สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 1 - 7 พฤษภาคม 2563
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน (บาท/ตัน) (ตัน) ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14 ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16 ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30 ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25 ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16 กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,771 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,699 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.49
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,599 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,548 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.53
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 35,183 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 34,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.66
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 16,016 บาท ราคาลดลงจากตันละ 16,250 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.44
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่ ) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,362 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,117 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,942 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.52 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 580 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 539 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,327 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 556 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,890 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.05 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 563 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 518 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,652 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 530 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,054 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.26 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 402 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 536 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,231 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 552 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,762 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.89 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 531 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.1743
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodia Rice Federation; CRF) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลอนุญาตให้สามารถส่งออกข้าวขาวได้อีกครั้ง เพื่อช่วยให้โรงสีข้าวสามารถระบายสต็อกข้าวเก่าที่เก็บไว้และยังเป็นการลดภาระดอกเบี้ยของผู้ประกอบการด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมพื้นที่ว่างไว้รองรับการซื้อข้าวเปลือกฤดูใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ นอกจากนี้ สหพันธ์ข้าวกัมพูชายังได้ร้องขอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณอีกประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มเติมจากเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อใช้ในการรับซื้อข้าวเปลือกประมาณ 800,000 ตัน และยังขอให้รัฐบาลยกเว้นภาษีสำหรับการขนส่งข้าวเปลือกและข้าวสารด้วย
ทางด้านประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชาตั้งข้อสังเกตว่า เนื่องจากสถานการณ์การ Lockdown ทั่วประเทศ ส่งผลให้การส่งออกผลพลอยได้จากการสีข้าว เช่น รำข้าว ไม่สามารถทำได้ในช่วงนี้สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) รายงานราคาส่งออกข้าวประจำวันที่ 30 เมษายน 2563 โดยข้าวหอม Jasmine (Malys Angkor) ชนิด 5% ราคาตันละ 910 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ลดลงจากราคาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ที่ตันละ 930 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวหอม Fragrant Rice (Sen Kra Ob - SKO) ชนิด 5% ราคาตันละ 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ลดลงจากราคาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ที่ตันละ 820 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวนึ่ง (Parboiled Rice) ชนิด 5% ราคาตันละ 595 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เท่ากับราคาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563) ข้าวหอมอินทรีย์ (Organic Jasmine - Malys Angkor) ชนิด 5% ราคาตันละ 1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เท่ากับราคาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563) สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodian Rice Federation; CRF) รายงานว่า ในเดือนเมษายน 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวจำนวน 69,304 ตัน ลดลงประมาณร้อยละ 26.6 เมื่อเทียบกับจำนวน 94,449 ตัน ที่ส่งออกได้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 61.4 เมื่อเทียบกับจำนวน 42,942 ตัน ที่ส่งออกในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-เมษายน) กัมพูชาส่งออกข้าวจำนวน 300,252 ตัน เพิ่มขึ้น ประมาณร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับจำนวน 213,763 ตัน ที่ส่งออกในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ถือเป็นระดับการส่งออกที่สูงสุดในรอบ 4 เดือน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา)
