้น ผู้เสนอปฏิเสธที่จะเจรจาสัญญาเหล่านี้ และถอนตัวจากการเซ็นสัญญา โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากสถานการณ์การะบาดของเชื้อไวรัส COVID-19

กรมศุลกากร (the General Department of Customs) รายงานว่า ในเดือนมีนาคม 2563 เวียดนาม ส่งออกข้าว 591,407 ตัน มูลค่าประมาณ 271.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าลดลงประมาณร้อยละ 14.8 และร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 11 และร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์2563 (เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เวียดนามส่งออกข้าว 532,836 ตัน มูลค่าประมาณ 238.13 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยราคาส่งออกเฉลี่ยในเดือนมีนาคม 2563 อยู่ที่ประมาณ 459.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2563) เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 1,517,387 ตัน มูลค่าประมาณ 700.808 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7.96 และร้อยละ 14.89 เมื่อ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 461.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนแรก ประเทศที่เวียดนามส่งออกข้าวไปมากที่สุดเป็นประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเวียดนามส่งออกประมาณ 0.594 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 257.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.15 และร้อยละ 19.15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 39.16 และร้อยละ 36.7 ของการส่งออกข้าวทั้งหมดตามล้าดับ

ตามด้วยมาเลเซียประมาณ 0.174 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 70.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นสัดส่วน ประมาณร้อยละ 11.52 และร้อยละ 10.07 ของการส่งออกข้าวทั้งหมดตามลำดับ ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 70.39 และร้อยละ 67.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) จีนประมาณ 0.162 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 90.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10.68 และร้อยละ 12.98 ของการส่งออกข้าวทั้งหมดตามลำดับ ปริมาณและ มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 274.59 และร้อยละ 337.09 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน)

กาน่าประมาณ 0.107 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 52.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.75 และร้อยละ 68.24 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) อิรักประมาณ 0.09 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 47.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 25 และร้อยละ 19.52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ไอวอรี่โคสต์ 39,703 ตัน มูลค่าประมาณ 16.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 68.83 และร้อยละ 70.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) สิงคโปร์ประมาณ 39,709 ตัน มูลค่าประมาณ 16.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 89.15 และร้อยละ 45.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ฮ่องกงประมาณ 21,822 ตัน มูลค่าประมาณ 11.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 50.17 และร้อยละ 45.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) โมซัมบิกประมาณ 18,681 ตัน มูลค่าประมาณ 9.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.63 และร้อยละ 74.17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) อินโดนีเซียประมาณ 14,625 ตัน มูลค่าประมาณ 7.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.84 และร้อยละ 92.12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ประมาณ 12,510 ตัน มูลค่าประมาณ 6.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปริมาณลดลงร้อยละ 0.2 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.73 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน)

ก่อนหน้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (Vietnam's General Statistics Office; GSO) รายงานว่า ในเดือน มีนาคมที่ผ่านมา มีการส่งออกข้าวประมาณ 480,000 ตัน มูลค่าประมาณ 222 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณ ส่งออกลดลงประมาณร้อยละ 30 และมูลค่าส่งออกลดลงประมาณร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 1.409 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 653 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1 และมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

กัมพูชา

สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (the Cambodia Rice Federation; CRF) ระบุว่า ภายหลังจากที่กระทรวงการค้า (the Cambodian Ministry of Trade) สหพันธ์ข้าวกัมพูชา และบริษัท Green Trade Company ได้หารือกับ เอกอัครราชทูตของประเทศติมอร์ตะวันออก ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะให้มีการค้าขายข้าวระหว่างสองประเทศ โดยกัมพูชาเตรียมที่จะส่งออกข้าวไปยังติมอร์ตะวันออกตามที่รัฐบาลของติมอร์ตะวันออกแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับชนิดข้าว ปริมาณ เงื่อนไขการส่งมอบ และช่วงเวลาที่ต้องการน้าเข้า ซึ่งกัมพูชาตั้งเป้าที่จะส่งออกข้าวไปยัง ติมอร์ตะวันออกคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเดือนพฤษภาคมนี้

ทั้งนี้ ประเทศติมอร์ตะวันออกได้หันมาเจรจาเพื่อที่จะน้าเข้าข้าวจากกัมพูชา หลังจากที่ประเทศเวียดนามมีมาตรการจำกัดการส่งออกข้าวในช่วงที่เหลือของปีนี้ สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodia Rice Federation; CRF) รายงานราคาส่งออกข้าวประจำวันที่ 14 เมษายน 2020 โดยข้าวหอม Jasmine (Malys Angkor) ชนิด 5% ราคา 930 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ข้าวหอม Fragrant Rice (Sen Kra Ob - SKO) ชนิด 5% ราคา 820 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ข้าวนึ่ง (Parboiled Rice) ชนิด 5% ราคา 595 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ข้าวหอมอินทรีย์ (Organic Jasmine - Malys Angkor) ชนิด 5% ราคา 1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน

เมื่อสัปดาห์ก่อน เว็บไซต์ Mekong Oryza รายงานราคาข้าวของกัมพูชาระหว่างวันที่ 13-26 เมษายน 2563 โดยข้าวหอมเกรดพรีเมี่ยม 5% (Premium Jasmine Rice (Rumduol) Purity >90% Wet Season) ราคาที่ 915 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เอฟโอบี [Phnom Penh or Sihanouk Ville Port (Min Order 10 Containers)] ข้าวหอมเกรดพรีเมี่ยม 10% (Premium Jasmine Rice (Rumduol) Purity >90% Wet Season) ราคาที่ 910 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เอฟโอบีข้าวหอม 5% (Jasmine Rice (Rumduol) Purity >85% Wet Season) ราคาที่ 905 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เอฟโอบีข้าวหอม 10% (Jasmine Rice (Rumduol) Purity >85% Wet Season) ราคาที่ 900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เอฟโอบีข้าวหอม Sen Kra Ob 5% (Fragrant Rice (Sen Kra Ob) Purity >85% Dry Season) ราคาที่ 860 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เอฟโอบีและข้าวหอม Sen Kra Ob 10% (Fragrant Rice (Sen Kra Ob) Purity >85% Dry Season) ราคาที่ 855 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เอฟโอบี

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


แท็ก นบข.  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