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-เมษายน) กัมพูชาส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนจำนวน 122,094 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับจำนวน 95,066 ตัน ที่ส่งออกในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นสัดส่วน ประมาณร้อยละ 41 ของการส่งออกทั้งหมดในไตรมาสแรก) ส่งไปตลาดสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรจำนวน 97,337 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับจำนวน 65,528 ตัน ที่ส่งออกในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิด เป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 32 ของการส่งออกทั้งหมด) ส่งไปตลาดอาเซียนจำนวน 37,428 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับจำนวน 28,906 ตัน ที่ส่งออกในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 13 ของการ ส่งออกทั้งหมด) และส่งไปตลาดอื่นๆ จำนวน 43,393 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 79 เมื่อเทียบกับจำนวน 24,263 ตัน ที่ ส่งออกในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 14 ของการส่งออกทั้งหมด) สำหรับตลาดอื่นๆ ที่กัมพูชาส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และกาบอง เป็นต้น
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
สมาพันธ์ข้าวเมียนมา (The Myanmar Rice Federation; MRF) รายงานว่า เมียนมาจะเริ่มกลับมาส่งออกข้าวในเดือนพฤษภาคมนี้ ปริมาณ 150,000 ตัน โดย 100,000 ตัน จะส่งออกไปโดยเรือบรรทุกสินค้าทางทะเล และอีก 50,000 ตัน จะเป็นการค้าขายตามแนวชายแดน หลังจากเดือนเมษายนที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์เมียนมา (the Ministry of Commerce) มีคำสั่งระงับการออกใบอนุญาตส่งออกข้าวเป็นการชั่วคราว ในระหว่างที่มีการปรับปรุงระบบการจัดสรรการส่งออกข้าวให้ดีขึ้น
สมาพันธ์ข้าวเมียนมาชี้ว่า จากการประมาณการณ์ของรัฐบาลจะมีการจัดสรรข้าวเพื่อการส่งออกใน ปีงบประมาณนี้ มากกว่า 2 ล้านตัน แต่ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 10 จะเป็นการเก็บสำรองไว้เพื่อการบริโภคใน ประเทศ โดยจะมี 112 บริษัท เป็นผู้ส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศ และอีก 200 บริษัทที่จะทำการขายข้าวบริเวณ ชายแดน นอกจากนี้ สมาพันธ์ข้าวเมียนมากำลังเจรจากับเพื่อนบ้านในอาเซียน และมีการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐเรื่องการส่งออกข้าวด้วย
นายอูซอ ตุน (Dr. Soe Tun) หนึ่งในผู้บริหารของสมาพันธ์ข้าวเมียนมา กล่าวว่า ในแต่ละปีเมียนมามีผลผลิตข้าวส่วนเกิน อยู่ระหว่าง 2.5-3 ล้านตัน ซึ่งผลผลิตส่วนนี้จะส่งออกไปขายในต่างประเทศทุกปี โดยในปีที่แล้วเมียนมาส่งออกข้าวไปราว 2.5 ล้านตัน ส่วนการส่งออกข้าวในปีนี้จะอยู่ในปริมาณที่รัฐบาลกำหนดเพื่อสำรองส่วนหนึ่งเผื่อไว้ในประเทศในช่วงที่กำลังมีสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ จะมีการจัดสรรปริมาณการส่งออกของแต่ละบริษัทซึ่งจะได้สัดส่วนร้อยละ 60 ของปริมาณการส่งออก เฉลี่ยต่อเดือน ในช่วง 30 เดือนที่ผ่านมา และบริษัทที่มีคุณสมบัติดีกว่าจะได้รับโควตามากขึ้น นอกจานกี้ผู้ส่งออกข้าว จำเป็นต้องขายข้าวให้กับรัฐบาลในปริมาณร้อยละ 10 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดด้วย
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กระทรวงประสานงานเศรษฐกิจ (The Coordinating Minister for Economic Affairs) ระบุว่า อินโดนีเซียจะมีสต็อกข้าวในช่วงสิ้นปีนี้ ที่ประมาณ 4.7 ล้านตัน ซึ่งจากการประชุมคณะรัฐมนตรีที่มีประธานาธิบดี Joko Widodo (Jokowi) เข้าร่วมด้วยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการสั่งการให้ให้หน่วยงานโลจิสติกส์ BULOG รักษาระดับสต็อกข้าวให้ได้ประมาณ 900,000-1,400,000 ตัน โดยมอบหมายให้ BULOG จัดหาข้าวเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนโครงการของรัฐบาลในการจัดสรรข้าวประมาณ 450,000 ตัน ให้แก่ประชาชนที่ยากจน
ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Joko Widodo ได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เกษตรกรรักษาผลผลิตอาหารในประเทศในช่วงฤดูการเพาะปลูกครั้งต่อไป โดยรัฐบาลอินโดนีเซียกำลังวางแผนที่จะสร้างแรงจูงใจให้แก่เกษตรกรประมาณ 2.44 ล้านคน เพื่อรักษาระดับการผลิตข้าวในประเทศท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานเศรษฐกิจ (The Coordinating Minister for Economic Affairs) ระบุว่าจะให้แรงจูงใจแก่เกษตรกรก่อนฤดูการปลูกครั้งต่อไปที่จะเริ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะให้ค่าตอบแทนรายเดือนประมาณ 600,000 รูเปียห์ (ประมาณ 38 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับเกษตรกรในช่วงสามเดือนข้างหน้าในรูปของการช่วยเหลือ
ด้านเงินสดโดยตรง ซึ่งความช่วยเหลือทางการเงินจะประกอบด้วยเงินสดประมาณ 300,000 รูเปียห์ และอีก 300,000 รูเปียห์ในรูปของปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์และปุ๋ย เป็นต้น โดยกระทรวงเกษตรจะประกาศขั้นตอนการขอรับเงินช่วยเหลือต่อไป และมั่นใจว่ารัฐบาลจะมีสต็อกข้าวเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการในช่วงเดือนรอมฎอน และช่วง Idul Fitri แม้จะยังมีการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยในเดือนเมษายนนี้คาดว่าจะมีการเก็บเกี่ยวข้าวประมาณ 5.6 ล้านตัน ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2561 และ 2562 และปกติฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวอยู่ระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ขณะที่สต็อกของหน่วยงานโลจิสติกส์ BULOG (The State Logistics Agency) มีข้าวสำรองในคลังสินค้าประมาณ 6.3 ล้านตัน กระทรวงการค้าและหน่วยงานโลจิสติกส์ BULOG จะทำการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าทุกภูมิภาคจะมีข้าว เพียงพอ โดย BULOG จะจัดส่งข้าวไปยัง 7 ภูมิภาค ที่มีข้าวไม่เพียงพอ จำนวน 450,000 ตัน ซึ่งการกระจายข้าวและ การตรวจสอบเสบียงอาหารหลักในแต่ละภูมิภาคยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูส่วนเกินหรือส่วนขาดหรือความจำเป็นต้องเพิ่มการผลิต และมาตรการจำกัดกิจกรรมทางสังคมจะต้องไม่กระทบต่อการกระจายอาหารระหว่างจังหวัดและหมู่เกาะในประเทศ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงต้องเตรียมความพร้อมสำหรับภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ แม้ว่าหน่วยงานด้าน อุตุนิยมวิทยา ภูมิอากาศ และธรณีฟิสิกส์ (BMKG) ของอินโดนีเซียจะคาดการณ์ว่าอินโดนีเซียจะไม่ประสบปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงในปีนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพของเสบียงอาหารหลักของประเทศให้เพียงพอ โดยเฉพาะข้าว โดยหน่วยงานโลจิสติกส์ BULOG จะนำเข้าสินค้าข้าวหลังจากได้รับคำรับรองการนำเข้า (Import Recommendation) จากกระทรวงประสานงานด้านเศรษฐกิจของอินโดนีเซียแล้ว ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาอินโดนีเซียจะนำเข้าข้าวจากไทยและเวียดนามเป็นส่วนใหญ่
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร